ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 85: ภาค 4 ตอนที่ 2 มังกรพิภพ
“อา!!”
ฉันมุดตัวลงไปกับหมอนแล้วตะโกนออกมาจนเกิดเสียงอู้อี้ และนี่ก็เป็นอีกวันที่ฉันหมดเวลาไปกับการซุกตัวอยู่ที่เตียง ตั้งแต่วันนั้นที่จู่ ๆ แฟร์ก็ขอแต่งงานฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเลย แถมยังที่บอกว่าคนอื่นเขาคิดกันแบบนี้กับฉันหมดอีก
แต่เพราะคิดว่าคงแค่เรื่องล้อเล่นเลยไปลองถามเจ้าชาย ว่าก่อนหน้านี้เคยเข้าหาแบบพยายามจีบเหรอ ซึ่งคำตอบก็…
“ก็นะ…”
พร้อมกับรอยยิ้มแห้ง ๆ ที่แฝงความเอือมระอาไว้เล็กน้อย ไม่จริง! ไม่เห็นจะรู้สึกตัวเลยเรื่องแบบนี้! อย่างน้อยเขาก็บอกว่าตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรแล้วนอกจากเพื่อน แต่ว่าแฟร์นี่สิ!
“แต่งงานกันนะ!”
“วันนี้แหละฉันจะทำให้เธอตกลงให้ได้ แต่งงานกับฉันนะเคียร่า!”
“เคียร่า!”
ทุกครั้งที่ฉันออกจากห้อง เดินอยู่ในวัง เผลอเดินสวนกัน ทันทีที่แฟร์เห็นหน้าฉันก็จะตรงดิ่งมาขอแต่งงานไม่หยุด ทำเอาไม่อยากออกจากห้องเลย…
แล้วในตอนที่คิดแบบนั้น หญิงสาวที่ชื่อวิเวียนก็มาหา
“ท่านเคียร่าคะ หัวหน้าเรียกท่านไปพบ”
“มะ- ไม่ไป!!”
ฉันตอบกลับไปอย่างทันควัน แม้ว่าฉันจะไม่เคยปฏิเสธการเรียกตัวของใครเลยก็เถอะ แต่มีครั้งนี้ที่ฉันพูดออกไปเสียงแข็ง ทำให้วิเวียนได้แต่ยิ้มอ่อน ๆ ให้
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณโบลคุยกับหัวหน้าให้แล้ว คราวนี้เรียกไปเพราะงานจริง ๆ ค่ะ…เรื่องของเดเวีย”
พอได้ยินชื่อของ เดเวีย ฉันก็ไหล่กระตุกกึกแล้วหันไปมองที่ประตูทันที…ก็ หวังว่าจะเป็นเรื่องงานจริง ๆ นะ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายฉันจึงกลั้นใจแล้วลุกขึ้นจากเตียง อาาา! รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย! ไม่ได้สิต้องดึงสติตัวเองไว้ ใจเย็นเคียร่าเธอต้องไปคุยเรื่องงานนะ สงบใจไว้
ฉันใช้เวลาตลอดการเดินไปห้องทำงานของแฟร์ ในการปลอบใจตนเองเช่นนั้น จนแล้วจนรอดก็มาถึงจนได้…โดยมีคนใช้ของแฟร์ซึ่งเดินตามหลังหัวเราะด้วยความเอ็นดู กว่าจะรู้ตัวฉันก็มาอยู่หน้าห้องของแฟร์ซะแล้ว…
“เข้าไปนะคะ”
วิเวียนเคาะประตูพลางพูดเช่นนั้น โดยแทบจะไม่รอคำตอบเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเรื่องนั้นคงไม่สำคัญมากเท่าไหร่ ฉันจึงเดินเข้าไปในห้องทำงานของแฟร์…
ภายในห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือรายล้อมรอบตัว เธอคนนั้นนั่งเขียนงานอยู่บนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของ พร้อมทั้งมีกองเอกสารอีกจำนวนมากที่รอให้เธอจัดการอยู่
ถึงจะรู้ว่ายุ่งผ่านทางจดหมายบ้างก็เถอะ แต่นี่คงหนักกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย
“อะ เคียร่า—”
“แฟร์…”
ทันทีที่แฟร์สังเกตเห็นฉันก็ยิ้มกว้างออกมาพลางวางปากกาลงในทันที แต่ว่าตอนนั้นเองก็มีเสียงทุ้มต่ำที่แฝงแรงกดดันเอาไว้ ดังมาจากคุณลุงอายุเยอะที่ยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง
ถ้าจำไม่ผิดเขาคือรองหัวหน้า ซึ่งเป็นเหมือนมือขวาของแฟร์ชื่อว่า โบล…แต่ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้เหมือนเขากำลังยืนคุมแฟร์อยู่มากกว่า
“เข้าใจแล้วน่า ฉันก็ทำงานมาตลอดแหละ แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย…”
“แต่เพราะหลายวันมานี้เอาแต่รุกหนักจนไม่ได้คุยเรื่องงานเลยไม่ใช่รึไง! ดังนั้นวันนี้ ห้าม!!”
