ช่วยข้าทีสองสามีของข้าคือท่านอ๋องจอมโหด NC25 3P - ตอนที่ 13 ลู่ไท่เฟย
เสียงตะโกนด่าทอดังออกมาจากตำหนักหลังในจวนซู่อ๋อง บ่าวสองคนเดินออกมาจากตำหนักนั้นด้วยใบหน้าบวมเป่งพลางสะอื้น เสื้อผ้าเลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำแกงพวกเขาก้มหน้ารีบเดินจนกระทั่งชนกับคนผู้หนึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นต่างตกใจคุกเข่าลงทันใด
ซวยซ้ำซวยซาก
นี่คือความคิดของพวกนางทั้งคู่
ซู่อ๋องลู่หนิงหวังถูกบ่าวรับใช้ชนเข้าอย่างแรง เขาเองเห็นพวกนางแล้วไม่คิดจะหลบจึงยืนนิ่ง ๆ ให้พวกนางเดินมาชนและยังกล่าวข่มขวัญสตรีทั้งสอง
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ อยากตายหรืออย่างไร”
คนผู้นี้ใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพเซียน แต่วาจาร้ายกาจและไม่เคยโอนอ่อนแม้จะเป็นสตรี บ่าวทั้งสองก้มลงกับพื้นตัวสั่นงันงกแม้จะเอ่ยปากขอโทษยังไม่กล้า
อวิ๋นอ๋องหานเซียวผู้ที่เดินเคียงกันมาถึงกับหัวเราะดังลั่น
“พวกเจ้าไปเถิดจะคุกเข่าทำไมกันขัดหูขัดตาคนเข้ารังแต่จะถูกสังหารเพื่อคลายโทสะ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
พวกนางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือแล้วลุกขึ้นวิ่งหนีไม่คิดชีวิต อวิ๋นอ๋องหานเซียวส่ายหน้า
“เห็นสภาพพวกนางแล้วคงทำสิ่งใดไม่ถูกพระทัยเสด็จแม่อีกเป็นแน่”
ลู่หนิงหวังเอ่ยเสียงเย็นชา
“สตรีผู้นั้นหลายปีมานี้ไม่รู้วิปริตไปเพียงใดแล้ว”
ลู่หนิงหวังไม่เรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่มานานแล้ว
หานเซียวไม่ตอบคำถามผู้เป็นพี่ชาย พวกเขาเดินเคียงกันอย่างเงียบกริบ จนกระทั่งก้าวเข้าไปในตำหนักหลัง
เมื่อเปิดประตูเข้าไปพบบ่าวไพร่หลายคนกำลังช่วยกันเก็บกวาดด้านในที่เต็มไปด้วยเศษจานชามที่แตกกระจายเต็มพื้น
เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นผู้ใดบ่าวไพร่จึงทำความเคารพ พ่อบ้านประจำจวนอดีตเคยเป็นขันทีชั้นสูงรับใช้ลู่ไท่เฟยที่ติดตามออกมาจากวังอย่างซื่อสัตย์รีบรายงาน
“ทูลท่านอ๋องไท่เฟยกลับตำหนักในแล้วขอรับ พระนางไม่พอใจอาหารวันนี้บอกว่าร้อนเกินไปก็เลยทำลายอาหารทิ้งขอรับ”
“อืม”
เป็นคำที่อวิ๋นอ๋องเอ่ยออกมาสั้น ๆ แค่คำเดียว ในขณะที่ลู่หนิงหวังเองก็ไม่สนใจเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นลู่หนิงหวังกับหานเซียวจึงเดินอ้อมมายังทางเดินเล็ก ๆ ด้านข้างตำหนักกลางตรงไปที่ตำหนักหลัง จนกระทั่งได้ยินเสียงของสตรีชราผู้หนึ่งตะคอกคน
“ใครกล้าให้พวกเจ้าทำผมข้าขาด ไสหัวไป จุนมามาเจ้ามาทำแทนหวีผมให้ข้า”
ลู่หนิงหวังได้ยินเสียงนั้นเขาจึงทำท่าจะหันกลับแต่ถูกน้องชายดึงแขนเอาไว้
