การประชุมเกี่ยวกับเรื่องสนับสนุนกบฏถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็ว และแฟร์ก็เป็นแขกพิเศษที่เชิญให้มาร่วมในงานประชุมนี้…แน่นอนว่ามีหลายคนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องประชุมที่ปกติทุกคนจะถกเถียงกันไปมา กลับกลายเป็นการนิ่งเงียบโดยไม่มีใครพูดอะไร
เพราะไม่ชอบการที่มีคนนอกอยู่ ถึงได้ไม่มีใครเริ่มพูดอะไรสินะ ไม่งั้นคงกลายเป็นการบอกข้อมูลให้ศัตรู
ก็ไม่ใช่เรื่องแย่นักหรอก…
“ถ้างั้นผมจะขอเข้าประเด็นหลักของวันนี้เลยนะครับ…ทุกท่านอาจจะทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในฟัวกรากันแล้ว ดังนั้นผมตั้งใจว่าจะส่งการสนับสนุนไปให้กับพวกเขา”
เมื่อเจ้าชายเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาแบบนั้น ก็เหมือนกับจุดชนวนให้การพูดคุยเริ่มขึ้น ทุกคนต่างพากันส่งเสียงพูดคุยถึงแผนการนี้ในทันที
“สนับสนุนเรอะ? ทำแบบนั้นแล้วพวกเราจะได้อะไร”
“แต่แบบนั้นก็น่าสนใจ…ไม่แน่ พวกเราอาจจะไม่ต้องสู้เลยก็ได้”
“มันจะได้ผลเรอะ? ยังไงซะพวกนั้นก็เป็นแค่สามัญชน ถ้าเกิดว่าทุกอย่างสูญเปล่าละ”
“เรื่องนั้นไม่มีทางหรอก”
แต่ว่า มีเสียงหนึ่งทำให้ขุนนางทุกคนเงียบสงัด แล้วหันไปมองต้นเสียงที่พูด นั่นก็คือแฟร์
บรรยากาศที่ทุกคนมองและกดดันไปยังเธอนั้น คล้ายคลึงกับวันที่ฉันเสนอเรื่องเจาะภูเขาขึ้นมา เพียงแต่เพราะรอบนี้แฟร์เป็นแขกของเจ้าชายโดยตรง จึงไม่มีใครกล้าเสียมารยาทกับเธอมากนัก
…ซึ่งถ้าเป็นสายตาก็อีกเรื่อง แน่นอนว่าแฟร์ไม่สน แล้วขยายความเพิ่มในทันที
“ภายในกลุ่มกบฏมีคนของฉันปะปนอยู่ ดังนั้นฉันจึงยืนยันได้ ว่าถ้าให้การสนับสนุนตามที่ฉันบอกละก็ ต่อสู้กับราชวงศ์ฟัวกราได้แน่”
“คนของท่านรึ?”
