+ “ถ้างั้นเดี๋ยวฉันไปจัดการอะไรอีกนิดหน่อยนะ ไว้เจอกัน!!”
“อา ไว้เจอกันนะ”
แฟร์พูดขึ้นแบบนั้นก่อนจะวิ่งเหยาะ ๆ ตรงไปทางวังของเซทเฟร่า ฉันเองก็โบกมือให้เธอจนลับสายตาไปแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งเป็นท่าเรือของประเทศเซทเฟร่าที่พวกเรากลับมาหลังเจรจาเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
เรือที่พวกเราใช้เดินทางเมื่อครู่นั้นเป็นเรือสำเภาขนาดกลาง แบบเดียวกันกับพ่อค้าทั่วไปเท่านั้น แต่ว่านอกจากที่ฉันอยู่แล้ว ก็มีลำอื่นตามประกบอีกหลายลำ
ซึ่งตอนนี้ก็มีคนงานจำนวนหนึ่งวิ่งวุ่นขนของจากบนเรือเหล่านั้น ย้ายไปยังเรือสำเภาขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก มันใหญ่พอที่จะให้ริเกลขึ้นไปบนนั้นเลยล่ะ
ใช่แล้ว…ในที่สุดก็จะได้กลับฟาเรเรียกันซะที
———————— ——————
‘ตุบ ตุบ’
ในขณะที่ฉันนอนลงไปกับพื้นหญ้าอย่างสงบสุขนั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่นุ่มนวลกำลังตรงเข้ามา ทำให้ฉันที่นอนอยู่ส่ายหางไปมาแม้ร่างจะยังคงนอนนิ่งอยู่ก็ตาม ไม่ต้องลืมตาขึ้นมาก็รู้เลยว่าเจ้าของฝีเท้ากำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่
“กลับมาแล้วริเกล”
‘อื้อ! ยินดีต้อนรับกลับ!!’
เมื่อถูกเรียกฉันก็เด้งคอของตนเองให้ตั้งขึ้นเพื่อมองไปหาต้นเสียง ก่อนจะขานรับกลับไปในทันที เสียง ตุบ ตุบ ดังขึ้นอีกครั้งแต่ดังกว่าเมื่อครู่มาก นั่นคือหางที่ส่ายแรงขึ้นจนกระทบกับพื้นเสียงดังนั่นเอง
จากนั้นก็ไม่รอช้าที่จะคลานเข้าไปใกล้พร้อมทั้งเอาหัวชนเป็นการอ้อน ถึงจะไปแบบรีบไปรีบกลับแต่สำหรับฉัน 1 วันก็เหมือน 1 ปีนั่นแหละ!!
เคียร่าก็จัดแจงโอ๋ฉันที่คิดถึงด้วยเสียงหัวเราะ ก็นะ เพราะแบบนี้แหละฉันเลยอ้อนไม่เลิกไง รักเคียร่าที่สุดเลย~
‘กรร~’
“ฮะ ๆ ทำเสียงอะไรล่ะนั้น…”
เธอหัวเราะอีกครั้งเพราะเสียงร้องครวญครางที่ออดอ้อนของมังกรขนาดยักษ์ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างลำตัวของฉัน และถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ…”
“กรร?”
“เปล่าหรอก แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
เธอพูดแบบนั้นพลางซุกเข้ามาอย่างสบายใจ ฉันเองก็ใช้หางและปีกโอบกอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มพูดถึงผลสรุปจากการไปเจรจาให้ฟัง
“ทางเดเวียน่ะ…ยอมรับข้อเสนอของพวกเราแล้วล่ะ ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแต่ลึก ๆ ก็คงเฝ้ารอโอกาสแบบนี้มานานแล้วล่ะ พอเจอกระตุ้นเข้าไปนิดหน่อยก็มีแรงฮึดต่อต้านขึ้นมา”
เห๋ เป็นงั้นเองเหรอเนี่ย นึกว่าเดเวียจะเป็นพวกเดียวกันกับฟัวกราโดยสมบูรณ์เลยแท้ ๆ แต่ที่จริงเป็นเพราะโดนควบคุมเอาไว้อีกทีสินะ ที่ผ่านมาก็แค่ไม่มีความกล้าพอจะต่อต้านเท่านั้นเอง
“แล้วก็เกิดเรื่องผิดคาดอีกอย่าง…”
‘หืม?’
