ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 83: ภาค 3 ตอนที่ 28 “ขอปฏิเสธค่ะ!!” (จบภาค 3 + บทส่งท้าย)
- Home
- ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร
- ตอนที่ 83: ภาค 3 ตอนที่ 28 “ขอปฏิเสธค่ะ!!” (จบภาค 3 + บทส่งท้าย)
หลังจากวิ่งตามเสียงของริเกลไปได้สักพัก พวกเราก็พบกับภาพน่าตกตะลึงในทันที…
“นี่มัน…ฝีมือริเกลเหรอ?”
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเรานั้นคือหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิด ด้านบนฟ้าเมื่อมองขึ้นไปพบกับควันที่ฟ้าอ่อนที่คลุ้งและกระจายไปทั่ว พร้อมทั้งร่างของริเกลที่ยืนอยู่ใจกลางระเบิดนั้นอย่างสง่าผ่าเผย
ก่อนจะหันลงมามองพวกเราซึ่งวิ่งมาตรงหน้า
“กรร!!”
“กรร!!”
เมื่อเธอเห็นพวกเราก็ส่งเสียงขู่ออกมาทันที อิกนิสจึงขู่กลับตามสัญชาตญาณทันที และยิ่งริเกลเหลือบไปเห็นร่างของเคียร่าก็ทำท่าว่าจะโจมตี
“เดี๋ยวก่อนริเกล!”
ฉันกับอิกนิสที่เตรียมหลบ ริเกลที่กำลังยกเท้าตะปบ ทุกอย่างหยุดนิ่งไปในทันทีด้วยเสียงเรียกของเคียร่า มังกรสีฟ้าจึงเอียงคอมองด้วยความสงสัย
“นี่แฟร์ไง จำได้ไหม”
“กรร? กรร…!!”
ริเกลที่ดูเหมือนจะยังสับสนอยู่นั้นเอียงคอไปมาซ้ายขวาอย่างงุนงง พร้อมทั้งใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะมองไปเห็นแฟลชและนึกออกทันที จึงกลายเป็นยิ้มกว้างออกมาและก้มหัวหาอิกนิส แล้วทั้งคู่ก็ร้องออกมาด้วยความร่าเริง ก่อนจะใช้คอถูกันเป็นการแสดงความคิดถึง
เป็นภาพที่ชวนอบอุ่นดีจริง ๆ …
“นี่ไม่ใช่เวลาระลึกความหลังนะ รีบหาทางหนีเร็ว!”
เสียงฝีเท้าจำนวนมากยิ่งรีบเร่งมาทางนี้ทำให้พื้นยิ่งสั่นสะเทือน ในตอนนั้นเองก็มีหินก้อนใหญ่หล่นลงมาจุดที่พวกเรายืนอยู่อย่างรวดเร็ว
“!!”
อิกนิสที่เสียงแรงไปมากเพราะถ่วงเวลาทั้งยังขนพวกเราอยู่นั้นไม่สามารถหลบทัน แต่ในตอนนั้นเองริเกลก็ใช้ตัวดันหินนั้นเบี่ยงทางจากพวกเรา ก่อนจะก้มตัวเล็กน้อย
“ให้ขึ้นไปเหรอ?”
เธอพยักหน้าให้ฉันแล้วก้มหลังลงต่ำกว่าเดิม ฉันจึงรีบย้ายตัวเคียร่าให้ยึดติดกับร่างของริเกล แล้วโดดขึ้นบนหลังเธออย่างรวดเร็ว
ส่วนอิกนิสนั้นถูกเธออุ้มไปด้วยสองมือ ดูพะรุงพะรังสุด ๆ ไปเลยแฮะ…
“กรร!!”
หลังจัดแจงทุกอย่างเสร็จในเวลาไม่นาน ริเกลก็ชูหัวขึ้นคำรามเสียงดังออกมา และกระพือปีกเพื่อบินอีกขึ้นบนฟ้า และเราก็ออกมาจากคุกใต้ดินทั้งอย่างนั้นเลย
“จริงสิ ส่งสัญญาณให้เจ้าพวกนั้นหนี…อิกนิส จัดการเลย!”
“กรร!”