ในหมู่ขุนนางเกริ่นความสงสัยขึ้นมาเช่นนั้น จะว่าไป เจ้าชายก็ให้เข้ามาโดยบอกแค่ว่าเป็นแขกนี่นะ ไม่ได้พูดว่าเป็นใคร ดังนั้นในนี้คนที่รู้สถานะของแฟร์มีแต่ฉัน ท่านโกล เจ้าชาย และราชา
แฟร์ยิ้มออกมา พร้อมทั้งใช้มือทาบอกและก้มหัวอย่างสวยงามในแบบฉบับขุนนาง นั่นทำให้ฉันที่ยืนอยู่ด้านหลังของท่านโกล และห่างจากแฟร์ไปประมาณหนึ่ง ผุดยิ้มออกมา
เด็กคนนั้น…ถึงจะบ่นว่าเกลียดการเป็นผู้ดียังไง แต่ตอนนี้ก็กลมกลืนไปกับสังคมได้อย่างแนบเนียน สมแล้วจริงๆ
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้า ฉันมีชื่อว่า แฟร์ ผู้ปกครองแห่งประเทศ เซทเฟร่า”
คำนั้นทำให้ภายในห้องประชุมเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง ก็จริงที่ทุกคนรู้ว่าแฟร์เป็นแขกคนสำคัญ แต่พอได้ยินว่าเป็นถึงผู้ปกครองของประเทศจึงยากที่จะเชื่อ
แถมเซทเฟร่าก็ยังถูกก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน พวกเขาจึงรู้จักไม่มากเท่าไหร่นัก ยิ่งมันถูกสร้างหลังจากที่พวกเราถูกปิดประเทศไปแล้วอีกต่างหาก
“เซทเฟร่า? จากข่าวลือว่ามีประเทศแห่งใหม่เกิดขึ้นน่ะเรอะ”
“เป็นประเทศที่ไร้ซึ่งประวัติศาสตร์แท้ ๆ”
และความเห็นส่วนใหญ่นั้น ก็เทไปในทางที่ดูถูกประเทศของเธอที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างชัดเจน จึงยังคงทำให้น่าสงสัยว่าจะเป็นกำลังรบได้หรือ
ซึ่งเจ้าชายที่สังเกตได้ว่าภายในห้องเริ่มวุ่นวายแล้ว จึงไอออกมาจากลำคอเบาๆ
“ช่วยเงียบลงหน่อย”
เขาพูดขึ้นเช่นนั้นเพื่อควบคุมสถานการณ์ ก่อนจะส่งสายตาที่เฉียบคมส่งไปทางแฟร์ เพื่อเป็นการบอกให้อธิบายเพิ่มเติม ซึ่งเธอก็ผงกหัวให้อย่างนอบน้อมต่างจากทุกครั้ง แล้วเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ต่อ
“ในตอนนี้หนึ่งในผู้นำกบฏคือทหารรับจ้างในกลุ่ม ‘เซ็ท’ ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งทวีป ถ้าพวกนั้นรวบรวมสมาชิกทั้งหมดก็คงเทียบเท่ากับกองทัพของประเทศนึงเลย ดังนั้นถ้าได้รับการสนับสนุนละก็ ทหารรับจ้างกลุ่มนี้คงเริ่มเคลื่อนไหว”
กลุ่มทหารรับจ้างเซ็ท แม้จะไม่ได้บอกคนอื่นในห้องประชุมนี้ แต่ว่านั่นคือกลุ่มที่เป็นลูกน้องของแฟร์ทั้งหมด ซึ่งกระจัดกระจายทั่วทั้งทวีปเพื่อเป็นสายอยู่ในประเทศอื่น และคอยส่งข้อมูลมาที่เธอ
ดังนั้นถ้าให้เทียบด้านกำลังรบและทรัพยากรแล้ว ไม่ว่ายังไงประเทศของพวกแฟร์ก็ด้อยกว่าทุกที่ แต่ว่า ถ้าพูดถึงในด้านข้อมูลแล้ว ตอนนี้เซทเฟร่ามีความได้เปรียบเรื่องนี้มากที่สุด
และก็เพราะเบื้องหลังจริง ๆ อยู่ในการควบคุมของแฟร์ การจะให้สมาชิกทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อสงครามครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“แล้วนอกจากทหารรับจ้าง พวกประชาชนเองก็มีกำลังใจเต็มเปี่ยม…ประชาชนของฟัวกรากักเก็บความรู้สึกเหล่านี้มานานมากแล้ว ในตอนนี้จึงเป็นระเบิดลูกใหญ่เลยล่ะ แถมยังมี ราฟเทีย ยาล ซึ่งเป็นขุนนางคอยปลุกขวัญกำลังใจของประชาชนอยู่”