“ชิ เข้าใจแล้วน่า! เข้าใจแล้ว”
เธอเดาะลิ้นออกมาเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ดูจะเชื่อฟังดีล่ะนะเจ้าตัวจึงถอนหายใจออกมา แล้วหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมายื่นมาทางฉัน
“ที่ฝากติดต่อเดเวียไป ได้รับการตอบกลับมาแล้วนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉันก็รีบก้าวเท้าเข้าไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นจากมือแฟร์ มันเป็นจดหมายที่ส่งมาจากทูตของเดเวีย ซึ่งเนื้อความด้านในเป็นการยืนยันว่าได้อ่านและรับรู้ข้อความที่ส่งไปแล้ว แต่อยากจะคุยกันต่อหน้าเพื่อแสดงความจริงใจ
หรือก็คือ…
“สำเร็จแล้วสินะ”
“อา ติดต่อง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เห็นว่าอยู่ฝั่งเดียวกับฟัวกราคิดว่าจะเรื่องมากกว่านี้ซะอีก”
“นั่นสินะ…อะ ช่วยไปเรียกเจ้าชายมาให้หน่อยสิ”
“ทราบแล้วค่ะ”
ทันทีที่ขอออกไปแบบนั้น วิเวียนที่ยืนอยู่เฝ้าตรงประตูก็รับคำพลางเดินออกจากห้องไป ถึงแม้ว่าฉันจะต้องเป็นคนทำหน้าที่ทูตอยู่แล้วก็เถอะ แต่ให้เจ้าชายรับรู้ไว้ด้วยจะดีกว่า
แล้วรอไม่นานมากนักเขาก็เข้ามาในห้องนี้
“เข้าไปนะคะหัวหน้า”
“งั้นเหรอ แล้วจะเอายังไงล่ะ?”
“ก็ต้องไปตามที่เชิญมานั่นแหละค่ะ ที่จริงแล้วนี่เป็นเป้าหมายหลักยิ่งกว่าบอลก้าอีก”
“นั่น…สินะ แล้วถ้าซ้ำรอยล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง รอบนี้มีพวกฉันอยู่ด้วย”
ในตอนที่เจ้าชายถามด้วยความเป็นห่วง แฟร์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ ใช่แล้ว คราวนี้พวกเราตกลงกันว่าจะไปกับกลุ่มทหารรับจ้างฟิว ในฐานะลูกค้าที่จ้างให้ทำงานคุ้มกัน
ถึงแบบนั้นเจ้าชายก็ยังคงทำสีหน้าเคลือบแคลงอยู่ ฉันจึงจับที่ไหล่ของเขาแล้วพูดให้สบายใจ
“ไม่เป็นไรหรอก พวกแฟร์เป็นคนคุ้มกันที่พระสันตะปาปายังยอมรับ แล้วใช้บริการบ่อย ๆ เลยนะ”
พอพูดชื่อของคนยิ่งใหญ่เช่นนั้นออกไป เขาก็เปิดตากว้างด้วยความตกตะลึงก่อนจะยอมเข้าใจในทันที พระสันตะปาปาของศาสนาวารุนนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่ราชาหรือขุนนางแต่ก็มีอำนาจอย่างใหญ่หลวง คนหมายชีวิตเขาก็เยอะตามกันไปนั่นเอง
การที่คนแบบนั้นไว้วางใจแล้วใช้งานเนี่ย แสดงว่าพวกแฟร์มีฝีมือมากถึงขั้นนั้นนั่นเอง ดังนั้นเขาจึงสบายใจมากขึ้น แน่นอนว่าถึงจะเป็นแบบนั้นรอบนี้ฉันก็คงไม่ประมาทแบบรอบก่อนแล้ว
พวกเราจึงตกลงทั้งเรื่องการเดินทาง และเส้นทางหลบหนีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน จนเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วฉันก็นึกบางอย่างได้
“อะจริงสิ ริเกล…”
“คงไปด้วยไม่ได้ล่ะนะ”
แฟร์พูดออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งทำหน้าเศร้า ๆ เพราะเธอเองก็พาอิกนิสไปไม่ได้เช่นกัน เอาเถอะ หลังจากนี้คงต้องไปบอกริเกลเอาไว้สักหน่อย…
———————— ————————–
‘อะไรน้า!!!!’
ฉันส่งเสียงร้องคำรามออกมาดังสนั่นทันทีที่ได้ยินเรื่องราวจากเคียร่า ทั้ง ๆ ที่ไม่นานมานี้เราเพิ่งโดนหักหลัง จนถูกจับตัวไปแท้ ๆ นี่ก็จะออกไปหาศัตรูอีกแล้วเรอะ!! แถมยังไม่ให้ฉันไปด้วยอีก
รับไม่ด้ายยย!!
“ไม่เป็นไรนะ พวกอิกนิสก็จะอยู่ด้วย ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก”
ที่ห่วงไม่ใช่เรื่องนั้นเฟ้ย!! แล้วอะไรนะ อิกนิสก็ไม่ได้ไปเรอะ?! ที่น่าเป็นห่วงมันทางนั้นต่างหากเล่า แผลก็ยังไม่หายดีเลยแท้ ๆ จะบอกว่าไม่เข็ดหรือว่าอะไรดีล่ะเนี่ย
แต่ก็นะ…ถึงโวยวายอะไรไปถ้าเจ้าตัวตัดสินใจแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายฉันจึงถอนหายใจออกมาแล้วก้มตัวลงออดอ้อนเธอ ต้องระวังตัวนะ รู้ไหม
“กรร…”
“อืม เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องกลับมาแน่”
แม้ว่าเจ้าตัวจะได้ยินเพียงเสียงคำรามเบา ๆ ออกมาจากคอ แต่ว่าก็รู้ได้ในทันทีว่าฉันนั้นเป็นห่วงจึงได้ตอบกลับมาเช่นนั้น โคตรรู้สึกติดใจเลย ไม่ได้ทำให้รู้สึกวางใจขึ้นมาสักนิด…
และเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง วันนี้เคียร่าเลยใช้เวลาทั้งวันที่เหลือในการอยู่กับฉัน เพราะว่าจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นเลย ตัดสินใจเร็วกันจังแฮะ…เอาเถอะ คงจะรีบจัดการทุกอย่างจะได้รีบกลับฟาเรเรียสินะ ตอนนี้ที่พวกเราไม่อยู่คงวุ่นวายพอควรเลย
แต่ในขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรไปเรื่อยอยู่นั้น จู่ ๆ เคียร่าก็หน้าหมองขึ้นมา ฉันจึงกะพริบตามองด้วยความสงสัย แล้วใช้ปลายจมูกดันเข้าที่แก้มของเธอเบา ๆ
‘เป็นอะไรรึเปล่า…’
“อ้า…ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ…ที่จริงแล้ว”
เคียร่าเกริ่นขึ้นมาเช่นนั้นแล้วเริ่มเล่าบางอย่างให้ฟัง มันเป็นข้อมูลจากปากของโอเรล เหมือนว่าพวกโอเรลแล้วก็ราชาของฟัวกราเนี่ย จะโดนพลังของมังกรพิภพแห่งความโลภ แมมม่อน ทำให้เป็นแบบนี้
นั่นก็หมายความว่าพลังของมังกรพิภพก็อาจจะคล้ายกันก็ได้…เดี๋ยวนะ ถ้าแบบนั้น
‘ฉันก็ด้วยเหรอ?’