เคียร่าถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วปล่อยตัวลงมาโดยสมบูรณ์ ถ้าให้เดาเรื่องที่จะพูดต่อไปคงเป็นสาเหตุให้เธอเหนื่อยแน่นอน
ระดับฉันแล้วเดาไม่พลาดแน่นอน!!
“ตอนแรก…ตั้งใจขอแค่ว่าให้หยุดส่งปืนให้กองทัพฟัวกรา แต่กลายเป็นว่า ปืนที่จะผลิตรอบต่อไปจะส่งมอบให้พวกเราแทน ซึ่ง ก็มีชิ้นส่วนที่ทำเอาไว้จำนวนหนึ่งให้กลับมาต่อ การย้ายของจำนวนมากขนาดนั้นโดยหลบไม่ให้พวกฟัวกรารู้เนี่ย ลำบากใช่ย่อยเลย ถึงฉันจะเป็นคนขอเองก็เถอะ”
‘เอ๊ะ เอามาทำอะไรน่ะ—’
ในตอนที่ฉันกำลังส่งเสียงออกไปด้วยความสงสัย จมูกฉันก็ได้กลิ่นบางอย่างแปลกปลอมลอยเข้ามาในจมูก กลิ่นหนึ่งเป็นบางอย่างที่ฉุนอย่างไม่คุ้นเคยแต่ก็รู้สึกว่าเหมือนเคยได้กลิ่นอย่างประหลาด คืออะไรกันนะ?
แต่ที่แน่ ๆ อีกกลิ่นหนึ่งฉันจำมันได้ดี
“กรร!!”
“เอ๊ะ มีอะไรเหรอ—”
เหมือนว่าเคียร่าจะยังไม่รู้สึกตัวของคนที่ใกล้เข้ามาจึงถามเช่นนั้น แต่ว่าฉันไม่ฟังพร้อมทั้งส่งเสียงขู่ออกมาพลางบังตัวเธอไว้
ก่อนจะจ้องไปที่ต้นทางตาไม่กะพริบ
“ไม่ต้องระแวงกันขนาดนั้นหรอก ฮะ ๆ”
เสียงของชายชราดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ใช่แล้ว คนที่เดินเข้ามาก็คือพระสันตะปาปาวาโรอีกเช่นเคยนั่นเอง สาเหตุที่ฉันลุกพรวดแล้วขู่ไป ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะที่เจอกันคราวกัน แต่อีกส่วนก็คือจู่ ๆ เขาก็ปรากฏตัวอีกแล้ว
เป็นโรคเหรอต้องลบกลิ่นอายตัวเองก่อนเข้าใกล้อะ คนเขาตกใจหมด
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่พาเด็กคนนี้มาส่งน่ะ”
เขาพูดเช่นนั้นก่อนจะเอียงลำตัวเล็กน้อย เผยให้เห็นมังกรตัวเล็กที่เดินตามหลังมาต้อย ๆ มีขนาดพอ ๆ กับหมา ยืนสี่ขาไม่มีปีก เขาบนหัวสองข้างปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเขียว
ตรงกลางอกมีช่องว่างบางอย่างคล้ายเตาผิง ซึ่งตอนนี้นั้นมอบดับอยู่ มีลวดลายบนตัวเล็กน้อยพร้อมกับขนที่ดูนุ่มฟู จนทำเอาคิดขึ้นมาว่าไม่ร้อนรึไง
(ผู้ออกแบบ Ame Ricium )
ซึ่งในขณะนี้เจ้าตัวกำลังห่อไหล่และหัวหดด้วยความหวาดกลัว ทำให้ฉันหันขวับไปมองทางพระสันตะปาปาทันที แต่เขาก็ยักไหล่ให้ว่าไม่ใช่ความผิดเขา ก่อนจะจ้องกลับมาที่ฉัน…
ฉันเหรอ?
“ริเกล เลิกขู่ก่อน”
อ๊ะ จริงด้วย เมื่อกี้ฉันขู่พระสันตะปาปาอยู่นี่นะ…เมื่อโดนเคียร่าตักเตือนเรื่องนั้นฉันก็ค่อย ๆ หุบเขี้ยวของตนเองแล้วสงบลง แต่ถึงกระนั้นมังกรตัวจ้อยก็ยังคงตัวสั่นอยู่ดี
ความผิดฉันเรอะ?!! ว่าแต่เด็กนี่เป็นใครล่ะเฮ้ย!