เมื่อพูดถึงชื่อนั้น ทั้งฉันและเจ้าชายต่างก็มีท่าทีต่อมันในทันที นั่นคือชื่อของแม่โอเรล ซึ่งแต่งงานเข้ากับขุนนางฟัวกราเพื่อสานสัมพันธ์ในรุ่นก่อน จึงทำให้โอเรลกำเนิดขึ้นมา
ในตอนแรกเธอเลือกจะไม่กลับมาที่นี่เพราะเห็นแก่โอเรลละมั้ง แต่ว่า…เรื่องที่ฉันฟังต่อมาจากแฟร์ ก็ทำให้บนใบหน้าฉันตอนนี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน
เพราะว่าเธอคนนั้นมีกำหนดการที่จะถูกประหาร ซึ่งถึงจะเป็นแม่แท้ ๆ ของโอเรล…เขาก็ไม่มีท่าทีอะไรกับเรื่องนั้นเลย นั่นมันทำให้ฉันรู้สึกขุ่นมัวขึ้นมา
ถึงเรื่องมันจะเลยเถิดมาขนาดนี้แล้วก็เถอะ…ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็นคนที่น่าผิดหวังขนาดนี้ ขนาดที่แม่ของตัวเองจะถูกบั่นหัว ก็ยังไม่คิดจะออกมาห้ามเลยด้วยซ้ำ
และกว่าฉันจะรู้ตัวเพราะเหม่อไปกับการคิดเรื่อยเปื่อย แฟร์ก็สาธยายเหตุการณ์ทั้งหมด ให้ขุนนางคนอื่นในห้องประชุมฟังเรียบร้อยแล้ว
“และนี่ก็คือข้อมูลทั้งหมดที่”
“ฮึ่ม…พวกนั้นจะเชื่อใจได้รึ?” ข้อสงสัยนั้นไม่ได้มาจากคนอื่นไกล ราชานั่นเอง
“กบฏ…พวกนั้นถึงกับหันดาบเข้าหาขุนนางของตัวเองเลยนะ จะไม่แว้งกลับมากัดเราทีหลังรึไง?”
เป็นข้อสงสัยที่ดี เพราะมันคงยากที่เราจะเชื่อใจคนที่แตกหักมาอีกที จะคิดว่าเป็นพวกไม่แน่นอนก็คงถูก นั่นทำให้ฉันเหลือบไปมองทางแฟร์อีกครั้ง เธอจะจัดการเรื่องนี้ยังไงกัน?
จากในจดหมาย ฉันพอรู้มาแล้วก็จริงว่าในตอนนี้เธอรับมือ แล้วก็เจรจากับพวกขุนนางได้เก่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็อยากเห็นด้วยตัวเอง ว่าตอนนี้เธอเป็นแบบไหน
ซึ่งในสายตาของฉันตอนนี้ แฟร์ไม่มีความกังวลอยู่ในดวงตาเลย นั่นทำให้ฉันยิ้มออกมาอีกครั้งอยู่คนเดียว
“ไม่ต้องห่วง ขอแค่เราซื้อใจพวกนั้นได้ พวกนั้นก็ไม่มีทางแว้งกลับมากัดเรา”
“ซื้อใจ?”
แฟร์ผุดยิ้มอย่างผู้มีชัยในทันทีที่มีคนทักท้วงเช่นนั้น แล้วก็เริ่มเสนอแผนการออกมา
“ใช่ ถ้าหากว่าฉันเปิดทางให้พวกคุณเข้าหากลุ่มกบฏได้ แล้วเข้าหาอย่างเป็นมิตรละก็ พวกนั้นก็จะเป็นไปตามที่ต้องการ อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่คิดจะเป็นศัตรูด้วยในทันที”
กลุ่มกบฏนั้น แต่เดิมทีคงเป็นพวกไม่เชื่อในตัวขุนนาง แต่ว่าถ้าเราละลายเกราะนั้นไปได้ พวกเขาก็จะเชื่อแบบสนิทใจ ยังไม่นับเรื่องที่เพราะเราเป็นคนมอบกำลังให้ แน่นอนว่ามันเป็นการแสดงอำนาจไปด้วยในตัว
ว่าแม้จะสนับสนุนพวกเขาไป ก็คงไม่เป็นผลเสียกับพวกเราแม้แต่น้อย แล้วความสัมพันธ์ที่พวกกลุ่มกบฏทั้งเคารพและหวั่นเกรงพวกเราก็จะเกิดขึ้น
อย่างน้อยที่สุดก็คงไม่มีการปะทะกันไปอีกประมาณ 2-4 ชั่วอายุคน หลังจากนั้นทั่วทั้งห้องก็เริ่มไว้วางใจแผนการนี้แล้ว และเริ่มหารือเรื่องการสนับสนุนที่ว่า
โดยมีแฟร์อาสาจะเป็นตัวกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองกลุ่ม ซึ่งแน่นอน การกระทำแบบนั้นมีแต่จะถูกสงสัย
“แล้วท่านแฟร์ ผู้นำของเซทเฟร่า…ทำไมถึงช่วยพวกเราล่ะ?”
ฉันยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านหลังท่านโกลในฐานะผู้ติดตามเช่นเดิม คำถามแค่นี้อย่างแฟร์คงเตรียมคำตอบเอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นห่วงเท่าไหร่
แต่ว่า ในตอนที่กำลังคิดแบบนั้น สายตาของแฟร์ก็เหลือบมาที่ฉันครู่หนึ่ง แล้วอ้าปากออกมาราวกับเผลอหลุดคำ
“เคีย—”
และก็เหมือนเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดจริง ๆ จึงได้กลืนคำพูดของตนเองไปด้วยท่าทีลนลานเล็กน้อย นั่นทำให้ฉันเผลอหน้านิ่วมองเธอ เคีย? หมายความว่าอะไรกัน…ไม่สิ ทำไมถึงมาติดขัดเอาตอนนี้กัน
เพราะมันทำให้เป็นไปตามที่ฉันกังวล เมื่อเธอไม่สามารถตอบได้ในทันที ทั้งยังทำท่าทางมีพิรุธแบบนี้ขุนนางหลายคนจึงเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป
แฟร์เองก็ดูจะทำตัวไม่ถูกที่เผลอพูดออกมาแบบนั้น ซึ่งพาให้บรรยากาศแย่ลงในทันที ไม่ได้การ ต้องพูดอะไรสักอย่าง—
“เคลียร์ปัญหาสินะ”
คนที่พูดขึ้นมาจนทำให้ความวุ่นวายสงบลงได้ก็คือท่านโกล พร้อมทั้งเหลือบสายตามองไปทางแฟร์ ซึ่งยังตื่นตกใจกับสถานการณ์อยู่ ฉันเองก็รีบใช้มือปิดปากและส่งเสียงไอเรียกสติเธอเช่นกัน
“จากข้อมูลในหน่วยข่าวกรอง แม้ทั้งเซทเฟร่าและฟัวกราจะดูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่เบื้องหลังฟัวกราก็พยายามเข้าโจมตีเซทเฟร่าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นคงจะทำแบบนี้ไปเพื่อให้พวกเราเคลียร์ปัญหาที่ค้างคาอยู่ของตัวเองสินะ?”
“อะ…ใช่ เพราะพวกเราเป็นประเทศเล็ก ๆ นอกจากข้อมูลที่ได้จากการกระจายตัวแล้ว ถ้าสู้ซึ่ง ๆ หน้าไม่มีทางสู้ได้หรอก ดังนั้นเลยพยายามหาทางเอาตัวรอดไง ฉันช่วยให้ประเทศพวกท่านชนะสงคราม แลกกับการที่กำจัดปัญหาในประเทศตัวเอง ก็คุ้มค่าดีไม่ใช่รึไง?”