เขาขานรับคำสั่งของฉันอีกครั้งพร้อมทั้งรวบรวมเวทมนตร์ไว้ที่คอ ก่อนจะพ่นไฟออกไปเป็นทางยาวลงไปที่พื้น ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดอีกราวสี่จุด นั่นเป็นสัญญาณบอกให้ถอยได้แล้วนั่นเอง
“ริเกล…ดีจริง ๆ ที่ปลอดภัย”
“กรร…”
ริเกลคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนและลากยาวอย่างอ่อนโยน ทำเอาลืมภาพของมังกรที่น่ากลัวในแวบแรกตอนเกิดระเบิดไปหมดเลย เคียร่านอนแนบตัวไปกับร่างของริเกลแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย ส่วนริเกลก็ดูพึงพอใจมากที่เธอหลับบนหลังตัวเอง
พอเห็นแบบนั้นแล้วฉันก็เผลอยิ้มออกมาตาม ดูอบอุ่นดีนะ…ว่าแล้วมันก็ทำให้ฉันนึกถึงในตอนที่ออกเดินทางกับอิกนิส พวกเราสนิทกันมากแบบนี้เลยสินะ แต่พักหลังมาแทบไม่ได้เจอกันเลย…
ฉันถอดผ้าคลุมซึ่งเอาไว้ปลอมตัวของตัวเองออก ก่อนที่จะนำไปห่มไว้บนร่างของเคียร่าเพื่อมอบความอบอุ่นให้กับเธอ ก็นะ เสื้อแบบนั้นมันน่าจะหนาวน่าดู แถมอีกอย่าง…
สายตาของฉันที่เผลอมองเข้าไปด้านในเศษผ้าที่ปิดบังเรือนร่างของเธอแทบไม่มิดนั้น รีบหันหน้าหนีในทันทีเพราะรู้สึกเขินอาย ยิ่งเห็นเคียร่าหลับแบบนี้ก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
มะ- ไม่ไหว…พอได้เจอตัวจริงมันยิ่งกว่าที่คุยในจดหมายเยอะเลย แถมเธอตอนนอนนี่มัน…
“น่ารักชะมัด…”
ฉันพึมพำออกมาเช่นนั้นพร้อมทั้งลูบใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยน ราวกับเป็นการปลอบประโลมให้หลับอย่างสบาย และเธอก็ยิ้มออกมาพลางเอาหัวถูเข้ากับมือฉัน
ทำให้หัวใจฉันเต้นระรัวขึ้นมา จนเผลอดึงมือออกแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นทันที ยะ- อย่างกับหัวใจจะระเบิดเลยวุ้ย!!
————————— —————————
“อุ นี่ฉัน…”
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องที่มีเพดานไม่คุ้นเคย เตียงที่นุ่มนิ่มหลับสบาย แต่ความเจ็บปวดที่บาดแผลก็ยังคงอยู่ ดังนั้นจึงใช้มือกุมหัวและค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง
ปวดหัวจังแล้วนี่ฉัน…อยู่ที่ไหนกัน?
จากนั้นฉันจึงพยายามทวนความจำของตนเองอีกครั้ง หลังจากดื่มยาอะไรสักอย่างไปความทรงจำก็ขุ่นมัวไปหมด จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากช่วงท้ายที่ตื่นขึ้นมาเจอพวกแฟร์กับริเกล สุดท้ายพอบินออกมาก็…สลบไปเลยสินะ
แล้วนี่เป็นไงต่อล่ะเนี่ย…
“อ๊ะ อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านเคียร่า”
“?? อะ- อรุณสวัสดิ์ค่ะ…”
เมื่อมีหญิงสาวผมยาวสีทองเดินเข้ามาทักทายแบบนั้น ฉันที่ไม่รู้ว่าเธอคือใครจึงตอบกลับไปแบบงง ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ทำเพียงยิ้มอ่อนออกมาและอธิบายสั้น ๆ
“ฉัน วิเวียน เป็นคนรับใช้ของหัวหน้าแฟร์ค่ะ”
“ถ้างั้นที่นี่ก็…เซทเฟร่าสินะ?”