“ขอแนะนำให้รู้จักนะ เขาเป็นหนึ่งในของขวัญที่เดเวียให้ฉันมา มังกร เวโรโน่ น่ะสนิทกันไว้นะ”
เคียร่าพูดขึ้นเช่นนั้นให้ฉันฟัง อ้า เป็นเหมือนสัญลักษณ์แสดงความเป็นมิตรสินะ ใช้เป็นมังกรแบบนี้จะดีเรอะ? หรือว่ามีเยอะหว่า?
แต่เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง เคียร่าบอกให้สนิทกันไว้นี่นะ
“เอ้า เข้าไปสิ”
พระสันตะปาปาพูดขึ้นเช่นนั้นพลางใช้มือดันร่างของลูกมังกรมาทางฉัน แต่เจ้าตัวก็คงไม่อยากจึงได้ออกแรงดันไม่ให้ตนเองขยับ จนเท้าแทบจมลงไปในดิน…อะไรจะกลัวกันขนาดนั้น! ฉันไม่น่ากลัวสักหน่อย!
แต่ช่างมันปะไร ถ้าไม่เข้ามา ฉันก็จะเข้าไปเอง!
“กรร…”
ฉันค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมทั้งส่งเสียงร้องในลำคอ ทำให้ลูกมังกรที่หวาดกลัวนั้นตัวแข็งทื่อ แต่ฉันก็ไม่สนใจพร้อมทั้งเอาจมูกชนที่หัวของเขา
แล้วตั้งใจดมกลิ่น…อืมมม มีกลิ่นบางอย่างปนอยู่จาง ๆ ด้วยแฮะ แต่นึกไม่ออกง่ะ ว่ากลิ่นอะไร แปลกจังถ้าเป็นจมูกฉันในตอนนี้ต้องแยกออกสิ ถ้าเป็นกลิ่นที่เคยเจอมาก่อน…
เอ๊ะ หรือว่าเป็นกลิ่นที่ไม่เคยเจอด้วยจมูกนี้กัน แสดงว่ากลิ่นที่จำได้จากชาติก่อนเหรอ? อืมมมม นึกไม่ออกเลย แต่คุ้นมาก ไม่น่าจะใช่อะไรไกลตัวเลยแท้ ๆ
‘อืมมมม อ้า! นึกออกแล้ว!’
‘งื้อ…’
และไม่รู้ว่าเพราะฉันจดจ่อกับการดมกลิ่นมากเกินไปรึเปล่า มังกรตัวนั้นจึงวิ่งหนีไปหลบหลังพระสันตะปาปา แต่ว่าฉันก็ได้คำตอบแล้วเหมือนกัน!
จำได้ราง ๆ ว่ารถยนต์เนี่ย ต้องเติมน้ำมันใช่มะ? แล้วนั่นแหละ กลิ่นเวลาเอารถไปเติมน้ำมันเป็นแบบเดียวกันจากตัวเด็กคนนี้เลย เป็นกลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งบางคนก็ชอบบางคนก็เกลียด
แต่มันเป็นกลิ่นที่ฉันแทบจะลืมไปแล้ว…
“ริเกล น้องเขากลัวหมดแล้วนะ”
‘น้อง? จะให้ฉันคิดซะว่าอีกฝ่ายคือน้องเหรอ?’
‘ตุบ ตุบ’
ฉันส่งเสียงร้องออกมาในลำคอแบบนั้นพร้อมทั้งฟาดหางลงพื้นด้วยความตื่นเต้น น้องล่ะ ได้มีน้องแบบคนอื่นเขาด้วยล่ะ!
ทางด้านมนุษย์อีกสองคนเมื่อเห็นท่าทีดีใจของฉันก็ยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน ต่างจากน้องมังกรอีกตัวที่ยังหลบหลังพระสันตะปาปาอยู่
แต่เมื่อเห็นบรรยากาศรอบ ๆ จึงพอผ่อนคลายได้บ้าง และชะโงกหัวมามองทางฉัน เอ ต้องพูดอะไรหน่อยไหมนะ?