คำตอบนั้นเป็นที่พึงพอใจกับคนที่อยู่ในห้องประชุมอย่างมาก นั่นทำให้ฉันที่เผลอกลั้นหายใจตอนเธอพลาดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก
เจอแบบเมื่อกี้เข้าไปนี่ไม่ดีต่อใจเอาซะเลย แต่ท้ายที่สุด การประชุมก็จบลงได้แต่โดยดี
“ฟู่ เมื่อกี้นึกว่าจะไม่รอดแล้วซะอีก”
พวกเราที่แยกมาในห้องรับรองซึ่งเหลือแค่คนที่สนิทกันนั้น แฟร์ก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงราวกับไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องเมื่อครู่เลยสักนิด นั่นทำให้ฉันทำสีหน้าเอือมระอาใส่
“ไม่ใช่เรื่องขำเลยนะ เมื่อกี้เกือบจะทำทุกอย่างพังแล้วไหมล่ะ โธ่…จะพูดว่าอะไรกันแน่ละนั่น”
“ก็ ‘เคียร่า’ ไง”
คำตอบที่เรียบง่ายนั้นทำให้ฉันตัวกระตุกกึก ว่าไงนะ? ฉันน่ะเหรอเหตุผล? และคงเพราะรู้ว่าฉันไม่เข้าใจ จึงได้รีบขยายความเพิ่มในทันที
“ของมันแน่อยู่แล้ว ก็เพราะฉันรักเธอ ถึงได้พยายามสนับสนุนประเทศที่เธอรักไง”
เป็นอีกครั้งที่เธอบอกรักฉันโดยไม่ทุกข์ร้อนเลยสักนิด จนทำให้ฉันยิ่งพูดอะไรไม่ออก แล้วรู้สึกว่าร้อนรุ่มไปทั้งร่าง แม้ว่าในตอนนี้ก็ร้อนเพราะชุดเกราะอยู่แล้วก็ตาม
“พะ- พูดอะไรของเธอกัน…”
“นี่…ผมยังอยู่ด้วยนะ”
และคนที่ดึงสติของฉันกลับมาก็คือเจ้าชายที่ทักด้วยสีหน้าลำบากใจ ยิ่งทำให้แฟร์หัวเราะลั่นหนักกว่าเก่า ทำให้รู้ได้เลยว่าเธอจงใจปั่นหัวฉันเล่นเท่านั้น
ว่าแล้วฉันก็ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งกางแผนที่ออกบนโต๊ะที่พวกเรานั่งล้อมวงกันอยู่ ตอนนี้สมาชิกกบฏนั้นกระจัดกระจายไปทั่วประเทศ ถึงแม้ในการประชุมจะหารือกันแค่เรื่องส่งทรัพยากร
แต่ว่าตอนนี้พวกเราแยกตัวกันมาเพื่อพูดเรื่องทิศทางของกลุ่มนี้ เพราะถ้ายังกระจายกันอยู่คงยากที่จะสู้กับกองทัพซึ่งเกาะตัวกันอย่างเหนียวแน่น
ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่อยู่ในเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุด โอโบเรล และนั่นก็เป็นถิ่นของศัตรูเหมือนกัน สถานการณ์จึงอยู่ในระดับที่สุ่มเสี่ยง
อย่าว่าแต่ส่งความช่วยเหลือไปเลย แค่ซ่อนตัวให้รอดไปอีกวันก็ถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว เพราะงั้นแล้ว
“ยังไงก็ต้องพาออกมาตั้งหลักที่เมืองอื่นก่อนสินะ”
“ใช่ ตอนนี้ข่าวที่ฉันได้ยินจากฟาริส ซึ่งตอนนี้เป็นผู้นำกลุ่มกบฏ เห็นว่ามีคนโดนจับไปสืบสวน และแขวนคอประจานไม่ต่ำกว่าวันละ 5 คนเลย…แถมยังเป็นสภาพหลังโดนทรมานอย่างหนักอีก ไม่แน่ พวกนั้นคงรู้แล้วว่ากลุ่มทหารรับจ้างอยู่เบื้องหลัง”
