สรุปแล้วหลังจากตอนนั้นฉันก็โดนโยนลงมาจากต้นไม้นับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็บินได้แล้ว เอาจริง ๆ แค่ไม่กี่ครั้งร่างกายฉันมันก็บินเองแล้วแหละ แต่ยังควบคุมไม่ได้เพราะจัดการความรู้สึกไม่ถูก
ดังนั้นที่ต้องโดนโยนอีกหลายรอบก็เพราะให้รับรู้ ว่าไอ้อะไรสักอย่างตรงหลังนี่มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งแน่นอน ไอ้นั่นที่ว่าก็คือกล้ามเนื้อปีกนั่นเอง
พอเริ่มควบคุมการบินได้ตามใจนึกแล้วฝึกตามแผนเดิม ลากซุงเพื่อเพิ่มกำลังกาย ถึงการบินจะช่วยทุ่นแรงได้บ้างแต่สุดท้ายมันก็หนักโคตร ๆ อยู่ดี
แต่ก็นะ ขึ้นชื่อว่าการฝึกก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ แหละเนอะ จนกว่าจะเก่งขึ้นดังนั้นฉันจึงมาหาดีอาร์เพื่อขอฝึกทุกวัน ยกเว้นวันที่เคียร่าต้องไปเก็บของป่าช่วยที่บ้าน
แน่นอนว่านอกจากนั้นเคียร่าเองก็ฝึกหลาย ๆ อย่างจากคุณโรเวิร์ตเช่นกัน มีเพียงเวทมนตร์ที่ไม่มีใครสอนให้พวกเราทั้งคู่ เพราะบอกว่ามันอันตรายเกินไปที่จะฝึกตอนนี้
เพราะอะไรกันนะไม่เห็นเข้าใจเลย…แต่ก็ไม่รบเร้าอะไรมากเพราะว่าเวลาว่าง ๆ ก็จะอ่านหนังสือเวทมนตร์กับเคียร่าอยู่ดี จนเวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งปี
เวลานี่ผ่านไปเร็วจนน่ากลัวเลยนะเหมือนร่างกายของฉัน ที่โตจนมีขนาดเท่า ๆ สุนัขพันธุ์ใหญ่แล้ว โดยที่ทางเคียร่าก็ยังตัวเท่าเดิมไม่เปลี่ยน
น่าเศร้าจังเลยน้า นั่งบนตักของเธอไม่ได้แล้วเนี่ย อยากให้ตัวเล็กนานกว่านี้อีกหน่อยจัง เอาเถอะอย่างน้อยก็ยังกอดกันได้อยู่…ถึงเธอจะทำหน้าตาอึดอัดก็เถอะ
“ริเกล มาทางนี้เร็ว!”
ฉันตั้งคอขึ้นสูงทันทีที่ถูกเรียกชื่อ เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็เจอเคียร่าที่ยืนโบกมือเรียกด้วยความร่าเริง ทำเอาเผลอเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย
มีอะไรหรือเปล่านะ ปกติเข้ามาเก็บของป่าก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนี่นา
‘เข้าใจแล้ว กำลังไป’
ฉันส่งเสียงร้องกลับไปแน่นอนว่าเธอไม่มีทางรู้ความหมายที่อยากจะสื่อ แต่ว่า มันก็เคยชินไปซะแล้วการขานรับในแบบของมังกรเนี่ย
คนส่วนมากในหมู่บ้านฉันก็ขานรับเช่นกัน นั่นทำให้โดนเอ็นดูยกใหญ่เลย ไม่ต่างจากไอดอลประจำหมู่บ้านเลยน้า ฉันเนี่ย
และไม่นานก็วิ่งไปถึงจุดที่เคียร่ายืนอยู่ ก่อนเธอจะนั่งลงและคุ้มที่พุ่มหญ้าตรงหน้า อะ เห็นอะไรส่องแสงแวววาวอยู่ด้วย!
