ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 71: ภาค 3 ตอนที่ 16 คนที่ไม่น่าไว้ใจ
–ย้อนกลับไประหว่างที่เดินทัพไปมิลด้า ณ ป้อมปราการรูฟ
“นี่ เคียร่าคิดยังไงกับแผนการของพวกราชาเหรอ”
ในขณะที่พวกเรานั่งเฝ้าป้อมปราการอยู่นั้น โอเรลก็ชวนฉันคุยขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลา แผนของพวกราชาที่เดินหน้าบุกทันทีเลยงั้นเหรอ…
“ก็…บุ่มบ่ามเกินไปล่ะมั้ง”
“ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคียร่าเป็นคนเสนอให้รีบบุกน่ะเหรอ?”
“ใช่อยู่หรอก แต่นั่นเพื่อเปิดจังหวะน่ะ ทางที่ดีเราควรดูเชิงพวกนั้นก่อนเพื่อเก็บข้อมูลกองทัพอีกฝ่าย”
เมื่อฉันอธิบายไปแบบนั้นโอเรลก็พยักหน้าพร้อมทั้งพึมพำว่า ‘งั้นเหรอ’ ออกมา ก่อนที่เจ้าตัวจะขอแยกไปทำธุระที่อื่นต่อ เพราะเจ้าตัวมีหน้าที่ต้องจัดการทหารซึ่งอยู่ที่นี่ เพื่อเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์อยู่ ตอนนี้ฉันจึงนั่งมองไข่มังกรวารี ที่ถูกห่อด้วยผ้าหนาอยู่อย่างเงียบหงัด
“แฟลช มานี่หน่อยสิ”
“กิ้ว!”
เมื่อฉันพึมพำออกมาแบบนั้น ก็มีร่างของมังกรตัวเล็กนั่นก็คือแฟลชมาอยู่บนตักฉันในทันที เมื่อคืนพอไปหาริเกลก็เจอเขาอยู่ด้วยพร้อมทั้งจดหมายจากแฟร์ ที่ว่าจะให้แฟลชอยู่กับฉันจนกว่าจะพร้อมติดต่อกลับไป แถมยังมีเรื่อง…สายลับจากฟัวกราที่แฝงอยู่ในกองทัพเราด้วย
ก็คิดอยู่หรอกว่าอาจจะมี แต่ไม่คิดเลยว่าจะชัดเจนและเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ แถมยังดูท่าจะรู้ข้อมูลเชิงลึกเยอะอีกด้วย แต่เพราะแบบนั้นอาจจะหาจับตัวได้ง่ายก็ได้…
แต่คิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นใคร โอเรลเหรอ? ไม่ เขาเป็นคนที่ยืนกรานอยู่เสมอว่าตัวเองอยู่ฝั่งประเทศฟาเรเรีย ขุนนางฝ่ายการคลัง? เขาดูเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ แต่ก็เป็นไปได้ยาก คนหัวโบราณแบบนั้นคงรักประเทศตัวเองแทบคลั่ง
แม่ทัพ…เป็นคนที่อารมณ์ร้อนและเสนอให้ราชารีบบุ่มบ่ามบุกบ่อย ๆ แถมยังต่อต้านฉันเวลาพยายามเสนอความคิดด้วย อย่างน้อยที่สุด ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ฉันจะไว้ใจไม่ได้เด็ดขาด…
ไม่ได้ ๆ คงจะทำไปเพราะเห็นแก่ประเทศนี้นั่นแหละ มานั่งสงสัยคนอื่นไปทั่วแบบนี้ใช่ไม่ได้เลยแฮะ ตัวฉัน
“นี่ ฝากไปดูทางกองทัพของเจ้าชายหน่อยสิ ถ้ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น ให้รีบกลับมาหาฉันนะ”
หลังออกคำสั่งไปแบบนั้น ฉันก็หยิบลูกอมซึ่งพกติดตัวไว้เสมอออกมาให้ เจ้าตัวชูหงอนบนหัวขึ้นพร้อมทั้งร้องออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะงับลูกอมแล้วออกบินไป
แผนการรบในวันนี้ยิ่งน่าเป็นห่วง ราชาดูร้อนรนมากจนเกินไป ยิ่งอยู่ในสนามรบเขาดูควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แม่ทัพก็สุดจะหัวแข็ง แทบไม่ยอมฟังอะไรเลย
สถานการณ์ของประเทศนี่มันชวนปวดหัวจริง เหมือนเป็นเกมที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่ฉันจะคิดได้เลย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่มีทางชนะจริง ๆ นั่นแหละ ยิ่งกับฟัวกราที่ทำสงครามมาโดยตลอด ฟาเรเรียที่สงบสุขจะเอาอะไรไปสู้กัน
“ถ้ามีเวลามากกว่านี้อีกหน่อย แล้วได้ไต่เต้าจนพอมีสิทธิ์ออกความเห็น…อาจจะเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้ก็ได้แฮะ”
ฉันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกตัวไปมาด้วยความว่าง แล้วพึมพำออกมาเสียงเบาเพราะคิดว่าคงไม่มีใครอยู่ แล้วในตอนนั้นเองก็มีคนเข้ามาในสายตาฉัน
“อยากเลื่อนขั้นเหรอ”
“เหวอ! หัวหน้า!”