“ใช่ค่ะ พวกเจ้าชายก็พักอยู่อีกห้องเช่นกัน”
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็โล่งใจ ภายในเซทเฟร่านั้นปลอดภัย เพราะพวกฟัวกราไม่สามารถเข้ามาตรวจสอบแบบโจ่งแจ้งได้ ไม่งั้นคงได้มีปัญหาเรื่องการทูตแน่ ว่าแต่…ที่พวกเธอบุกเข้าไปแบบนั้นจะไม่มีปัญหาตามมาเหรอ?
“เดี๋ยวฉันไปตามหัวหน้ามาให้นะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เธอคนนั้นก้มหัวให้ฉันอย่างสุภาพพร้อมทั้งเดินจากไป แล้วไม่นานก็ดันมีเจ้าชายเข้ามาแทน
“ดีจริง ๆ ที่เธอปลอดภัย…คงจะพูดแบบนั้นไม่ได้สินะ”
เขาพูดแบบนั้นแล้วยิ้มแห้งออกมา ซึ่งฉันก็หัวเราะร่วนกับมุกแบบนั้น แล้วเขาก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ให้ฟังอย่างคร่าว ๆ
สรุปอย่างเรียบง่ายก็คือ หลังจากฉันโดนจับไปพวกเจ้าชายก็หนีไปถึงบอลก้าซึ่งที่นั่นก็ได้พบกับแฟร์ แล้วเธอก็ส่งคนจำนวนหนึ่งพร้อมกับรองหัวหน้าให้พาเจ้าชายหนีมายังเซทเฟร่า ที่จริงควรจะกลับฟาเรเรียไปแล้วแต่พวกเขาตัดสินใจรอการกลับมาของฉันก่อน ซึ่งถ้าให้สรุปแล้ว ฉันก็โดนจับไปราว ๆ 16 วัน เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริง ๆ …
“งั้นเหรอ…ไม่คิดเลยว่าโอเรล…”
เจ้าชายที่ได้ยินสิ่งที่ฉันเล่าให้ฟังก็ทำหน้าเศร้าขึ้นมาทันที สำหรับฉันที่รู้จักเขาไม่กี่ปีอาจจะทำใจได้อย่างรวดเร็ว แต่เจ้าชายที่โตมากับโอเรลโดยตรงคงทำใจยากหน่อย ดังนั้นฉันจึงบอกว่าให้ไปพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายซะก่อน จะได้ทำใจเรื่องนั้นได้
และถัดจากเจ้าชายที่เดินออกไป สาวผมสั้นสีน้ำเงินก็โผล่หัวออกมาจากขอบประตูและมองมาทางฉัน ตามมาด้วยมังกรใส่หน้ากากหัวกระโหลดที่ตัวใหญ่จนกินทางเดินเกือบหมด ชะโงกเข้ามาในมุมที่สูงกว่าเดิม ทำให้ฉันหัวเราะออกมากับภาพนั้น
“โธ่…เลียนแบบวันแรกที่พวกเราเจอกันอยู่เหรอ”
เมื่อฉันถามออกไปเช่นนั้น หญิงสาวคนนั้นก็ยิ้มกว้างออกมาและเดินเข้าห้องด้วยความร่าเริง เธอก็คือแฟร์นั่นเอง
“ก็แหม ย้อนความหลังสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“กี่ปีแล้วนะ”
“สัก 6 ได้มั้ง”
“เหมือนไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ”
“ก็นานจริง ๆ นั่นแหละ”
จากนั้น พวกเราสองคนจ้องตากันอย่างเงียบ ๆ อยู่สักพัก ก็หัวเราะออกมาจากลำคอด้วยความโล่งใจ แถมฉันเองยังมีน้ำตาเล็ดออกมาเล็กน้อยด้วย ดีใจจัง
แล้วแฟร์ก็พูดออกมาพร้อมทั้งใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางประตู
“ออกไปเดินเล่นกันหน่อยไหม?”