“พี่เขาอาจจะพูดไม่เก่งแต่ไม่เป็นไรหรอก แต่อีกเดี๋ยวเราจะคุยเรื่องสำคัญกับพวกเธอ ไปวิ่งเล่นแถวนี้ก่อนสิ”
พระสันตะปาปาพูดออกมาเช่นนั้นพลางลูบหัวมังกรตัวน้อย มันก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะวิ่งออกไป แล้วในตอนนี้ก็เหลือเพียงพวกเราสามคน…
“เราเดาว่าพวกท่านคงมีคำถามอีกมากมายเลยสินะ”
“บาปที่ 8…ริเกล หมายถึงอะไรกันแน่ แล้วถ้าแบบนั้นระเบิดเมื่อตอนหนีออกจากคุกล่ะ”
“อ้า ระเบิดเมื่อตอนนั้นสินะ”
พระสันตะปาปาวาโรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย พลางใช้มือลูบเคราของตนเองอย่างเพลิดเพลิน โดยปล่อยให้เคียร่าต้องรอคำตอบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ระเบิดนั้นทำให้พลังเวทของท่านมังกรพิภพคลุ้งกระจายไปทั่ว แม้จะเกิดจากจุดเล็ก ๆ แต่ความรุนแรงขนาดนั้น ทั่วทั้งทวีปคงรับผลกระทบหมดแล้วกระมัง”
“เอ๊ะ แบบนั้นมัน…แล้วผลที่ตามมาล่ะ”
เคียร่าตกใจกับคำพูดนั้นอย่างชัดเจนแล้วกลั้นใจถามออกไป นั่นทำให้ฉันซึ่งเป็นต้นเหตุรู้สึกทิ่มแทงในอกอย่างประหลาด เพราะว่าตัวเองคือต้นเหตุล่ะมั้ง…
ถึงกระนั้น ชายชราก็ทำเพียงยิ้มออกมาและหัวเราะเบา ๆ
“ฮะ ๆ ไม่ต้องกลัวหรอก ผลจากเวทมังกรพิภพก็ตามชื่อนั่นแหละ และผลจะเป็นเช่นไรนั้น…เดี๋ยวพวกท่านก็คงได้รู้เอง”
“…”
“หืม? คำตอบเท่านี้ยังไม่พอรึ?”
คงเพราะเคียร่ายังทำสีหน้าปั้นยากอยู่เขาจึงถามขึ้นมาเช่นนั้น แต่เธอก็ถอนหายใจพลางส่ายหน้า คิดว่าถ้าบอกมาแค่นี้แสดงว่าไม่คิดจะบอกอีกล่ะมั้ง
แต่ว่านอกจากคำถามที่เขาทิ้งให้ไปค้นหาเองนั้น เจ้าตัวก็ยังคงยืนรอให้ถามอย่างอื่นต่ออีก ดังนั้นเคียร่าที่เป็นเด็กขี้สงสัยอยู่แล้วจึงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
“แล้วเรื่องของฟัวกรา…มีวิธีทำให้พวกเขาหลุดจากเวทของแมมม่อนไหม”
คำถามนั้นทำให้ทั้งฉันและพระสันตะปาปาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เอ๋ เคียร่าคิดแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ ในสายตาของฉันเธอจะเป็นคนผลักดันคนอื่น ว่าฟัวกรานั้นกู่ไม่กลับแล้วเลยคิดว่าจะไม่ถามอะไรแบบนี้ซะอีก
พอมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอฉันก็ได้เข้าใจ…ในความเข้มแข็งนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนแอ และอ่อนไหวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเข้าใจถึงเหตุผลแต่ก็คงไม่มีใครคาดหวังให้มีสงคราม
ซึ่งนั่นทำให้ชายชราขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วทำสีหน้าเข้มงวดขึ้นมาทันที
“เราว่าท่านรู้คำตอบอยู่แล้วนะ ไม่มีหรอก แม้แรกเริ่มจะเป็นเพราะเวทของท่านแมมม่อนก็จริง แต่ฟัวกราก็พาตนเองมาถึงจุดนี้ด้วยตัวเอง อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกด้วยตนเอง”
“…นั่นสินะคะ”
เธอพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมทั้งหัวเราะแห้ง ๆ รู้สึกได้เลย…ว่าในรอยยิ้มนั้นมีความเสียดายอยู่ พระสันตะปาปาเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา พร้อมทั้งพึมพำอย่างแผ่ว ‘เบาว่าช่วยไม่ได้นะ’
“ท่านกังวลเรื่อง แมมม่อน สินะ”
“…ค่ะ”
“สบายใจได้ สักหนึ่งพันปีที่แล้ว เหมือนเขาจะพึงพอใจกับสมบัติที่รวบรวมมา ตอนนี้จึงนอนเฝ้าของเหล่านั้นอย่างสบายใจอยู่กระมัง พวกท่านคงไม่ได้เผชิญหน้ากับเขาหรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเคียร่าก็ทำหน้าโล่งใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด อ้า งี้นี่เอง คงกลัวว่าจะเป็นยังไงถ้าต้องสู้กับมังกรพิภพสินะ ยิ่งเมื่อก่อนเราเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่งด้วย…ถึงนั่นจะเป็นพ่อฉันเองก็เถอะ
“แต่ว่า…ถ้าเศษซากความโลภล่ะก็ คงได้พบเจอแน่”
“เศษซาก…?”