หัวหน้าที่เดินมาอยู่ด้านหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้นั้น ส่งเสียงทักออกมาแบบนั้น แย่ละ เผลอประมาทไปซะได้…
“ปะ- เปล่าค่ะ แค่คิดอะไรไปเรื่อย…ฮะ ๆ”
ฉันรีบลุกขึ้นแล้วหัวเราะร่วนเพื่อเปลี่ยนหัวข้อคุย แต่เขาที่ทำสีหน้าจริงจังตลอดเวลานั้นก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย พร้อมทั้งใช้มือลูบคางเพื่อครุ่นคิดบางอย่าง
“จากที่ผ่านมาถ้าเธอตำแหน่งสูงกว่านี้ คงเปลี่ยนสถานการณ์ได้จริง ๆ นั่นแหละ”
“เอ๊ะ”
“อย่าเข้าใจผิดล่ะ ถึงฉันจะคิดแบบนั้น แต่ก็ทำให้ไม่ได้หรอกนะ”
“ฮะ ๆ รู้อยู่แล้วค่ะ”
ฉันยิ้มฝืด ๆ ออกมาพร้อมกับหัวหน้าที่ลากเก้าอี้อีกตัวมาพลางถามว่า ‘นั่งด้วยได้ไหม’ ซึ่งฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วกลับไปนั่งตามเดิม จากเมื่อกี้ที่นั่งอยู่กับโอเรลสองคนจึงเปลี่ยนคู่สนทนาเป็นหัวหน้า
“ในมุมมองเธอแล้ว ประเทศเราไม่ไหวงั้นเหรอ”
“เอ๊ะ มันก็…”
“พูดมาได้เลย”
ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก ฉันรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเอง หน้าที่การงาน และสิ่งที่จะพูดออกไปมันไม่สัมพันธ์กัน เป็นสิ่งที่คนทำงานเป็นลูกน้องทุกคนต้องรู้ ว่าบางทีแล้วการรักษาตำแหน่งในที่ทำงานของตัวเองนั้น ก็สำคัญกว่าการพูดความจริง
แต่ว่า…ในชีวิตนี้ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแล้ว
“ค่ะ ถ้าให้พูดหากเป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ไหวหรอกค่ะ”
“งั้นเหรอ…”
เขาพึมพำออกมาเช่นนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหลับตาลง ก่อนจะเค้นคำออกมาด้วยความเจ็บใจ
“ฉันไม่อยากแพ้”
“หึ ไม่มีใครอยากแพ้หรอกค่ะ…แม้แต่คนที่พาประเทศเราไปสู่ความพ่ายแพ้ก็ตาม”
“ตลกร้ายดีนะ คนรุ่นฉันใคร ๆ ก็รู้ ว่าราชาคนนี้ไม่ควรนำทัพเลย”
เมื่อหัวหน้านินทาราชาออกมาแบบนั้นก็ทำให้ฉันอดใจไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความตกใจ แล้วถามออกไปโดยที่ไม่ทันได้คิด
“ไม่กลัวเหรอคะ ที่พูดออกมาแบบนั้น”
“หึ จะกลัวอะไรล่ะ…ถ้าเธอเอาไปบอกต่อ คนที่ซวยจะเป็นเธอนะ”
“ฮะ ๆ ตลกร้ายดีนะคะ”
การสนทนาที่มีเสียงหัวเราะประปรายของหญิงสาวกับชายวัยกลางคน เป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าเนื้อหาที่คุยนั้นจะไม่น่าตลกเลยแม้แต่น้อย…เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนอีกจำนวนมาก
“จะลองทำงานของหน่วยข่าวกรองไหมล่ะ ที่ไม่ใช่แค่คนประกาศข่าว หรือเด็กส่งของ”
“…จะดีเหรอคะ”
ฉันถามออกไปแบบนั้นเพราะว่างานที่เขาหมายถึงนั่นก็คือ การไปสืบข่าวในต่างประเทศ หรือแม้แต่การติดต่อกับภายนอกอย่างลับ ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ให้ฉันทำเพราะว่าริเกลเด่นเกินไป
“อา มังกรนั่นถึงจะดูเด่นไปหน่อย แต่ก็ทำอะไรสักอย่างได้ใช่ไหมล่ะ”
“ก็…ถ้าเป็นคำสั่งก็จะลองดูค่ะ”
“ดี เตรียมตัวไว้ล่ะ”
เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้นพร้อมทั้งลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินจากไป ก่อนจะหยุดเท้าครู่หนึ่งและหันมาพูดต่อด้วยรอยยิ้มทั้งที่ดวงตานั้นไม่ยิ้มตามแม้แต่น้อย
“เอ้อ แล้วก็…เพราะมันเป็นงานที่เกี่ยวกับข้อมูลภายนอก ดังนั้นไม่มีตรวจได้หรอกนะ ว่าเธอไปเอามาจากไหน แล้วตรงตามที่มาในรายงานรึเปล่าหรอกนะ”
นั่น…กำลังจะบอกว่าถ้าฉันทำงานนั้น ก็จะแทรกสิ่งที่ฉันคิดเข้าไปในรายงานได้งั้นเหรอ? ถึงจะดูเหมือนการโกงไปหน่อยก็เถอะ แต่ว่า…ช่วยได้มากเลยล่ะ ไม่แน่ อาจจะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ได้สักนิดก็ยังดี
และหลังจากหัวหน้าเดินจากไปได้ไม่นาน แขกคนต่อไปก็มาต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พักหายใจกันเลย
“กิ้ว!!”
พอเห็นร่างของแฟลชพร้อมทั้งเสียงร้องด้วยความแตกตื่น ฉันเองก็ตื่นตัวและหยิบอาวุธวิ่งไปหาริเกลทันที โดยไม่จนในสายตาสงสัยของคนอื่น
————————– ————————
“เคียร่า!!”
หลังฉันพ่นลมหายใจใส่ทหารกองหนึ่งแล้วบินลงต่ำใจกลางวงล้อม เสียงเรียกจากเจ้าชายก็ดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ฉันเองก็คงไม่ต่างกัน
วอท?? ปืน? ถึงจะดูเก่าแล้วก็ไม่คุ้นตาไปหน่อย แต่ในมือพวกนั้นมันคือปืนเรอะ?!! ได้ไงอะ ถึงฉันจะไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับพวกนี้ก็เหอะ แต่ยุคนี้มันไม่ควรมีของแบบนี้ไม่ใช่เรอะ?
“ริเกล ฝากพาเจ้าชายกับราชาขึ้นหลัง แล้วก็คุ้มกันด้วยล่ะ ระวังอาวุธที่พวกมันถืออยู่ด้วย”
‘ขะ- เข้าใจแล้ว’
ถึงจะยังสับสนอยู่แต่ตอนนี้ก็ต้องทำตามที่เคียร่าสั่ง ฉันก้มตัวลงให้พวกเจ้าชายขึ้นมาบนหลังได้ ส่วนเคียร่านั้นลงไปสู้กับศัตรูอยู่ที่พื้น เจ้าชายเองก็ช่วยแบกร่างของราชาที่หมดสติขึ้นมาบนหลังของฉัน และในตอนนั้นเอง ปากกระบอกปืนก็หันมาทางเจ้าชาย
‘ระวัง!!’