“ดูนี่สิ ถึงช่วงนี้ของปีแล้วล่ะ”
เธอพูดแบบนั้นพลางหยิบบางอย่างที่ส่องแสงอยู่ตรงนั้นขึ้นมา มันเป็นเศษผลึกบางอย่างสีออกเทา ๆ มีขนาดเท่ากำปั้นของเคียร่า เล็กจังแฮะ
“อะไรเล่า ตื่นเต้นหน่อยสิริเกล”
‘เอ๋ ก็มันไม่รู้นี่นาว่าคืออะไรอะ’
ฉันร้องครวญครางออกไปเบา ๆ พลางย่นคิ้วด้วยความสงสัย เธอถึงถอนหายใจออกมาและเริ่มอธิบาย เหมือนว่าแถวนี้จะเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมังกรดินสายพันธุ์ อัลละวา
ซึ่งในที่สุดฉันก็นึกออกว่าเหมือนเคยเจอที่ไหน มังกรที่ไล่กวดฉันในตอนที่เกิดมานั่นเอง เอ๋ แล้วไหงมาตกอยู่ที่พื้นแบบนี้ล่ะเนี่ย ได้ไงอะ
“ตอนนี้เริ่มเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วล่ะ ซึ่งผลึกบนตัวของอัลละวาจะค่อย ๆ หลุดออกมา จนหมดไปในช่วงฤดูหนาวเพื่อนเตรียมตัวจำศีล โดยระหว่างนั้นพวกเขาจะกินแร่บนร่างกายของตัวเองเป็นอาหารน่ะ”
อ้อ แบบนี้นี่เองช่วงจำศีลสินะ มังกรเองก็ต้องจำศีลด้วยเหรอเนี่ย ความรู้ใหม่เลย…เดี๋ยวนะ แล้วฉันล่ะ งั้นก็ต้องจำศีลด้วยรึเปล่านะ แล้วต้องทำยังไงหว่า…
เพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ไม่รู้เลยเผลอเหม่อไปเล็กน้อย จึงถูกดึงสติกลับมาด้วยเสียงเรียกของเคียร่า ที่จะอธิบายต่อ
“แล้วเพราะแบบนั้นแหละ ถ้าเป็นเศษเล็ก ๆ แบบนี้พวกมังกรจะไม่สนใจกันน่ะ ดังนั้นเลยเก็บเอาไว้ไปขายได้ราคาสูงอยู่”
เห๋ เพราะงั้นเลยตื่นเต้นสินะ งี้นี่เอง
“เห็นก้อนแค่นี้อาจจะซื้อไข่ได้ตั้ง 10 ฟองเลยนะ!”
‘ไข่!’
ฉันส่งเสียงออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น จะว่าไปตั้งแต่เกิดมาครึ่งปีก็ไม่เคยเห็นเมนูที่ใช้ไข่เป็นส่วนประกอบเลย เพราะดูเหมือนว่านอกจากจะแพงแล้วยังหาซื้อยากอีก
ถ้าให้เดาที่นี่คงยังไม่มีการทำฟาร์มปศุสัตว์ล่ะมั้ง แทบจะลืมรสชาติของไข่ไปแล้วนะเนี่ยอดใจแทบไม่ไหวเลย แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว
“ฮะ ๆ ถ้าหาซื้อได้ล่ะนะ คงต้องรอลุ้นกับพ่อค้าเร่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงล่ะนะ”
‘อื้ม!’
ฉันส่งเสียงขานรับไปอย่างร่าเริง แล้วก็กระตือรือร้นในการตามหาเศษผลึกที่หล่นออกมา ถ้าหามาได้เยอะ ๆ ก็จะช่วยเรื่องการเงินของพวกเคียร่าได้สินะ
ถึงชีวิตประจำวันจะไม่ต้องใช้เงินมากก็เถอะ แต่ถ้ามีไว้ก็คงทำอะไรได้มากกว่า และแบบนั้นก็จะยิ่งออกเดินทางได้ง่ายด้วย
เอาล่ะ รีบกอบโกยให้เยอะ ๆ เลย!!
———– ————-
สุดท้ายจนพวกพ่อค้าเร่มาพวกเราก็หาเจอกันแค่สองก้อนเท่านั้น แถมขนาดก็เล็กๆ เท่ากำมือของเคียร่า หายากจริง ๆ ก็นะพวกมังกรปฐพีก็ต้องเก็บไปเป็นเสบียงนี่นา ไม่แปลกหรอกมั้ง…
แต่จนจะหมดฤดูใบไม้ร่วงแล้วหาเจอแค่นี้จะไม่น้อยไปหน่อยรึไง
“นี่ริเกล ไปดูของขายจากกองคาราวานพ่อค้าเร่กันเถอะ!”
เอ๋ ฟังจากเคียร่าเหมือนว่าพ่อค้าเร่จะมากันเป็นกองคาราวานเหรอ ตอนแรกนึกว่าแค่เดี่ยวๆ ซะอีก แต่เพราะแบบนี้ถึงน่าสนใจ ขึ้นชื่อว่าเดินทางไปเรื่อยแสดงว่าต้องมีของแปลกตาเวียนเข้ามาแน่ๆ
ดังนั้นจึงเดินตามหลังของเคียร่าไปเหยาะ ๆ ก่อนที่จะต้องสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัวเมื่อเจอเข้ากับอากาศภายนอก
ลมที่พัดประจำในฤดูนี้เริ่มมีความเย็นแฝงมา บ่งบอกให้รู้ว่าอีกหน่อยฤดูหนาวจะผ่านมาเยือน รู้สึกไม่ชอบเลยแฮะหนาวสุด ๆ ไม่อยากให้ฤดูหนาวมาถึงเลย
เราทั้งคู่เดินไปไม่นานก็ถึงใจกลางหมูบ้านซึ่งปกติจะเงียบสงบ แต่บัดนี้กลับคับคั่งไปด้วยผู้คนมากมาย พร้อมทั้งเกวียนจำนวนมากที่จอดตั้งแผงในหมู่บ้าน
‘ว้าวว’
ฉันทึ่งกับภาพตรงหน้าจึงส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ ทำให้เคียร่าหันมามองและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ราวกับว่าเป็นไปตามที่เธอคาดการเอาไว้
“เป็นไงบ้างริเกล น่าสนุกขึ้นมาหน่อยไหม”
‘อื้อ! น่าสนุกสุด ๆ เลย!’
และหลังจากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็เดินดูร้านค้าต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน ซึ่งถึงแม้ฉันจะเป็นมังกรพวกเขาก็ไม่มีท่าทีรังเกียจเลยแม้แต่น้อย สมแล้วล่ะนะก็เป็นโลกที่อาศัยอยู่กับมังกรนี่เนอะ
แต่ก็รู้สึกได้ มีบางสายตาที่โดนมองแล้วไม่สบายใจเอาซะเลย เป็นสายตาจากคนที่มองตามหลังตอนเดินผ่านมา รู้สึกขนลุกยังไงชอบกล
เหมือนว่าเคียร่าจะได้หน้าที่ให้ลองมาขายผลึกด้วยตัวเองดู ตอนนี้พวกเราจึงต่อแถวขายให้กับหัวหน้าคาราวานนั่นเอง ซึ่งเพราะเรามาเร็วมากจึงอยู่หน้าแถวและรออีกฝ่ายเตรียมตัวอยู่
นี่เป็นวิธีการฝึกเด็กของโลกนี้สินะโยนให้ปฏิบัติจริงเนี่ย เพราะว่าคนในแถวคนอื่นก็คือเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับเคียร่าทั้งนั้นเลย สุดยอดเลย
แต่ก็แอบกังวลอยู่หน่อย ๆ ว่าอีกฝ่ายจะเอาเปรียบเธอซึ่งเป็นเด็กหรือเปล่า แถมเจ้าตัวก็ยังไม่มีท่าทีกลัวอะไรเลยจนแอบเป็นห่วง
หวังว่าจะผ่านไปด้วยดีล่ะนะ
“ขอรบกวนหน่อยนะคะ พอดีอยากมาขายผลึกจากมังกรอัลละวาค่ะ”
“โอ้ เธอสินะคนแรก”
คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะซึ่งคุณโรเวิร์ตจัดเอาไว้ให้เป็นชายผมสั้นสีน้ำเงินเข้มและดวงตาสีเดียวกันกำลังนั่งจดบางอย่างอยู่ โดยที่มีเงินจำนวนมากเตรียมเอาไว้
“ค่ะ”
พูดแล้วเคียร่าก็วางผลึกทั้งสองก้อนให้เขาดู อีกฝ่ายจึงหยิบขึ้นมาและมองวิเคราะห์อะไรสักอย่างพลางพึมพำออกมาเบา ๆ คงจะกำลังตรวจสอบสินค้าอยู่ล่ะมั้ง
เห็นว่าพ่อค้าเก่ง ๆ น้อยคนจะใช้สกิลประเมินได้ ซึ่งหัวหน้ากองคาราวานนี้เป็นหนึ่งในนั้น
“อืม ทั้งสองผลึกนี้เป็นแร่ทั่วไปที่หาได้ในประเทศฟาเรเรีย น่าเสียดายนะแต่ราคาไม่ค่อยดีนักหรอก…หมดนี่ฉันให้ 15 กิล”
ฉันได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัยในค่าเงินที่ไม่รู้จัก กิลนี่ค่าเงินของโลกนี้สินะ แล้วนี่มันเยอะหรือน้อยกันล่ะเนี่ย? และเหมือนเคียร่าจะรู้ว่าฉันงงจึงกระซิบให้ฟัง
“ประมาณอาหารธรรมดา 12 จานน่ะ”
ประมาณ 12 จานถ้างั้นกับบ้านเราก็ได้ประมาณ 4 มื้อสินะ…ไม่น้อยเกินไปหน่อยเรอะนั่นน่ะ!
‘เฮ้ มันหายากหน่า!’
เพราะความรู้สึกว่ามันน้อยเกินไปฉันจึงร้องออกมาเหมือนเห่าใส่เขา ทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจเล็กน้อย และเคียร่าก็ลนลานพลางบอกให้ฉันสงบลง
ก็มัน…
“เอาหน่าริเกล ฉันจัดการเอง…จะดีหรือคะ ถึงจะเป็นแร่ที่หาได้ทั่วไป แต่นี่มาจากร่างกายของมังกรอัลละวาที่อาศัยอยู่แค่แถบนี้นะคะ”
“…ถึงฉันจะจ่ายแพงไปที่อื่นก็คงไม่รับซื้อราคาต่างจากเดิมหรอกนะ เพราะเท่าที่ดูก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษจากเดิมเลย”
อะ เคียร่าเริ่มเปิดหัวข้อสนทนา การต่อรองราคาล่ะ มีแผนอะไรหรือเปล่านะ ด้วยความสนอกสนใจฉันจึงสงบลงและยืนมองดูทั้งคู่คุยกัน
โดยที่เริ่มจากเคียร่าซึ่งอธิบายว่าทำไม
“ก็จริงอยู่ที่ภายนอกมันดูไม่มีอะไร แต่ว่า ไม่สงสัยบ้างหรือคะ”
“สงสัย? อะไรรึ”
นั่นสิ เธอหมายถึงเรื่องอะไรหว่า ในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงหัวหน้าคาราวานที่งง ฉันเองที่อยู่ข้าง ๆ เธอก็เอียงคอเช่นกัน เกิดเป็นภาพที่มังกรตัวน้อยกับชายวัยกลางคนกำลังเอียงคอมองสาวน้อยตัวเล็ก
เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างดีใจ ราวกับสีหน้าตอนมีเหยื่อมากินเบ็ดที่โยนไปเลย
“สงสัยว่าทำไมผลึกพวกนี้ถึงหลุดออกมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงไงคะ”
“ทำไมน่ะเหรอ เรื่องแบบนั้นก็มีเขียนไว้ทั่วไป ว่าพวกมันจะเก็บเป็นเสบียงในฤดูหนาวไงล่ะ”
“ถ้างั้นทำไมถึงกินเป็นผลึกพวกนี้ล่ะคะ”
“…”
โอ้ เธอทำให้ชายคนนั้นพูดอะไรต่อไม่ได้แล้วได้แต่มองหน้าเธอด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด จัดการได้อยู่หมัดเลยแฮะ…และเธอก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างสุภาพ
ชวนให้นึกถึงพวกพนักงานขายของในชาติก่อนเลย
“ทำไมพวกมังกรอัลละวาถึงเก็บผลึกบนร่างกายตัวเองเป็นอาหารช่วงจำศีล? ทั้ง ๆ ที่สัตว์อื่นก็ยังหาพวกผลไม้ไว้เลยแท้ ๆ และถ้าเป็นเพราะพวกสามารถเปลี่ยนแร่ให้กลายเป็นพลังงานให้ตัวเองได้จริง ทำไมต้องเป็นผลึกบนร่างกายตัวเองด้วยล่ะ? ถ้าแบบนั้นก็กินแร่ตามธรรมชาติก็ได้หนิไม่จำเป็นต้องสลัดผลึกบนตัวออกเลย”
“เพราะมันเป็นธรรมชาติ…”
“ธรรมชาติมีเหตุผลในตัวของมันเสมอค่ะ เหมือนที่ว่าทำไมมังกรวารีถึงอยู่ในทะเล และมังกรปฐพีอยู่บนพื้นดิน”
เธอสวนกลับได้ทุกคำโต้แย้งของหัวหน้าคาราวานเลยแฮะ เป็นการคุมเกมที่สมบูรณ์แบบมาก จนถึงขั้นว่าอีกฝ่ายที่เป็นผู้ใหญ่ถึงกับต้องทำท่าทางครุ่นคิดใหญ่เลย
และนั่นก็เหมือนการเปิดโอกาสใหญ่ให้กับคู่ค่าทันที