แฟร์เสริมคำของฉันด้วยสีหน้าที่จริงจัง สถานการณ์ในเมืองหลวงของฟัวกราจากที่ฉันได้ยิน มันแทบไม่ต่างจากนรกที่ทหารเข้าควบคุมประชาชนตนเองอย่างรุนแรง
และไม่สนว่าจะเป็นผู้หญิง เด็ก หรือคนแก่ ถ้าหากคิดว่าเป็นกบฏก็จะจับไปทรมานเพื่อสอบปากคำ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการนำมาแขวนคออยู่กลางลานกว้าง
“พวกนั้นจะไม่สาวตัวมาถึงพวกเธอใช่ไหม”
“ไม่หรอก กลุ่มทหารรับจ้างกับฉันแทบจะเรียกว่าตัดขาดกันแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน เซทเฟร่าจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกองทัพกบฏหรอกนะ”
นั่นคือสิ่งที่ลูกน้องแฟร์ตัดสินใจกันเอาตามใจชอบ แต่ว่าก็ถือเป็นประโยชน์สำหรับแฟร์มาก เพราะถ้าหากว่าแพ้สงครามขึ้นมาแล้วความแตก ฟัวกราก็สามารถใช้เหตุผลนี้ในการยกทัพบุกเซทเฟร่าได้
แต่ว่าต่อให้ชนะสงคราม แล้วถ้าเรื่องนี้ถึงหูทุกคน ประเทศเซทเฟร่าก็จะถูกตั้งแง่ไม่ค่อยดีนัก เพราะมันคือการแทรงแซงประเทศคนอื่นโดยตรง จะโดนเขม่นเอาเปล่า ๆ
ดังนั้น พวกลูกน้องของแฟร์ที่ปลุกระดมชาวบ้านตามใจชอบ ก็รับผิดชอบเรื่องนี้โดยการตัดความสัมพันธ์กับเซทเฟร่าอย่างชัดเจน เพื่อที่จะไม่ให้แฟร์ลำบากทีหลัง…
“เป็นลูกน้องที่พึ่งพาได้จริง ๆ นะ”
“เป็นพวกบ้าที่ทำอะไรตามใจชอบละสิไม่ว่า…กลับมาเรื่องพาพวกนั้นหนีออกมาตั้งหลัก ฉันคิดว่าที่ ‘โดกรา’ น่าจะเหมาะที่สุดแล้วล่ะ”
ว่าแล้วแฟร์ก็ชี้นิ้วไปที่เมืองห่างจากโอโบเรลไปไม่ไกลมากนัก โดกรา…ถ้าจำไม่ผิด มันเคยเป็นพื้นที่เอกเทศจากทุกประเทศ และเป็นสถานที่ตั้งโบสถ์หลักของศาสนาวารุน
แบบนี้นี่เอง
“คนของที่นี่เพิ่งอยู่ในการปกครองของฟัวกราได้ไม่นาน พวกเขาจะยอมรับพวกเราได้ง่ายกว่าที่อื่น แถมในกลุ่มกบฏยังมีมังกรอาวุโสอยู่ด้วย ถ้าเป็นพวกบ้าศาสนาละก็ ยังไงก็ต้องรู้จักแล้วก็เคารพเขาแน่”
“มังกรอาวุโส?”
“อา เป็นมังกรที่เคยโดนขังอยู่ในคุกใต้ดิน หลุดออกมาพร้อมกับริเกลนั่นแหละ เห็นว่าเป็นเรื่องเล่าปรัมปราในประเทศฟัวกรา ตำนานที่มีชีวิตเลยละ”
แบบนี้นี่เอง เพราะงั้นถึงมั่นใจในเรื่องกำลังรบด้วยสินะ จากนั้นพวกเราก็ตกลงกันอย่างรวดเร็วว่าจะส่งทหารจำนวนหนึ่ง แอบลักลอบเข้าไปและพากลุ่มกบฏหนีออกมาจากโอโบเรล แล้วมุ่งหน้าไปยังโดกรา
และทั้งที่ฟังดูเป็นงานที่ยุ่งยาก แฟร์กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ซึ่งฉันก็ไม่รอช้าที่จะถามไปในทันที
“มีอะไรรึเปล่า?”
“เปล่าหรอก แค่คิดว่าจะได้ทำงานร่วมกับเคียร่า ก็รู้สึกตื่นเต้นไม่หยุดแล้ว!”