เมื่อฉันชี้ตัวเองแล้วเอียงคอด้วยความสงสัย เคียร่าก็ส่ายหัวเบา ๆ เป็นการบอกว่าตนเองก็ไม่มั่นใจ ก่อนจะพึมพำการวิเคราะห์ของตนเองออกมาให้ฉันฟัง ราวกับว่าต้องการใครสักคนที่จะพูดด้วยได้
“แมมม่อน…หนึ่งในปีศาจประจำบาปทั้ง 7 แสดงว่ามีโอกาสที่มังกรพิภพตนอื่นก็จะเป็นแบบเดียวกัน แต่ว่ามังกรพิภพมี 8 ตัว…นอกจากปีศาจประจำบาปทั้ง 7 แล้วมีอะไรอีกอย่างกันนะ? แล้วนั่นก็คงเป็น…”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันมามองฉัน…ถึงจะไม่รู้จักปีศาจที่ว่าก็เถอะ แต่หรือว่าฉันจะไม่ใช่หนึ่งใน 7 บาปที่เธอว่ามานะ? ตอนที่โอเรลมาหาฉันก็ใช้คำว่า ‘ตัวที่ 8’ ด้วยนี่นะ…เอ๊ะ เดี๋ยวนะ
‘โลกนี้มีเรื่องเล่าถึง 7 บาปด้วยเหรอ?’
“โฮ่ สังเกตได้ไม่เลวนะ”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงของชายชราที่นุ่มนวลดังขึ้น เมื่อหันไปก็พบกับชายใส่ชุดนักบวชที่ดูขลังกว่านักบวชคนอื่น ฉันรีบแยกเขี้ยวออกมาแล้วเดินมาบังร่างของเคียร่าเอาไว้
อะไรกัน ไอ้ความรู้สึกประหลาดนี่…เมื่อกี้ยังไม่ได้กลิ่นอายเจ้าตัวเลยแท้ ๆ แต่นี่โผล่มาตั้งแต่ตอนไหนกัน? แถมยังเหมือนแอบฟังที่พวกเราคุยกันอยู่ด้วย
โคตรน่าสงสัย…
“นั่นมัน…ริเกลหยุดก่อน”
‘แกเป็นใคร!’
ด้วยความรู้สึกที่ไม่วางใจทำให้ฉันไม่หยุดตามเสียงเรียกของเคียร่า แล้วก้าวไปด้านหน้าชายชราคนนั้น พร้อมทั้งถามออกไปด้วยเสียงคำรามที่ดังสนั่น
แน่นอนว่าเขาคงไม่รู้สิ่งที่ฉันถาม—
“เรารึ? นั่นสินะขออภัยที่แนะนำตัวช้า เราคือองค์สมเด็จพระสันตะปาปาวาโรที่ 1 ท่านมังกรพิภพและอัศวินเอ๋ย”
สิ่งที่ออกมาจากปากเขานั้นทำให้ฉันอ้าปากค้าง ถึงจะเหมือนแค่แนะนำตัวตามปกติก็เถอะ แต่อย่างกับว่า…ฟังฉันออกงั้นเหรอ? วาโรสบตากับฉันแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกเคลือบแคลงใจหนักกว่าเดิม
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อเคียร่าก็เป็นคนเข้ามาแทรกกลางพวกเรา
“ขออภัยค่ะท่านพระสันตะปาปา เด็กคนนี้เขาไม่ชินกับคนแปลกหน้ามากนัก”
“ไม่เป็นไร เราเองก็มาโดยไม่ได้นัดหมายจะตกใจก็ไม่แปลก อย่าเกรงใจกันนักเลย ทำตัวตามสบายเถอะ”
เขายิ้มกว้างออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วหันไปคุยกับเคียร่า ราวกับจงใจไม่สนฉันที่กำลังสงสัยอยู่เลยแม้แต่น้อย มันทำให้ฉันทำหน้ามุ่ยในทันที
ส่วนเคียร่าที่ได้ยินช่วงท้ายของประโยค ก็ทำสีหน้ากดดันขึ้นมาในทันที
“ถ้างั้นขอไม่เกรงใจนะคะ มังกรพิภพ…เทพที่ท่านพยายามให้คนนับถือ คืออะไรกันแน่”
“…”
เย้ย พอเขาบอกว่าไม่ต้องเกรงใจเคียร่าก็จัดเลยแฮะ แต่ถามตรง ๆ โต้ง ๆ แบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ…ในตอนที่ฉันกำลังนึกสงสัยอยู่นั้นก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นตรงช่วงขา
เธอกำลังเอามือวางบนตัวฉันแล้วออกแรงจับอยู่ อ้า งั้นเหรอ…ถึงจะไม่เข้าใจความหมายจริง ๆ ทั้งหมดก็เถอะ แต่สำหรับเคียร่าการรู้เรื่องนี้คงสำคัญมาก และต้องการคำตอบจริง ๆ สินะ
เมื่อรับรู้ความต้องการของเคียร่าได้แล้ว ฉันก็ตั้งท่าเตรียมตอบโต้หากว่าอีกฝ่ายทำอะไรตุกติกในทันที พระสันตะปาปามองการกระทำนั้นของพวกเราแล้วเปิดตาที่ยิ้มตี่อยู่ตลอดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาจากลำคอเบา ๆ
“ฮะ ๆ ข่าวลือเป็นเรื่องจริงสินะ ทำไมถึงถามเช่นนั้นล่ะ”
“มังกรพิภพ แมมม่อน…ชื่อตรงกับปีศาจประจำบาปแห่งความโลภ ปีศาจที่จะชักจูงให้มนุษย์เกิดความโลภจนเกินการยับยั้งชั่งใจ ทำไม…ถึงบอกว่านั่นคือเทพสูงสุดล่ะ ถ้าจะบอกว่าเพราะพวกเขามีพลังจำนวนมากล่ะก็ การมีพลังที่อันตรายแบบนั้น ไม่ควรนับว่าเป็นเทพที่น่าเคารพหรอกค่ะ!”
“…”
เคียร่าพูดออกมายาวเหยียดราวกับว่าเป็นเขื่อนแตก ทำให้ฉันเองก็เริ่มรู้สึกประหลาดขึ้นมาเหมือนกัน ในตอนนี้เธอดูไม่สงบใจทั้งยังดวงตาสั่นเครือ จนตะคอกออกมาอย่างหาได้ยาก ทำไมเคียร่า…
ถึงดูหวาดกลัวขนาดนั้นล่ะ?