ประโยคที่เป็นเหมือนคำเตือนนั้นทำให้เคียร่าเคลือบแคลง ส่วนฉันก็ได้แต่เอียงคอมองด้วยความสงสัย ทำไมมันดูมีอะไรไม่รู้ผุดขึ้นมาเต็มไปหมดเลยวุ้ย
“มังกรพิภพเป็นสิ่งมีชีวิตที่เอกเทศ ไม่มีเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ เพียงแต่ว่า หากมังกรพิภพต้องการให้กำเนิดทายาทนั้น จะใช้การควบแน่นพลังเวทของตนเองจนเกิดชีวิตใหม่ ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายตนเองขึ้นมา หรือก็คือริเกล ที่เป็นลูกของท่านมังกรพิภพนั่นเอง”
ฉันอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินต้นกำเนิดของตัวเอง ถึงจะไม่ได้เกิดมาจากกอไผ่แต่ก็แอบรู้สึกว่าใกล้เคียงอยู่ดีวุ้ย ไม่อยากจะเชื่อเลย…แต่นี่มันคือ ‘ลูก’ มังกรพิภพไม่ใช่เรอะ แล้ว ‘เศษซาก’ ล่ะ?
“ส่วนเศษซากนั้นคล้ายคลึงกับลูกมังกรพิภพ ขั้นตอนการเกิดนั้นใกล้เคียงกัน แต่พลังที่มานั้นต่างกัน…ก็คือพลังของมังกรพิภพที่กำลังคลุ้มคลั่ง มาก่อตัวกันเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่นั่นเอง”
…อืมมมม ถึงจะพูดเหมือนได้ข้อสรุปแล้วก็เหอะ แต่ก็ยังงงอยู่ดีแฮะ หรือก็คือถ้าเป็นลูกเนี่ย คือตั้งใจที่จะให้มี ถูกปะ? แต่ถ้าเป็นเศษซากเนี่ย คือเค้าไม่ได้ตั้งใจนะตัวเอง แค่พลังมันบังเอิญไปควบแน่นเฉย ๆ
ไรงี้อ๋อ?
“…อย่าบอกนะว่า! ความรู้สึกของมนุษย์ก็เป็นต้นกำเนิดพลังของมังกรพิภพด้วยเหรอคะ?”
“ถูกต้อง”
ทั้งคู่พยักหน้าให้กันด้วยความเข้าอกเข้าใจ ถึงแม้เคียร่าจะยังทำท่าทางคิดต่อไปอีกแต่ว่าก็ไม่ได้สับสนตรงนี้แล้ว ทำให้ฉันได้แต่ร้องเบา ๆ ในลำคอเป็นการบอกว่าไม่เข้าใจ
เธอจึงรู้ตัวว่าเผลอทิ้งให้ฉันงงอยู่คนเดียว ก่อนจะลูบหัวฉันพลางสรุปให้ฟังอีกที
“หรือก็คือ ถ้าที่ไหนมีพลังของมังกรพิภพอัดแน่นมาก ๆ ก็จะกำเนิดชีวิตใหม่ขึ้นมา แล้วถ้าตั้งใจทำก็จะกลายเป็นลูกมังกรพิภพ แต่ถ้าไม่ ก็จะกลายเป็นเศษซาก แล้วที่ว่าความรู้สึกของคนเป็นบ่อเกิดพลังของมังกรพิภพ ย่อให้เข้าใจง่ายก็คือ ถ้าที่ไหนมีคนโลภมากรวมกันเข้าเยอะ ก็จะมีโอกาสเกิดเศษซากมังกรพิภพขึ้นมานั่นเอง”
‘อะ- โอ้…แล้วนอกจากต้นกำเนิดเนี่ย ทั้งคู่ต่างกันยังไงหว่า?’