‘ปัง!’
ฉันส่งเสียงคำรามให้เขาระวังออกไป พร้อมทั้งร่างกายที่ขยับไปเองโดยเอามือไปบางกระสุนเอาไว้ และก็เกิดแรงปะทะเข้าที่เกราะช่วงขาฉันจน…สั่นนน สะเทือนนน ขาฉันสั่นทันทีเมื่อโดนเข้ากับลูกปืนนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่บาดเจ็บ เกราะของฉันกับเคียร่านั้นถึงจะโดนยิงก็มีเพียงรอยบุบเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเป็นเกราะอัศวินที่หนากว่าของทหารราบนั่นเอง ว้าว เจอของที่เกราะนี่ป้องกันได้แล้วแฮะ
และในระหว่างนั้น พวกเจ้าชายก็ขึ้นมาบนหลังฉันได้อย่างปลอดภัย…มั้งนะ?
“เจ้าชายหมอบลง!!”
‘ปัง! ปัง!’
“อึก!”
เจ้าชายที่ขึ้นมาบนหลังฉันได้โอบกอดร่างของราชาไว้ไม่ให้ร่วงลงไป พลางก้มหัวลงตามที่เคียร่าบอก แต่ก็เหมือนว่ายังคงมีโดนกระสุนเฉี่ยวตัวไปบ้าง เดี๋ยวนะถ้ามีคนหมดสติอยู่บนหลังฉัน แล้วเรามีกัน…สี่คน จะพอไหมเนี่ย
‘ปัง!’
‘อา!!’
ในระหว่างนั้นก็มีกระสุนยิงเข้ามาโดนช่วงขาและตัวของฉันที่ไม่มีเกราะ ทันทีที่กระสุนกระทบเข้ากับร่างนั้น ความร้อนก็นำโด่งขึ้นมาเป็นอย่างแรกในจุดที่โดนยิง ก่อนที่ความเจ็บปวดจะขยายไปทั่วทั้งบริเวณ เจ็บ!! แถมยังมีไอ้ความรู้สึกที่ว่าบางอย่างอยู่ในร่างกายด้วย การโดนยิงนี่มันรู้สึกแย่ชะมัด!
ก็แหงล่ะ จะมีใครชอบโดนยิงบ้างล่ะฟะ!
“เคียร่า! รีบขึ้นมาได้แล้ว เกราะเธอจะรับมากกว่านี้ไม่ไหวเอานะ!”
“อา! ท่านแม่ทัพ เรารีบไปกันเถอะ—”
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
ในระหว่างที่กำลังตะโกนกันไปมาอย่างชุลมุนอยู่นั้น เสียงปืนก็ดังสนั่นไปทั่วพร้อมทั้งความรู้สึกที่มีกระสุนกระทบกับเกราะที่ใส่อยู่ และมีบ้างที่หลงมาโดนลำตัว ถึงจะเจ็บแต่ก็ยังไม่อันตรายเท่าไหร่
แต่สำหรับเคียร่านั้น…
‘เกร๊ง!!’
“อึก!”
เกราะของมนุษย์นั้นบางกว่าสำหรับมังกร มีเกราะหลายส่วนของเธอที่แตกหักออกทั้งที่ยังใส่อยู่ ทำให้บนร่างของเธอเริ่มมีแผลที่เกิดจากการถูกเหล็กบาด
และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เราโดนล้อมไว้เยอะกว่าเดิม แถมยังพร้อมยิงอีกเกือบครึ่ง…
“แย่แล้ว-”
“ย๊าก!! เจ้าสามัญชน!!”