“…นั่นสินะ”
แต่ถึงกระนั้นวาโรกลับดูสงบนิ่ง พลางมองเธอด้วยตาที่หรี่ลงต่ำราวกับว่าไม่ได้มองอยู่ พร้อมทั้งพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา เคียร่าที่ไม่ต้องการคำตอบเช่นนั้นพยายามเปิดปากจะพูดต่อ
แต่คำพูดถัดมาของชายชราที่ยิ้มอ่อนก็ทำให้เธอต้องหยุดชะงักไป
“คงเพราะหวาดกลัวล่ะมั้ง…เหมือนท่านในตอนนี้ไง”
“…เอ๊ะ”
เคียร่าสะดุ้งโหยงในทันทีเมื่อถูกทักเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเธอเองก็พึ่งจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ตนเองรู้สึกอยู่ตอนนี้นั้น…คือความกลัว เพิ่งเคยเห็นเคียร่าเป็นแบบนี้ครั้งแรกเลย
ที่เธอจะกลัวจนทำตัวไม่ถูกแบบนี้…
ชายชราตรงหน้าพวกเราหลับตาลงยิ้มอ่อน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปบนท้องฟ้า และพูดออกมาราวกับว่าเป็นการรำพันถึงอดีตอันไกลแสนไกล
“ไม่เคยคิดบ้างรึว่า…พวกมังกรน่ะน่ากลัว ทั้งที่สิ่งมีชีวิตอื่นอย่างพวกเรา ต้องดิ้นรนในการศึกษาและฝึกทักษะในการใช้เวทมนตร์ เหล่ามังกรกลับสามารถใช้มันได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มังกรพิภพก็ยิ่งแล้วใหญ่…พวกท่านแค่อยู่เฉย ๆ พลังจำนวนมากก็เอ่อล้นทะลักออกมาปกคลุมทั่วพื้นที่ และส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่รับมันเข้าไป…ราวกับเป็นอากาศหายใจด้วยซ้ำ ไม่อยากจะคิดถ้าสิ่งมีชีวิตแสนอ่อนแออย่างพวกเราไปท้าทายเหล่ามังกรเลย…ดังนั้นแล้ว หากบอกว่ามังกรพิภพคือเทพสูงสุด โดยมีเหล่ามังกรเป็นบริวาร ผู้คนก็จะเกิดความเคารพและย้ำเกรงไม่ใช่รึ”
ว่าจบ เจ้าตัวก็หันกลับลงมามองที่เคียร่า ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมานั้นก็เข้าใจได้ง่าย…ก็หมายความว่า เพราะเป็นสิ่งที่อันตราย จึงให้คนเคารพนับถือจะได้ไม่หาเรื่องใส่ตัวสินะ?
แต่ว่าถึงกระนั้นเคียร่าก็ยังพูดต่อ
“แต่ถ้าแบบนั้นก็จะมีพวกคนบูชาพวกเขา จนกลายเป็นเรื่องเลยเถิดขึ้นมาไม่ใช่เหรอ…เหมือนฟัวกราไง”
ฉันเบิกตากว้างให้กับคำถามของเคียร่า ในดวงตาของเธอตอนนี้ที่สั่นไหวอยู่นั้นไม่ได้มีแค่ความหวาดกลัว มันยังแฝงไปด้วยความเศร้าโศกด้วย…ถ้าให้เดาล่ะก็
ในส่วนลึกของจิตใจ เคียร่าคงจะรู้สึกเหมือนว่าพวกโอเรลกู่ไม่กลับก็เพราะนับถือแมมม่อนสินะ จึงได้มีความคิดไปในทางแง่ลบกับมังกรพิภพที่เป็นเทพ…
นั่นรวมถึงฉันด้วยรึเปล่านะ?
“หึหึ ไม่หรอก มนุษย์น่ะ ไม่ชอบการถูกกดขี่นานนักหรอก…ใช่ไหมล่ะ”
เขากล่าวเช่นนั้นก่อนจะเว้นช่วงพูดไปพักหนึ่ง แล้วหันมาสบตาเข้ากับฉันอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากตัวชายนักบวช จนเผลอถอยหลังผงะไปก้าวหนึ่ง
แล้วเขาก็พูดออกมาอย่างเชื่องช้า
“ใช่ไหมล่ะ…ท่านบาปที่ 8 ความ ‘อิสระ’ เฟรริเคีย”
———————– —————————
(มุมคนเขียน)
ไหนๆ ในที่สุดเคียร่ากับแฟร์ก็ได้เจอกันแล้ว เลยมือลั่นไปจองรูปมาค่ะ (ฮา)
(เครดิตคนวาด : Kulisara Suwanditthakul)
ยังไงก็ตอนที่แล้วเราลืมเกริ่นไปเลย ว่าช่วงนี้อาจจะลงช้ากว่าปกตินิดหน่อยนะคะ ;-; แต่ก็จะพยายามไม่ให้เกิน 7 วันเช่นเดิมค่ะ~