“ใช่ แล้วก็ความต่างของทั้งสอง ลูกอย่างที่บอกไป คือเกิดขึ้นมาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันมังกรพิภพ แต่ว่าเศษซากนั้นไม่ใช่…เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง กำเนิดขึ้นมาเป็นเพียงสิ่งที่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงแค่ อสุรกายที่อาละวาดไปเรื่อย”
เขาที่เล่าขึ้นมาราวกับรู้ว่าฉันถามอะไรนั้น ทำหน้าเศร้าหมองขึ้นมาในทันทีพร้อมทั้งก้มหน้าลง แล้วพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เคียร่าได้ยิน
แต่ฉันนั้นได้ยินอย่างชัดเจน
“เช่นเดียวกับท่านเฟรริเคีย…ที่ให้กำเนิด…ขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน”
ไม่สิ ขอถอนคำพูด ได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ มีบางคำขาดช่วงไปเลยไม่รู้ว่าให้กำเนิดอะไรขึ้นมา แต่ถ้าจำไม่ผิด ‘ท่านเฟรริเคีย’ ที่ว่านี่คือพ่อของฉันสินะ?
ทำไมมันดูมีซัมติงซัมดึ๋ยเต็มไปหมดเลยเนี่ย หัวจะระเบิดแล้ว
“โอ๊ะ แล้วก็นอกจากแมมม่อน…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มังกรพิภพอีกสองตัวเคลื่อนไหวแปลกไป ระวังไว้ด้วยล่ะ”
“อีกสองตัวเหรอคะ?”
วาโรพยักหน้าให้กับคำพูดของเคียร่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพวกเราเพียงครู่เดียวพร้อมทั้งพยายามเอ่ยปากพูด แต่ก็หยุดชะงักไปราวกับไม่อยากเอ่ยชื่อนั้นออกมา
จนแล้วจนรอดเขาก็กลั้นใจตนเองแล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ลิเวียธาน มังกรแห่ง ความริษยา และผู้ที่อยู่เหนือมังกรพิภพทั้งปวง…ซาตาน มังกรแห่ง โทสะ”
——————— —————————-
(มุมคนเขียน)
เอื้อ ขออภัยที่ลงช้าไปค่อนข้างมากเลยค่ะ พอดีติดอะไรหลายๆ อย่าง ;-; ตรงนี้นอกจากขออภัยแล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่…มาอวดของอีกแล้วค่ะ— แค่กๆ (ฮา)
เคสมือถือใหม่ของเรานั่นเองงงง ของเพิ่งจะมาส่งเลยค่ะงามมักๆ เอ๊ะ? รูปที่ใช้ทำไม่คุ้นเลยงั้นเหรอ? แน่นอนค่ะนั่นก็เพราะว่า เป็นรูปปกใหม่ (อีกแล้ว) ค่ะ!!
(ผู้วาด Theorika)
แต่คราวนี้ไม่ได้เปลี่ยนบนหน้าเว็บแล้วค่ะ เป็นรูปที่ใช้ในเล่มทีเดียวไปเลย แล้วก็ต้องบอกเลยว่า ในเล่มจะมีรูปประกอบจากนักวาดคนนี้อีกค่ะ!
แล้วก็ของขิงอีกอย่างที่ทำมาไว้เองฟินๆ อีกเช่นกันนั่นก็คือ
ฟิกเกอร์~ ถึงจะยังไม่เสร็จก็เถอะ (ฮา) แต่ตั้งตารอตอนเสร็จเลยค่ะ! ทั้งสองอย่างคือทำขึ้นมาเพราะสนองนี้ดตัวเองทั้งนั้น แต่ถ้ามีคนสนใจก็อาจจะเปิดทำเป็นออเดอร์ๆไป มั้งคะ? รอดูสถานการณ์อีกทีแล้วกันค่ะ(ฮา)
MANGA DISCUSSION