“ฉันคิดว่าที่พวกมันกินผลึกตนเองไม่ใช่เพราะแปรเป็นพลังงานได้ แต่เป็นผลึกต่างหากที่มีพลังงานค่ะ”
“?! หมายความว่าไง”
เป็นครั้งแรกเลยที่อีกฝ่ายแสดงสีหน้าประหลาดใจและตกตะลึงออกมา เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาทำเพียงสีหน้าเอือม ๆ ราวกับรำคาญการพูดร่ายยาวของเคียร่า
หนนี้จึงดูเหมือนว่าเขากำลังสนใจที่จะฟังจริง ๆ
“ลองคิดดูสิคะ หลังผลึกหลุดจนหมด พวกมังกรอัลละวาก็จะใช้เวลาสักพักถึงจะงอกขึ้นมาใหม่ แล้วพอลองคิดทบทวนดู ถ้ามันเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดแล้วสาเหตุกับต้นกำเนิดคืออะไร ฉันว่ามันดูเหมือนการสะสมพลังงานแล้วพัฒนาเป็นผลึกบนตัวของพวกมันนะคะ”
“…ยัยหนูเป็นใครกัน ฉลาดเป็นกรดเลยนะคิดได้ขนาดนี้”
ในที่สุด อีกฝ่ายก็เลิกทำหน้าครุ่นคิดแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมาพลางกล่าวชมเคียร่า หึ แน่นอน! เคียร่าน่ะเป็นเด็กฉลาดมาก อัจฉริยะเลยแหละ!
ขนาดฉันเองยังภูมิใจแทนพ่อกับแม่เลย
“ไม่เลยค่ะ ฉันไม่ได้ฉลาดแค่สงสัยไปเรื่อยแหละค่ะ”
“งั้นเหรอ สงสัยตามประสาเด็กสินะ…”
เขาพึมพำออกมาแบบนั้นพร้อมกับดันร่างของตนเองให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะยิ้มให้เคียร่าแล้วยื่นมือมาหาเธอ เพื่อขอจับมือ
“ฉัน บิลลี่ เวลเลอร์ เป็นหัวหน้ากองคาราวานแห่งนี้ รู้สึกยินดีจริง ๆ ที่ได้เจอเด็กมีพรสวรรค์แบบเธอ ชื่ออะไรรึ?”
เขาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้วถามชื่อของเธอ แต่ว่า เคียร่ากลับไม่ยื่นมือไปตอบรับพลางปั้นยิ้มไว้อย่างมั่นคง
“ให้ราคาเท่าไหร่คะ”
จริงด้วยจนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ได้เสนอราคาใหม่เลยนี่หว่า คำพูดเมื่อกี้นี้คือปิดการขายสินะ ใช่สินะ นี่กะจะฉวยโอกาสเคียร่าเรอะ!
เมื่อฉันประมวลผลออกมาแบบนั้น ก็เผลอแยกเขี้ยวไปตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มีใครสะทกสะท้านเลย จนเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ทำสีหน้าเสียดายเล็กน้อยพลางพึมพำบางอย่าง
“ไม่ประมาทเลยนะ…นั่นสินะ ถ้าจากสิ่งที่เธอพูดมาล่ะก็คงให้สัก…”
จากนั้นเขาก็ทำท่าทางคิดหนักเล็กน้อย ไม่สิ สุด ๆ จนหน้าตาน่ากลัวเลยล่ะ คงกำลังคำนวณราคาให้อย่างจริงจังล่ะมั้ง ไม่นานนักเขาก็พูดออกมา ด้วยท่าทีสบาย ๆ
“500 กิลล่ะมั้ง”
หลังคำพูดนั้นของบิลลี่เคียร่าก็ยังคงยืนปั้นยิ้มนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งโดยไม่ตอบอะไรเลย ก่อนที่จะ…
“เอ๋!!”