แน่นอนว่าฉันก็ตกลงไปในทันที แม้ว่าจะยังมีบาดแผลอยู่ทั่วทั้งร่างก็เถอะ แต่ถ้าแค่เดินเฉย ๆ ก็ยังไหวอยู่ พวกเราไม่อยากจะปลอมตัวในการเข้าเมือง จึงกลายเป็นเลือกสถานที่เงียบสงบในการเดินพูดคุยกัน ซึ่งแฟร์ก็เป็นคนพาไปนั่นเอง
หลังจากนั้นในระหว่างทางพวกเราก็พูดคุยกันหลายอย่างในระหว่างที่เว้นช่วงเขียนจดหมายไป แต่ส่วนมากฉันก็จะพูดถึงเรื่องความน่ารักของริเกล ส่วนแฟร์ก็จะเล่าเรื่องวุ่น ๆ ของลูกน้องภายในประเทศ แถมยังมีเรื่องนิทานสอนเด็กนั่นอีก เป็นประเทศที่น่ารักจริง ๆ
แล้วในระหว่างที่พวกเรากำลังเดินอยู่นั้นเอง
“อ๊ะ หิมะตกล่ะ”
“อ้า ถึงช่วงนี้ของปีแล้วสินะ อีกไม่กี่วันเมืองนี้ก็คงย้อมไปด้วยสีขาวของหิมะ แล้วก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน”
“เทศกาลประจำปีที่เธอตั้งขึ้นสินะ”
ใช่ เธอตอบออกมาแบบนั้นแล้วเริ่มเล่าเรื่องหลายอย่างซึ่ง เป็นรายละเอียดเล็กน้อยมากจนไม่สามารถเขียนลงไปในจดหมายได้หมด และดูท่าวันนี้ทั้งวันก็คงไม่อาจเล่าออกมาทุกเรื่อง เธอที่แม้จะดูวุ่นกับการปกครองประเทศ แต่ก็ทั้งเจิดจ้าแถมยังสนุกสนานจริง ๆ
คงเป็นเรื่องดีแล้วที่ได้สร้างประเทศขึ้นมา…
“แล้วเธอล่ะ? เห็นว่าเพื่อนที่รู้จักทรยศหนิ…อยากเล่าอะไรหน่อยไหม?”
“…นั่นสินะ”
และจากนั้น ฉันก็เริ่มเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่หน้าหมู่บ้านตรงจุดนัดพบ ไปจนถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคุกใต้ดิน ซึ่งแฟร์ดูจะหัวเสียกับเรื่องที่ฟังมากแต่ก็อดกลั้นเอาไว้
“หืม…งั้นเหรอ เป็นแบบนี้นี่เอง”
“อืม…ถึงมันจะเป็นเรื่องที่สายไปแล้วก็เถอะ แต่ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน”
ถึงแม้เขาจะสติแตกจนอยู่ในระดับที่กู่ไม่กลับไปแล้ว แต่ฉันก็จะคิดขึ้นมาเสมอ ถ้าหากฉันรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา แล้วใส่ใจเขาให้มากกว่านี้…มันจะเปลี่ยนไปไหมนะ?
แฟร์ที่มองเห็นฉันทำท่าทางเจ็บปวดออกมานั้นทำหน้าบึ้งขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์
“อย่าไปใส่ใจเลย เธอก็แค่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้นเอง อย่าไปเห็นใจคนอย่างหมอนั่นเลย”
“นั่นสินะ”
ไม่รู้ว่าทำไมกัน ฉันที่ได้ยินแฟร์พูดราวกับโกรธแทนนั้นดันรู้สึกสงบใจอย่างน่าประหลาด ไม่ได้มีใครโมโหแทนแบบนี้นานแค่ไหนกันนะ มีความสุขจัง…
แล้วในตอนนั้นเอง ฉันก็จามออกมา
“หือ เป็นหวัดเหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่หนาวนิดหน่อย— ฮัชชิ่ว”
เสียงจามที่ดังออกมาจากจมูกของฉันนั้น เป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ และสั้นราวกับพยายามกลั้นเอาไว้ ซึ่งแฟร์ในตอนนี้ก็มองฉันด้วยสายตาเป็นห่วงมาก
“เธอยิ่งเป็นคนเจ็บอยู่นะ อย่าดูถูกไข้หวัดเชียว”
ว่าแล้ว เจ้าตัวก็หยิบผ้าพันคอที่น่าจะพกติดตัวเอาไว้มาพันรอบคอของฉัน แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางเดินต่อไป…จริงสิ
“แฟร์ก็มาใช้ด้วยกันสิ”
“เอ๊ะ!”
ไม่รู้ทำไม พอฉันพูดออกไปแบบนั้นเธอก็สะดุ้งและร้องออกมาแบบนั้น ทำให้ฉันส่งสายตาสงสัยไปให้ ทำไมถึงหน้าแดงล่ะ เป็นหวัดเหรอ?