“ท่านพี่เดินมาจวนจะถึงแล้วเหตุใดถึงเปลี่ยนใจเล่า”
“ข้ากลัวใจตัวเองจะอดลงมือกับนางไม่ได้”
หวังเซียวหัวเราะ
“ท่านเอ่ยประโยคนี้มาตั้งแต่ข้าจำความได้ แต่ไม่เคยลงมือสักครั้งเดียว ข้าว่าท่านแค่ไม่อยากพบเสด็จแม่ที่มีสภาพเช่นนั้นอีก ขี้ขลาดเกินไปหรือไม่”
ลู่หนิงหวังถูกน้องชายหยามเกียรติเขามีหรือจะยอม
“เจ้าเองก็เถิด ไม่อยากพบนางเพียงลำพังเพราะบาดแผลในใจไม่ใช่หรือ เด็กน้อยเช่นเจ้ายังหวาดกลัวอยู่หรือ”
หานเซียวกลับส่ายหน้าดวงตาหม่นแสง
“ข้าลืมไปนานแล้ว อย่างไรก็เป็นคำสั่งของฝ่าบาทในเมื่อเรารับปากแล้วย่อมต้องทำตามนั้น ไปเถิด”
สองพี่น้องเดินเคียงกันกระทั่งไปถึงตำหนัก บ่าวหน้าตำหนักค้อมคำนับอย่างนอบน้อมกำลังจะอ้าปากรายงานลู่หนิงหวังพลันส่ายหน้า แล้วผลักประตูบานนั้นทันใด
คนทั้งสองก้าวเข้าไปด้วยใบหน้าเฉยชา สตรีผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ มีรัศมีแห่งความสูงศักดิ์เย็นชาเปล่งประกายออกทำให้คนที่เพิ่งพบเจอตัวสั่นได้โดยไม่มีเหตุผล โดยบ่าวชราผู้หนึ่งกำลังหวีผมยาวสลวยดำขลับไม่มีสักเส้นที่จะกลายเป็นสีขาวตามวัยอันสมควร
ลู่หนิงหวังเห็นเพียงด้านหลังของนางไม่มีกระทั่งจะกล่าวทักทายหานเซียวเองก็เช่นกันพวกเขายังยืนอย่างเงียบกริบ
บ่าวผู้นั้นเห็นผู้มาใหม่จึงประสานมือไว้ที่บั้นเอวยอบกายทำความเคารพด้วยกิริยาที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี ก่อนจะค่อย ๆ ถอยห่าง
ลู่ไท่เฟยเห็นพวกเขาจากกระจกหลัง ภาพที่พระนางเห็นสะท้อนภาพเด็กชายสองคนอายุไม่เกินเจ็ดขวบที่รูปร่างผอมแห้งใบหน้าซีดเซียว และบุรุษที่ตัวเล็กกว่าผู้หนึ่งกำลังยืนตัวสั่นอยู่ในนั้น
เพียงเห็นเท่านั้นพระนางพลันเกิดโทสะ เขวี้ยงตลับแป้งและตลับชาดที่อยู่ตรงหน้าใส่สองพี่น้องทันใด สองพี่น้องไม่หลบ อาภรณ์ของพวกเขาเปื้อนทั้งแป้งขาวและเปื้อนทั้งฝุ่นสีแดงของชาด
“คนหนึ่งก็ผอมยังกับพวกชั้นต่ำ อีกคนก็ไร้ความสง่างาม ข้าล่ะสมเพชพวกเจ้าพี่น้องเสียจริง พวกเจ้ามันตัวซวยยังกล้าโผล่หน้ามาอีก ไปให้พ้น ไปให้พ้น”
ลู่หนิงหวังยิ้มเย็น เขายกมือขึ้นกอดอกในขณะที่หานเซียวยืนนิ่งใบหน้าราบเรียบ
ลู่ไท่เฟยกำลังคลุ้มคลั่งนางเสียสติไปแล้ว พ่นวาจาไม่น่าฟังออกมา
“ลู่หนิงหวังหากไม่ใช่เพราะเจ้ามีดวงพิฆาตเสด็จพ่อของเจ้าคงไม่ตาย คนอื่นคงไม่ได้ครองบัลลังก์เจ้าก็จะกลายเป็นรัชทายาทไปแล้ว ข้าก็จะมีอำนาจที่สุดในวังหลังแล้ว ส่วนเจ้าหานเซียวข้าตั้งใจเอาเจ้ามาเลี้ยงดูหวังให้เจ้าเป็นตัวแทนของเขา เจ้ากลับป่วยกระเสาะกระแสะทำสิ่งใดไม่ได้สักอย่าง รู้ความผิดตนเองหรือไม่ รู้หรือไม่ พวกเจ้ามันตัวซวยทำลายทุกสิ่งในชีวิตของข้า”
อวิ๋นอ๋องกระแอมแล้วกระซิบเสียงเบา
“เสด็จแม่เป็นบ้าไปจริง ๆ แล้วพวกเราโตกันเพียงนี้ยังเห็นเป็นเด็กอยู่ได้ นางคงไม่สั่งให้เราไปนั่งคุกเข่าตากหิมะข้ามวันข้ามคืนเพื่อสำนึกผิดอีกหรอกนะ”
ลู่ไท่เฟยลุกจากเก้าอี้ พระนางยังคงงดงามดังวันวานแม้เวลาจะผ่านมานับสิบปีแล้วที่จากกัน ผิวพรรณเนียนผ่องใบหน้างามปราศจากริ้วรอย แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะ วาดคิ้วเป็นวงพระจันทร์ ปากสีแดงสดยิ่งกว่าสตรีแรกรุ่น
ในมือของนางมีกระจกบานนั้นกลับทุ่มใส่ลู่หนิงหวังและหานเซียวที่ยืนอยู่ข้างกันเต็มแรง คนทั้งคู่ย่อมไม่หลบ กระจกกระแทกแขนพวกเขาคนละข้างแล้วตกกระจายเกลื่อนพื้น
ลู่ไท่เฟยก้มลงเก็บเศษกระจก นางกำมันเอาไว้แม้กระจกนั้นจะบาดมือพระนางก็ไม่ปล่อย ในขณะที่บุรุษทั้งสองต่างยังยืนมองพระนางอย่างเฉยชา
“ออกไปข้าสั่งให้ออกไป อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ไท่เฟยเพคะ”
บ่าวชราผู้นั้นตกใจเป็นอย่างยิ่ง เลือดจากฝ่ามือของพระนางกำลังไหลออกมา ลู่หนิงหวังขยับกายว่องไวดึงกระจกนั้นออกมาจากมือของพระนางแล้วโยนทิ้ง
“เจ้าลูกทรพี เจ้ากล้าแย่งของของข้าหรือ? ทหารลากมันออกไปตัดคอมันเสีย ทหาร”
ลู่หนิงหวังหัวเราะเสียงเย็น เขาดึงดาบออกจากฝักแล้วส่งให้พระนางด้วยดวงตาอำมหิต
“อยากฆ่าก็ฆ่าเถิด พวกเราสมควรตายตั้งนานแล้วไม่สมควรมีชีวิตอยู่ดูความเลวร้ายของท่านมาจนถึงตอนนี้ด้วยซ้ำ”
เขายืดอกและไม่ถอยหนี ลู่ไท่เฟยหัวเราะหยัน
“คิดว่าข้าไม่กล้าหรือ อยากลองดีกับข้าหรือ”
ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด มีเพียงสายตาเฉยชาที่มองเท่านั้น
ลู่ไท่เฟยเงื้อดาบขึ้นนางฟันเข้าที่แขนของลู่หนิงหวังโดยไม่รอช้า ในขณะที่ขยับมาฟันเข้าที่ขาของหานเซียวอย่างสุดแรง
ทั้งสองคนที่ผ่านสนามรบมาอย่างยาวนานรู้จักหลบหลีกศัตรูอย่างชำนาญรอดพ้นคมหอกคมดาบมาอย่างยากลำบาก แต่กลับยืนนิ่งยินยอมให้สตรีผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาสังหารอย่างไม่หวาดกลัว
สุดท้ายเป็นลู่ไท่เฟยที่เห็นเลือด พลันปล่อยกระบี่ลงพระนางทรุดลงตรงนั้นกรีดร้องด้วยความไม่พอใจเหมือนเด็ก ๆ
ลู่หนิงหวังก้มลงเก็บกระบี่ตนเอง เขาใช้ชายเสื้อเช็ดเลือดที่ติดกระบี่จนสะอาดก่อนจะเก็บเข้าฝักดังเดิม สองคนบัดนี้ทำตามที่ฝ่าบาทรับสั่งแล้ว จึงได้หลบออกไปอย่างเงียบเชียบ
เสียงร้องไห้และก่นด่าโชคชะตาอีกทั้งยังด่าพวกเขาว่าเป็นตัวซวยยังดังลั่นในตำหนักแห่งนั้น จะได้จบ ๆ”
อวิ๋นอ๋องหานเซียวหัวเราะหยัน
“ข้าก็เห็นไม่ต่างกัน ในเมื่อเสด็จแม่โทษที่เราเป็นตัวซวยก็ให้นางสังหารเราทิ้งเสียจะได้จบเรื่อง”
ลู่หนิงหวังหัวเราะอย่างขมขื่น จนกระทั่งพบกับอ้ายเจิงที่ยืนถือร่มในชุดขาวเป็นบัณฑิตหน้าขาวรอพวกเขาอยู่
“เพิ่งพบหน้าก็ถูกฟันเลยหรือ เป็นการทักทายของครอบครัวที่อบอุ่นเสียจริง”
“อบอุ่นกับผี เจ้าอยากลองบ้างหรือไม่”
อวิ๋นอ๋องถลึงตาใส่เขา อ้ายเจิงรีบโบกมือ
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจความอบอุ่นแบบครอบครัวพวกท่าน ปล่อยข้าอยู่แบบขาดแคลนความรักต่อไปเถิด อ้อ อย่าขยับเข้าใกล้ข้า อาภรณ์ชุดขาวชุดนี้ราคาแพงยิ่งเป็นผ้าไหมพระราชทานจากฝ่าบาทเชียวนะ”
ลู่หนิงหวังขยับไปใกล้เขาแล้วกอดคอของอ้ายเจิงทันใด เขาร้องโวยวายคล้ายสตรีผู้หนึ่งร่มในมือของเขาถูกลู่หนิงหวังจับโยนทิ้งทันใด
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ามาใกล้ข้า ดูสิเลือดสีแดงเปื้อนสีขาวเช่นนี้จะซักอย่างไรดีเล่า ท่านอ๋องท่านต้องรับผิดชอบ ท่านต้องรับผิดชอบ”
ลูหนิงหวังหัวเราะเบา ๆ
“เลิกดีดดิ้นราวกับสตรีแล้วช่วยพยุงข้าทีนางฟันครานี้แผลลึกทีเดียว”
อ้ายเจิงมองอาภรณ์ของตนเองอย่างปลงตก เอาล่ะเขารู้มาว่าสองอ๋องนี่ก็ได้รับผ้าไหมพระราชทานมาเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาต้องชดใช้
อ้ายเจิงประคองสองพี่น้องเข้ามาในห้องหนังสือ ก่อนจะสั่งให้บ่าวไพร่ไปเรียกท่านหมอมา
“เลขาเจ้าไม่ทำแผลให้พวกข้าเองหรอกหรือ? เหตุใดนั่งนิ่งเช่นนี้”
ลู่หนิงหวังถีบเข้าที่เก้าอี้ของอ้ายเจิงอย่างแรง
อ้ายเจิงโบกมือทั้งส่ายหน้า
“แผลเล็กน้อยเพียงนี้ไม่ต้องถึงมือหมอเทวดาเช่นข้าหรอก”
ท่านหมอของจวนเข้ามาถึงแล้วจึงเริ่มทำแผลให้สองอ๋องอย่างเงียบเชียบ
อ้ายเจิงมองพวกเขาด้วยความสงสาร ผู้ใดจะรู้ว่าสองคนนี้กว่าจะโตขึ้นมาเป็นท่านแม่ทัพที่ผู้คนหวาดกลัวไปทั่วสิบแคว้นต้องเผชิญสิ่งใดในวัยเยาว์บ้าง
ลู่หนิงหวังและหานเซียวไม่มีโอกาสแม้แต่จะใช้ชีวิตซุกซนเป็นเด็กธรรมดาเสียด้วยซ้ำ เรื่องราวของพวกเขาที่ถูกถ่ายทอดให้เขาฟังจากผู้ที่รู้ดีเช่นท่านพ่อของอ้ายเจิงนั้นทำให้เขาเข้าใจความเจ็บช้ำของสองพี่น้องเป็นอย่างดี
ซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องสองพี่น้องนี้แท้จริงถูกลู่ไท่เฟยพระมารดาทรมานมาตั้งแต่เด็กอีกทั้งยังถูกสตรีในวังหลังกลั่นแกล้งเมื่อพระนางลู่ไท่เฟยสิ้นอำนาจ
เพราะพวกเขาต้องเข้าวังเพื่อเรียนหนังสือ หลายครั้งที่สตรีวังหลังหลอกเด็กทั้งสองไปขังในตำหนักมืดที่น่ากลัวโดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ยังมีถูกผลักลงน้ำก็หลายหน และยังมีอีกสารพัดวิธีที่สตรีพวกนั้นกระทำการทารุณเด็กทั้งสอง
ทั้งหมดนี้เพื่อแก้แค้นพระนางลู่ไท่เฟยที่เคยกดขี่พวกเขาในยามที่เรืองอำนาจ
ทั้งลู่หนิงหวังและหานเซียวที่ถูกกระทำอย่างต่ำช้าจากสตรีในวังหลวงจึงแค้นฝังใจ ในสายตาของพวกเขาแล้วคนพวกนี้นอกจากแก่งแย่งอำนาจและวัน ๆ เอาแต่บำรุงร่างกายเพื่อยั่วยวนบุรุษคนเดียวกันแล้วก็หาได้คิดสิ่งใด
และเมื่อพวกนางมีลูกต่างก็ใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรองฝ่าบาทเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า หาได้มีความรักใคร่ด้วยใจจริงแต่ประการใด
ลู่ไท่เฟยผู้นี้เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดลู่หนิงหวังแท้ ๆ แต่กลับจิตใจบิดเบี้ยว เพียงเพราะคำทำนายไร้สาระของหลวงจีนรูปหนึ่งที่ทำนายว่าลู่หนิงหวังเป็นดวงพิฆาตบิดา
อีกทั้งจะทำให้พระนางตกต่ำจนหลุดจากตำแหน่ง กลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่ผู้ใดก็มองข้ามและเหยียดหยาม
ลู่ไท่เฟยเชื่อคำทำนายนี้หัวปักหัวปำหลวงจีนยังแนะนำให้พระนางหาเด็กชายผู้มีบุญบารมีมาเลี้ยงดูคู่กันกับลู่หนิงหวังเพื่อข่มดวงพิฆาตนี้เสีย
ลู่ไท่เฟยจึงเสาะหาเด็กชายผู้หนึ่งที่มีดวงหนุนชะตาของลู่หนิงหวัง ซึ่งก็คือหานเซียวบุตรชายคนเดียวของญาติผู้น้องซึ่งยินยอมยกหานเซียวให้กับลู่ไท่เฟยเพียงเพราะหวังจะเกาะหานเซียวในอนาคตอย่างยินดี
หานเซียวถูกบังคับให้เข้าวังกลายเป็นน้องชายบุญธรรมของลู่หนิงหวังและเป็นบุตรบุญธรรมของพระนางลู่ไท่เฟย
เด็กตัวเล็กอายุเพียงห้าขวบเมื่อห่างจากอกมารดาก็ทนคิดถึงบ้านไม่ไหวข้าวปลาไม่ยอมกินจึงเริ่มเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ
บ่าวในวังแอบส่งข่าวไปที่บ้านเดิมเพราะสงสารเขาแต่คนพวกนั้นกลับหวาดกลัวลู่ไท่เฟยจึงไม่มีผู้ใดกล้ามารับตัวหานเซียวกลับแม้แต่คนเดียว
หานเซียวเด็กน้อยผู้น่าสงสารร่ำร้องหามารดาที่แท้จริงใจแทบขาด นางผู้นั้นแม้ได้รับข่าวก็ไม่เคยสักครั้งที่จะมาเยี่ยมเขา ด้วยรักตัวกลัวตาย
หานเซียวเข้ามาอยู่ในวังได้ไม่ถึงเดือนองค์รัชทายาทซึ่งเป็นบิดาของลู่หนิงหวังก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลง
คำทำนายของหมอดูผู้นั้นแม่นยำ ในสายตาของลู่ไท่เฟยลู่หนิงหวังคือตัวกาละกินีและหานเซียวคือตัวซวยพระนางถูกปลดจากตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทตามคำทำนาย ถูกเหยียดหยามจากสตรีตำหนักหลังสารพัด และถูกขับออกจากวังแต่กระนั้นยังได้อยู่สุขสบายในจวนอันใหญ่โตมีบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่ง
แต่คนที่เคยอยู่ตำแหน่งสูงสุดเช่นพระนางกลับทนไม่ได้ สิ่งที่หวังไว้ล่มสลายยังถูกสายตาของคนวังหลังเยาะเย้ยถากถาง ลู่ไท่เฟยจึงเกิดอาการคลุ้มคลั่งโทษสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของเด็กทั้งสอง
ตั้งแต่นั้นพระนางก็เริ่มทรมานพวกเขา สั่งลงโทษโดยที่ไม่มีเหตุผล ทั้งโบยทั้งเฆี่ยนตี ในคืนหนาวเหน็บมีหลายครั้งที่สั่งให้พวกเขาคุกเข่ากลางหิมะอยู่หน้าตำหนักให้สำนึกผิดเพียงแค่พวกเขาส่งเสียงดังเล็กน้อยด้วยเล่นกันตามประสาเด็ก
ในครานั้นเด็กทั้งสองถูกทำโทษอย่างหนักเจ็บป่วยปางตางแต่พระนางก็ไม่เคยเหลียวแล
อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่พวกเขาเข้าวังถวายพระพรไทเฮาร่วมกับองค์ชายและราชนิกูลผู้อื่น ไทเฮาทรงเห็นความฉลาดของพวกเขาจึงคิดว่าในอนาคตคงทำประโยชน์ให้แก่ฝ่าบาทได้จึงคิดผูกใจขององค์ชายทั้งสองเอาไว้ ส่งลูกสุนัขน่ารักสีขาวขนฟูตัวหนึ่งมาให้พวกเขาเลี้ยง
เด็กทั้งสองมีเพื่อนเล่นต่างรักสุนัขตัวนั้นมาก เลี้ยงดูอยู่ได้ราวสองเดือนความก็ล่วงรู้ถึงลู่ไท่เฟย พระนางจึงสั่งให้คนสังหารสุนัขทิ้งเสีย ด้วยเกลียดไทเฮาที่เป็นตัวการปลดพระนางและขับไล่ออกมาอยู่นอกวัง
เด็กทั้งสองได้แต่กอดศพสุนัขที่เลือดอาบร้องไห้อย่างน่าเวทนา สิ่งเดียวที่พวกเขารักลู่ไท่เฟยกลับสังหารได้อย่างเลือดเย็น ไม่สนใจว่าพวกเขาจะเสียใจเพียงใด
ฝ่าบาทที่ขึ้นครองบรรลังก์คือพระอนุชาขององค์รัชทายาทพระองค์ก่อน ได้รู้เรื่องที่ลู่ไท่เฟยทำกับหลานชาย เกิดความสงสารเด็กทั้งสองและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกเขาคิดกบฎจึงได้ส่งคนทั้งสองไปยังชายแดนตั้งแต่ยังเด็ก
ในวันที่เข้ามาล่ำลาลู่ไท่เฟย สิ่งที่พวกเขาได้รับจากพระนางก็ยังเป็นเพียงคำสาปแช่งให้พวกเขาตายในสนามรบ อย่าได้กลับมาเป็นเสนียดในชีวิตพระนางอีก
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เด็กทั้งคู่ย่อมไม่มีวันลืม
พวกเขาอาศัยอยู่ชายแดนร่วมออกสงครามจนเป็นหนุ่มน้อยในเวลานั้นลู่หนิงหวังและหานเซียวยังด้อยประสบการณ์เมื่อแตกเนื้อหนุ่มวัยกลัดมันในช่วงพักสงครามคนทั้งคู่แอบหนีออกมาเที่ยวและได้พบกับสตรีที่อ่อนหวานสองคน
พวกเขาตกหลุมรักสตรีทั้งสองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้วในเวลาต่อมากลับจับได้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นสายลับ พวกเขาถูกวางยาพิษจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
นับตั้งแต่นั้นมาหัวใจของคนทั้งคู่จึงถูกปิดผนึกเอาไว้แล้ว สำหรับพวกเขาสตรีมีไว้เพียงแค่สนองความใคร่ จบเรื่องบนเตียงแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก ไม่สมควรได้รับความรักและความไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง
ในสายตาของพวกเขาแล้วสตรีทุกคนย่อมหวังเพียงผลประโยชน์จากตำแหน่งของพวกเขาทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วพวกเขาจะไยดีสตรีหน้าเนื้อใจเสือเหล่านี้ด้วยเหตุใด
จวบจนเติบใหญ่ขึ้นมา เด็กทั้งสองกลายเป็นแม่ทัพที่ห้าวหาญชนะสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน จนได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทมอบตำแหน่งซู่อ๋องและอวิ๋นอ๋องให้และยังมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพที่มีกองทัพเจ็ดแสนอยู่ในมี อีกทั้งยังทรงพระราชทานหยกขาวเนื้อดีหายากเป็นป้ายประจำตำแหน่งอ๋องทั้งสองคนอีก