ในขณะที่เคียร่ากำลังหาทางหนีจากสถานการณ์ตอนนั้น จู่ ๆ แม่ทัพก็ตะโกนเบ่งพลังออกมาตามสไตล์นักสู้ (?) เพื่อพุ่งตัวเข้าไปหาเคียร่าด้วยสีหน้าน่ากลัวสุด ๆ
เอ๊ะ อะไร ทำอะไรอะ! พวกเราทุกคนตกอยู่ในความสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที เคียร่าเองก็ยังตั้งตัวไม่ทันจนเผลอถอยหลังเพื่อหนีเขา แต่ว่า เจ้าตัวก็คว้าแขนของเคียร่าเอาไว้ได้
ในขณะที่กำลังคิดว่าแย่แล้วเพราะการโจมตีชุดถัดไปกำลังจะมาในขณะที่เคียร่าถูกจับเอาไว้ แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ แม่ทัพก็กัดฟันแน่นโยนดาบทิ้งลงพื้น และดึงตัวเคียร่าเข้าหาตัวเอง
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
ทันใดนั้น คลื่นกระสุนปืนก็ถูกซัดเข้าใส่พวกเรา ฉันใช้ปีกกันและปัดกระสุนให้พวกเจ้าชายได้ ส่วนทางเคียร่านั้น…แม่ทัพเป็นฝ่ายเอาร่างเข้าไปเป็นโล่ให้เธอ โดยการกอดไว้แน่น
“อุก อั๊ก”
“เอ๊ะ…”
เขาส่งเสียงออกมาเก็บกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนจะสำรอกเลือดออกมาเพราะอาการบาดเจ็บของตัวเอง ทำให้เคียร่าได้แต่ส่งเสียงออกมาด้วยความมึนงง ซึ่งพอสังเกตหอกที่มือของเธอนั้น…เตรียมจะแทงร่างของแม่ทัพที่พุ่งพรวดเข้ามาหาตัวเองทุกเมื่อ
“เข้าใจ…เข้าใจแล้วล่ะ รีบไปซะ ประเทศพวกเราต้องการแก…เจ้าสามัญชน”
เขาพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาเช่นนั้น ก่อนที่ดวงตาจะไร้ซึ่งหลักฐานการมีชีวิตอยู่ และมือที่กอดเคียร่าไว้แน่นก็คลายออก พร้อมทั้งร่างที่ล้มลงไปกับพื้น
เคียร่าอ้าปากค้างและนิ่งไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะขบฟันแน่นและดึงสติตัวเองด้วยการทุบเข่าไปหนึ่งที โดยไม่สนใจว่าจะมีแผลอยู่รึเปล่าทำให้เลือดกระจายไปทั่ว วิธีดึงสติเถื่อนชะมัด
“อา!!”
และออกตัววิ่งพลางใช้มือคว้าบางอย่างไว้ แล้วรีบกระโดดขึ้นมาบนหลังฉัน
“ออกตัวเลยริเกล!”
‘ได้เลย!!’
ฉันรีบพุ่งทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกนั้นจะใส่กระสุนชุดถัดไป หรือกองหนุนจะเข้ามายิงต่อได้ทัน และรีบมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการในทันที
“อาวุธนั่นมันบ้าอะไรกัน!!”