“เห็นไหมล่ะ เดี๋ยวเธอก็เป็นหวัดด้วยอีกคนหรอก เข้ามาเร็ว”
จากนั้น พวกเราก็ใช้ผ้าพันคอเพียงผืนเดียวในการมอบความอบอุ่นให้เราสองคน และยิ่งเพราะใช้ผืนเดียวกันตัวจึงยิ่งต้องใกล้กันมากกว่าเดิม อุ่นจัง แถมยัง…
“กลิ่นดีจัง”
“เอ๋!!”
“เป็นกลิ่นที่อบอุ่นแล้วก็สบายใจ เหมือนริเกลน่ะ”
“อะ อ้า…งี้นี่เอง”
แต่ว่าภายในสถานการณ์ที่อบอุ่นเช่นนี้ แฟร์กับนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยจนฉันได้แต่สงสัย แต่ว่าในตอนนั้นฉันก็ได้รู้สึกบางอย่าง มีอะไรเย็น ๆ มาสะกิดที่มือซ้ายซึ่งอยู่ทางเดียวกันกับแฟร์อยู่
เมื่อเหลือบลงไปมองก็พบกับมือของแฟร์ ที่เหวี่ยงไปมาพยายามมาแตะฉันราวกับอยากจะจับ…แต่ก็ดึงกลับไปซะอย่างงั้น งี้นี่เอง…
“?!”
“ความรู้สึกที่มือเย็นนี่แย่เนอะ งั้นมาจับเอาไว้กัน”
“อะ- อืม…”
ทำไมกันนะ ทั้งที่อยู่กับริเกลจะรู้สึกอบอุ่นและสบายใจก็จริง แต่ว่าแฟร์ทั้งที่ก็คล้ายกันแต่รู้สึกต่างออกไป เหมือนอะไรบางอย่างในใจได้ถูกเติมเต็ม
จริงสิ พอนับตามวันของโลกนี้แล้ว ตอนนี้ก็เดือน 12 วันที่ 25 ถ้าเป็นโลกเก่านี่ก็คือวันคริสต์มาสสินะ ไวท์คริสต์มาสงั้นเหรอ…
“ดีจังนะ…ฉันอยากทำแบบนี้กับเพื่อนมานานแล้วน่ะ”
“…”
“กับพวกเจ้าชายก็เป็นคนต่างเพศกัน มาทำอะไรแบบนี้คงมีข่าวว่อนไปทั่วเมืองแน่ ส่วนท่านมารีนก็เป็นคนเข้มงวดเกินไป คงบอกว่านี่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมแถมยังอันตรายเวลาเดินด้วย เลยไม่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้เลยน่ะ”
“ฮะ ๆ นั่นสินะ”
แฟร์ที่เหมือนจะหายประหม่าแล้วนั้นขำแห้งออกมาอย่างน่าสงสัย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน…และจู่ ๆ เธอก็ปล่อยมือจากฉันทั้งยังหยุดเดิน แถมยังขอให้ถอดผ้าพันคอออก
“เอ๊ะ มีอะไรเหรอแฟร์?”
“นี่รู้ไรไหม ฉันไม่เคยคิดว่าเธอผิดเลยนะที่ไม่รับรู้ความรู้สึกของคนอื่น”
“อือ…ขอบใจนะ”
“ก็นะ พวกนั้นมันยังรู้จักเธอไม่ดีมากพอ คนอย่างเธอน่ะนะ ต้องเจอแบบนี้…”
หือ? ฉันส่งเสียงออกมาจากลำคอด้วยความสงสัย แต่ว่าแฟร์ไม่สนใจเรื่องแบบนั้นแล้วปัดใบหน้าที่หมองก่อนหน้านี้ หรือแม้แต่ความกระอักกระอ่วนเมื่อครู่ออก แล้วก็ค่อย ๆ คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมทั้งชันเข่าข้างซ้ายขึ้น โดยบนใบหน้าของเธอนั้น…
คือรอยยิ้มที่เจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ อันเป็นเอกลักษณ์และตัวตนของเธอ ก่อนจะยื่นมือขวามาทางฉัน
“แต่งงานกับฉันนะ! เคียร่า!!”
“…เอ๊ะ”
เอ๊ะ เอ๋!!! ฉันที่ได้ยินคำพูดที่กะทันหันของเธอก็ทำตัวไม่ถูกและได้แต่ร้องลั่นออกมาในใจ ขะ- ขอแต่งงาน?!!
“เคียร่า เธอน่ะเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ทึ่มเรื่องพวกนี้สุด ๆ ไม่ใช่แค่โอเรลหรอก เจ้าชาย แล้วก็ฉัน คิดกับเธอแบบเดียวกันเท่านั้นแหละ แต่ว่า!!”
ดะ- เดี๋ยวสิ มะ- หมายความว่าไงน่ะ? เจ้าชายด้วยเหรอ เอ๋!!
“ฉันไม่เหมือนเจ้าพวกนั้นหรอกเฟ้ย! เอาแต่ทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนั้นจะไปเหมาะสมกับเธอได้ยังไงกัน!! เพราะงั้นนะเคียร่า!! ฉันรักเธอ!! แต่งงานกับฉันน่ะ!!”
คำสารภาพที่กะทันหันของแฟร์ทำให้ฉันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด นี่ฉันตกใจจนแทบจะช็อกเลยรึเปล่านะ? หัวใจถึงได้เต้นรัวอย่างน่าประหลาดจนแทบอึกอัก แต่แปลกตรงที่ไม่ได้รู้สึกแย่เลยสักนิด…
เป็นความรู้สึกที่แปลกจัง ไม่รู้เลยว่าคืออะไร และด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยมันเอ่อล้นมาจากหัวใจนั้น ก็ทำให้ฉันตอบออกไปทันทีด้วยเสียงแข็ง
“ขอปฏิเสธค่ะ!!”
————————— ————————–
(บทส่งท้าย)
ภายในถ้ำขนาดใหญ่ที่ไร้ซึ่งกลิ่นอายของผู้คนนั้น มีแสงแวววาวจากสมบัติจำนวนมากที่กองพะเนินอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนักเดินเข้าไปใกล้กับกองสมบัติเหล่านั้น
ทำให้มังกรตัวสีเหลือผู้หลับใหลบนที่นอนของตนเองอย่างมีความสุขนั้น ลืมตาขึ้นมามองผู้ที่มาเยือนด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“อ้า ก็ว่าใคร…หายากนะที่เจ้ามาหาข้า ไคซารัส”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ แมมม่อน”
มังกรสีฟ้าและมังกรสีเหลืองยืนเผชิญหน้ากันและทักทายเช่นนั้น มังกรพิภพสีฟ้าเฟรริเคียที่ชื่อไคซารัสนั้น ยังคงมีใบหน้าที่ดุดันและเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาเช่นเดิม ต่างกับมังกรสีเหลืองแมมม่อนที่หาวหวอดออกมาอย่างสะลึมสะลือ โดยไม่มีทีท่าจะลุกออกจากที่นอนของตนเลย
“มีธุระอะไรล่ะ เรื่องของฟัวกราเรอะ?”
“ใช่…คงไม่ได้แทรกแซงอะไรอีกใช่ไหม”
“ฮะ ๆ เจ้าเห็นข้าออกจากรังด้วยเหรอ? ก็จริงอยู่ที่ข้าเคยติดต่อกับพวกนั้น แต่ก็…ผ่านมากี่ปีกันแล้วนะ”
แมมม่อนพูดเช่นนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นนึกถึงอดีตอันไกลโพ้น ก่อนจะหัวเราะในลำคอออกมาแล้วบอกว่า ‘ช่างมันเธอ’ พร้อมทั้งก้มตัวลงนอนกกสมบัติที่ตนเองสะสมเอาไว้อย่างหวงแหน พลางเขี่ยพลอยก้อนใหญ่สีแดงสดเล่นไปมาอย่างเพลิดเพลิน
“เรื่องของฟัวกรา…ข้าจำได้แค่เจ้าพลอยนี่นั่นแหละ มันสวยมากจนข้าอยากได้เก็บไว้เลยล่ะ…รู้สึกว่าจะขอแลกกับอะไรนะ?”