ร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีดจนดังสนั่นไปทั่ว เรียกสายตาของผู้คนรอบ ๆ ให้หันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเต็มไปด้วยสายตาแห่งความสงสัย
แต่บิลลี่ก็ส่งสัญญาณให้สงบลงทำให้กลุ่มสายตาสลายหายไปอย่างรวดเร็ว มอบความเป็นส่วนตัวให้กับพวกเราทั้งคู่
“ถึงจะเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐาน แต่คำพูดของเธอมีโอกาสเป็นจริงสูง และถ้าเป็นแบบนั้นมันก็มีค่าไม่ต่างจากหินเวทมนตร์ ซึ่งหายากมาก”
“ขะ- ขนาดนั้นเลยเหรอคะ…”
“? ไม่ใช่ว่าทำเพราะรู้อยู่แล้วเหรอ”
คราวนี้ก็กลายเป็นทางฝั่งบิลลี่ก็ตกใจจนหน้าเหวอเช่นกัน และเคียร่าก็ส่ายหน้าไปอย่างแรงเพื่อบอกว่าตนไม่รู้ อ้าว ไหงกลายเป็นงี้ได้กัน…
“คิดว่าอาจจะเพิ่มมูลค่าได้สักครึ่งนึงก็ดีค่ะ…ไม่รู้ว่ามันจะมีค่ามากขนาดนี้”
ตอนนี้บรรยากาศของทั้งคู่อยู่ในความอึดอัด ถ้าให้ฉันเดาก็…ทางฝั่งบิลลี่ก็คิดว่าเคียร่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว และตัวเองก็ตกอยู่ในกำมือเรียบร้อย
ต่างจากเคียร่า ที่ตามจริงไม่รู้อะไรเลยแค่ลองบลัฟดูแล้วผลมันก็ออกมาดีกว่าที่คาดเอาไว้มาก แต่ก็จริงๆ แหละนี่มันกี่เท่าแล้วนะ
“นี่ฉันคนนี้โดนเด็กปั่นหัวเหรอเนี่ย…”
บิลลี่ใช้มือกุมหัวของตัวเองพร้อมกับเดินเซเล็กน้อยจนล้มลงไปนั่งที่เก้าอี้ เคียร่าเองก็ยังตัวแข็งอยู่ไม่พูดอะไรต่อซะที ตอนนี้คนที่ต่อแถวรอขายต่อก็เริ่มมองอย่างสงสัยแล้ว
เพราะว่าจุดที่เราอยู่ไม่มีใครได้ยินที่คุยกันล่ะนะ แย่ล่ะ ถ้ามีคนสงสัยจนแอบฟังรู้ข่าวเรื่องนี้นี่ยุ่งยากแน่ ต้องให้รีบจบ…
‘นี่! ตั้งสติกันได้แล้ว!!’
ฉันร้องออกมาเพื่อเรียกสติทั้งคู่ที่ล่องลอยไปไกล ก่อนจะเดินไปด้านหลังเคียร่าและใช้หัวดันเธอให้เดินไปหาบิลลี่ รีบตกลงขายแล้วกลับได้แล้ว!
“อะ- อา ค่ะ ฉันเองก็ยินดีที่ได้เป็นคู่ค้ากับคุณนะคะ ชื่อว่า เคียร่า ค่ะ”
แล้วหลังจากนั้นทั้งคู่ที่กลับมาแล้วก็จับมือปิดการขายกันเรียบร้อย
———- ————-
ภาพมังกรปฐพีอัลละวา (ตัวเดียวกันกับตอนที่ 1 แต่รูปพึ่งมา 55)
(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )
หมายเหตุ : สีและชนิดของผลึกบนตัวแตกต่างไปตามแต่ละตัว หรือถิ่นที่อยู่อาศัย อย่างเช่นบางตัวเป็นแร่สีฟ้า แร่สีเขียว หรือคริสทัลสีต่างๆ
ภาพมังกรปฐพีอัลละวา ในช่วงไม่มีผลึกบนตัว
MANGA DISCUSSION