อ้า…เข้าใจได้ ก็จริง พอมองแฟร์ในตอนนี้ทำเอานึกถึงเด็กประถมที่รู้ว่าพรุ่งนี้กำลังจะได้ไปทัศนศึกษา ถึงแม้ว่าบริบทมันจะต่างกันสุดขั้วเลยก็เถอะ แต่เธอก็ดูดีใจกับเรื่องนี้มากจริง ๆ
แต่ว่า….
“น่าเสียดาย ฉันไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ”
“…เอะ?”
พอฉันตัดบทไปแบบนั้น แฟร์ก็หุบยิ้มในทันที แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าเหวออย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ฉันเผลอหลุดขำออกมานิดหน่อยเพราะใยหน้าที่ตลกแบบนั้น
“รอบนี้พวกเราต้องทำงานแยกกัน เพราะฉันจะไปขนเสบียงน่ะ”
“เอ๋!!!!”
และท้ายที่สุด ฉันก็กลั้นขำไว้ไม่อยู่เมื่อแฟร์อ้าปากค้างและส่งเสียงออกมาลากยาว ถึงจะแหย่แฟร์แบบนี้แล้วรู้สึกสนุกดีก็เถอะ แต่ว่า…
พอคิดตามที่เธอพูดแล้ว ฉันเองก็พลอยรู้สึกเสียดายขึ้นมาเหมือนกัน ทำไมกันนะ?
—————– ———————-
(มุมนักเขียน)
กลับมาแล้วค่ะ รอบนี้หายไปนานเลย ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ ;-; ที่จริงเราหายจากไข้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่แล้วแล้ว แต่ว่าพอหายไข้ปึ๊บ ก็ต้องเรียนพิเศษกะทันหันพอดี (ฮา)
แล้วพอตรงนั้นเสร็จ ก็ย้ายของเข้าหอเพื่อเตรียมเปิดเทอมอีก ดังนั้นเลยเพิ่งได้ว่างไม่กี่วันมานี้เองค่ะ…มั้ง? ที่จริงมาอยู่หอก็ยังไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ แต่ก็เริ่มชินๆ แล้วแบ่งมาเขียนนิยายได้บ้างแล้วค่ะ UwU
และเนื่องจากเราหายไปนาน จึงจะมาแจ้งกำหนดการใหม่ทั้งหมดอีกครั้งค่ะ
ในส่วนของเล่ม ตอนนี้เนื้อหาในเล่มเสร็จไปแล้ว 50-70% ค่ะ น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ตอนแรกมาก ;-; แต่ว่าจะเข็นให้เสร็จทั้งหมด 100% ภายในเดือนนี้ค่ะ
แล้วหลังจากเนื้อหาเสร็จในเดือน มิ.ย นี้พอเสร็จแล้วในช่วงเดือน ก.ค ก็จะเป็นในส่วนของการจัดหน้า ตรวจทานภายในเล่ม แล้วก็ติดต่อโรงพิมพ์ ซึ่งคาดว่าคงใช้เวลาเดือนนึงเต็มๆ เพื่อให้มีข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุดค่ะ
และหนังสือคงพร้อมส่งให้คนที่พรีเอาไว้ และวางขายทั้งรูปแบบอีบุ๊กและให้สั่งเล่มในเดือน ส.ค อาจจะก่อนหรือในวันที่ 20 ส.ค ซึ่งเป็น Lily Fest และใช่ค่ะ…งานนี้เราก็ไปออกบูธเช่นเดิม!!
ดังนั้นไม่ว่าจะฝนตก ฟ้าผ่า หรืออะไรก็ตามแต่ เราจะเข็นให้นิยายเรื่องนี้ไปวางขายทันงานนี้ให้ได้ค่ะ!! ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามแล้วก็อดทนรอกันนะคะ!
ส่วนนิยายเว็บ…ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จะจบบริบูรณ์ภายในเดือนนี้ค่ะ 0w0
MANGA DISCUSSION