เขานึกหวนกลับไปอีกครั้ง แต่ก็ลงเอยเช่นเดิม สำหรับแมมม่อนแล้วไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าสมบัติล้ำค่าที่ตนเองชอบอยู่แล้ว เรื่องอื่นจะเป็นเช่นไรนั้นเขาก็ไม่คิดจะสนใจ ขอแค่เพียงสมบัติยังอยู่ครบสมบูรณ์ก็พอ
นี่คือมังกรแห่งความโลภ แมมม่อน
“นั่นแหละการแทรกแซง รู้ไหมตอนนี้สิ่งที่เจ้าให้ไปมันกลายเป็นอะไรไปแล้ว”
“อ้า ไม่รู้สิ…แต่ไม่เกี่ยวกับข้าหรอกมั้ง ยังไงเสียผู้ที่พามันไปจุดนั้น ก็คือเหล่ามนุษย์อยู่ดี”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นไคซารัสก็แยกเขี้ยวส่งเสียงขู่ออกมา แมมม่อนจึงเบะปากออกมาด้วยความรำคาญเล็กน้อย
“ลูกสาวของเจ้าก็ใช่ย่อยมิใช่รึ ระเบิดนั่นป่านนี้พลังเวทของนางคงกระจายไปทั่วทั้งทวีปแล้ว”
“…”
“เจ้าหนู มังกรพิภพอย่างพวกเรา ต่อให้อยู่เฉย ๆ ก็เป็นการแทรกแซงแล้ว เจ้าจะยึดติดกับพวกมนุษย์ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก…แต่อย่ามาเอาพวกข้าไปพัวพัน”
“…เข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น ไคซารัสก็หันหลังให้กับแมมม่อนและเดินออกมาอย่างเงียบเฉียบ มังกรสีเหลืองที่กล่าวตักเตือนนั้นจึงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ช่วยไม่ได้ ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้
“หากจะเป็นห่วงเรื่องร้ายแรง เจ้าไปดูลิเวียธานเถอะ เจ้านั่นหนักกว่าข้าเยอะ”
และแล้ว ร่างของไคซารัสก็หายเข้าไปในเงามืด…
——————- ————————
(มุมคนเขียน)
จบ ภาค 3…แล้ว!!! ลงคู่ไปกับวันคริสต์มาสเลยแล้วกันเนอะ!! (ฮา) ที่จริงว่าจะปั่นให้จบภาคก่อนค่อยทำตอนพิเศษแยกแหละ แต่ดันติดอะไรหลายอย่างแถมเนื้อหายังยาวกว่าที่คาดไว้เยอะด้วย ก็เลย…นะ ฉิวเฉียด! เย้ย!!
ยังไงก็ตาม… Merry Christmas ค่า~
(เครดิตผู้วาด : letTER)
ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย เราเองก็รีบปั่นเพื่อให้ทันลงรูปนี้ในวันนี้นี่แหละค่ะ ถึงไฟจะลนก้นเลยก็เถอะ 555
และด้วยเหตุนั้นแหละค่ะ หลังจากจบภาคนี้เราน่าจะเว้นช่วงไปพักนึงเลย…อะไรนะ? ก็พูดแบบนี้ทุกภาค สุดท้ายก็มาลงตามปกติเหรอ? บ้าน่า~
รอบนี้คงจนกว่าจะเคลียร์งานหลายๆ อย่างเสร็จแหละค่ะ 55 และเหมือนเดิมคือจะพยายามไม่หายเกิน 1-2 เดือนก็จะกลับมาลงภาค 4 ต่อนั่นเองงง
ถ้างั้นก็ ขอขอบคุณที่ติดตามจนถึงตอนนี้ และถ้าติดตามต่อไปจนเรื่องนี้จบบริบูรณ์ก็จะขอบคุณมากเลยค่ะ ซึ่งเวลานั้นก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!!
วันนี้ก็จบไปกับอีกภาคกับ
“ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร ภาค 3 กำเนิดสงครามแห่งความละโมบ ”
แล้วพบกันใหม่ที่ Comic Square วันที่ 13 มีนาคม 2022 เวลา 11.00-17.00 น. ณ ศูนย์การค้ายูเนี่ยนมอลล์ ค่ะ!! //ขอตัวไปปั่นของออกบูธต่อ—
ปล.ข้อมูลเพิ่มเติมเร็วๆ นี้ หรืออาจจะอีกสักพัก หรือ—