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาหาได้ยึดติดกับสิ่งนั้น กระทั่งป้ายหยกพระราชทานยังสามารถโยนทิ้งได้อย่างไม่ไยดี
เมื่อทำแผลเสร็จท่านหมอออกไปแล้วลู่หนิงหวังจึงเอ่ยขึ้น
“ฝ่าบาทคิดจะมอบสมรสพระราชทานให้เราสองคน แต่ข้าปฏิเสธไม่ต้องการแต่งกับผู้ใด อีกทั้งสตรีพวกนั้นล้วนเกี่ยวพันกับการเมือง ข้าไม่อยากเข้าไปเป็นหมากผู้ใดให้วุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าฝ่าบาทกำลังถูกเหล่าขุนนางกดดันอย่างหนัก ผู้ใดก็ล้วนต้องการนำสตรีมาเป็นเครื่องมือทำให้ตนเองเรืองอำนาจ ข้าไม่ต้องการพระชายาเช่นนั้นน่ารังเกียจสิ้นดี”
สิ่งที่อยู่ในใจของลู่หนิงหวังคือ ไม่ต้องการมีพระชายาเหมือนมารดาของตนเองที่เขาขยะแขยงยิ่ง
หานเซียวพยักหน้า
“มีเสด็จแม่เป็นสตรีเพียงคนเดียวก็วุ่นวายเกินพอแล้ว ข้าไม่อยากจะหาเรื่องให้ตนเองอีก แต่อย่างไรฝ่าบาทก็คือนายเหนือหัวข้าเองไม่อยากให้พระองค์ลำบากพระทัย”
อ้ายเจิงพยักหน้าเขาเข้าใจดี ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนนี้ล้วนเบื่อหน่ายสตรีแต่ชอบเที่ยวหอนางโลมเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งแรกที่พวกเขาทำเมื่อมาถึงที่จวนคือส่งสตรีที่ไทเฮาส่งมาจนเต็มจวนกลับไปทั้งหมด โดยไม่สนใจว่าไทเฮาจะทรงกริ้วเพียงใด
บัดนี้ที่จวนแห่งนี้จึงไม่มีแม้แต่สตรีข้างห้องสักคน ส่วนบ่าวไพร่สตรีก็ล้วนหวาดกลัวพวกเขาเช่นกันเห็นสองอ๋องทีไรแทบจะมุดเข้าไปในรูยิ่งกว่าพวกหนูเสียอีก
อ้ายเจิงเห็นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า
“สมรสพระราชทานไม่อาจขัดได้ อย่างไรพวกท่านก็ต้องแต่งพระชายา แต่หากอยากหลีกเลี่ยงไม่อยากแต่งข้ามีวิธี”
สองอ๋องมองหน้ากัน อ้ายเจิงกุนซือของพวกเขาฉลาดเป็นกรด ย่อมได้รับความไว้วางใจ
“ทำอย่างไร”
สองอ๋องเอ่ยขึ้นเกือบจะพร้อมกัน อ้ายเจิงยิ้มคลี่พัดในมือออกมาแล้วพัดราวกับอากาศร้อนเสียประดาทั้งที่ข้างนอกหิมะกำลังโปรยเป็นสาย
“สตรีผู้นั้นที่พวกท่านย่ำยี แท้จริงแล้วนางไม่ใช่นางโลม และก่อนข้ามาได้ตรวจร่างกายของนางดูลมปราณไม่ปกติอาจจะตั้งครรภ์ ไม่สู้พวกท่านรับผิดชอบนางแล้วแต่งนางเป็นหวางเฟยดีหรือไม่ อย่างไรหากนางตั้งครรภ์ก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าบุตรในครรภ์เป็นบุตรของผู้ใด”
อ้ายเจิงพูดรวบรัดและได้ใจความ ทั้งลู่หนิงหวังและหานเซียวต่างมองหน้ากันใบหน้าที่ปกติเย็นชาของพวกเขามีร่องรอยของความตื่นตระหนกและวุ่นวายใจเล็กน้อย ก่อนที่ลู่หนิงหวังจะเอ่ยออกมา
“อ้ายเจิง เจ้าแน่ใจในสิ่งที่เพิ่งพูดออกมาใช่หรือไม่ นางไม่ใช่นางโลมหรอกหรือ?”