เจ้าชายที่เหมือนจะคงความเป็นผู้ดีไม่อยู่นั้นสบถออกมาอย่างเจ็บใจ ก็…เข้าใจแหละนะ เจอแบบนั้นเข้าไป แถมในมุมมองเจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร มันคงน่ากลัวยิ่งกว่าฉันที่พอรู้จักปืนอยู่บ้าง
แต่ทางเคียร่านั้นทำหน้าครุ่นคิดบางอย่าง พลางยกมือขึ้นมา…โว้ว แอบหยิบปืนของพวกนั้นมาด้วยเหรอ
“ถ้าจากที่เคยได้ยินแฟร์เล่า…นี่คงเป็นฝีมือของ เดเวีย ประเทศแห่งความรู้ ที่เป็นพวกคิดค้นอะไรแปลกใหม่ได้เสมอ…แต่ไม่คิดว่าจะทำได้ถึงขนาดนี้”
เดเวีย? เอ เดเวีย…รู้สึกว่าจะเป็นประเทศที่ไม่ไกลจากฟัวกรามากรึเปล่านะ? เห็นว่าข้ามแม่น้ำสายที่อยู่กลางทวีปไปก็เจอแล้ว ที่นั่นทำของที่เหมือนเป็นบัคของโลกออกมางั้นเรอะ
“ยังไงก็เถอะ พวกเราต้องรีบถอยแล้วกลับไปคิดแผนรับมือ…อย่างน้อยที่สุดก็ต้องป้องกันให้ได้”
เจ้าชายพูดขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง เคียร่าเองก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วสูดหายใจเข้าลึกก่อนผ่อนลมหายใจให้ตัวเองสงบลง แล้วจ้องมองไปด้านหน้า
“อา นั่นสินะ”
————————— ———————
(มุมนักเขียน)
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งของโลกจริงและโลกในนิยายนะคะ~ เนื่องจากเป็นการหาข้อมูลเพื่อนำมาปรับใช่ในนิยาย จึงขอเป็นการรวบรัดและตัดทอนตามแบบที่เราเข้าใจนะคะ (ฮา)
ปล.ปี คศ. ที่เราใช้เป็นเพียงแค่โดยประมาณ ไม่ใช่ตัวเลขที่ตรงเป๊ะนะคะ ซึ่งสามารถค้นได้ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ต
แรกเริ่มมีการค้นพบดินปืนในช่วงศตวรรษที่ 13 และเริ่มมีการคิดค้นปืนคาบชุดครั้งแรกเมื่อช่วยปลายศตวรรษที่ 14 และเป็นปืนคาบศิลาในศตวรรษที่ 15 ก่อนจะเริ่มใช้แพร่หลายในศตวรรษที่ 16 และแทนที่อาวุธอย่างอื่นโดยสมบูรณ์ในศตวรรษที่ 17 อันนี้เป็นไทม์ไลน์คร่าวๆ ของโลกจริงค่ะ (อาจจะมีผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัย ;-;)
และในนิยายเรื่องนี้ หลายๆอย่าง อย่างการพัฒนาสิ่งต่างๆเราอ้างอิงช่วงศตวรรษที่ 14-15 เป็นหลักค่ะ (กรณีที่ไม่มีตัวแปรในการเปลี่ยนแปลง) แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนหลายๆ อย่างให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม สังคม และภูมิประเทศภายในนิยาย ดังนั้นลำดับการพัฒนาของสิ่งต่างๆ อาจจะไม่ตรงตามโลกจริงมากนัก
อย่างเช่น สิ่งที่ควรจะเกิดไปแล้วดันยังไม่เกิด แต่สิ่งที่ยังไม่ควรเกิดดันเกิดไปก่อน อย่างเช่นตอนล่าสุดที่เริ่มมีปืน(ศตวรรษที่ 14 ขึ้นไป) ทั้งที่โครงสร้างสังคมยังไม่เข้าช่วงเรเนซอง ดูเป็นยุคกลางอยู่(ไม่เกินศตวรรษที่ 14) เป็นเพราะว่าภายในทวีปนี้ยังคงวุ่นวายกับสงครามเหมือนช่วงยุคกลาง จึงยังไม่เกิดการกระตุ้นให้ฟื้นฟูสิ่งต่างๆ แต่เพราะเป็นแบบนั้นจึงเริ่มมีการเร่งคิดค้นอาวุธขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำสงคราม แต่แอบสปอยว่านิยายเรื่องนี้คาบเส้นระหว่างสองยุคสำหรับโลกนี้ค่ะ— แค่กๆ
และด้วยเหตุนี้ โลกภายในนิยายเรื่องนี้ยังคงมีปัจจัยอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้ต่างจากโลกเราอีกมาก ซึ่งก็มีเปิดเผยหรือแง้มๆ ไว้แล้วบ้าง สารภาพเลยว่าเราเองก็รู้ตัวดีว่าพูดถึงน้อยมากๆ (ฮา) แต่ก็ยังคงมีอีกมากที่ยังไม่ได้เล่าหรือกล่าวถึงภายในเรื่อง ในอนาคตเราตั้งใจว่าจะมีการพูดถึงปัจจัยที่แตกต่างไปจากโลกจริงอันเป็นสิ่งเฉพาะใน ‘ดราโทก้า’ มากยิ่งขึ้น
ดังนั้นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจและติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ ><