ในวันต่อมา ฉันถูกเคียร่าปลุกตั้งแต่ยังไม่ฟ้าสาง เพื่อบอกว่าจะออกเดินทางกลับไปเมืองหลวงกันทันทีเลย แน่นอนว่าสำหรับฉันนั้นไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ว่า…ฉันหันกลับไปมองทางบ้านของพวกเรา ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีใครตื่นเลยสักคน
‘จะดีเหรอ’
ฉันส่งเสียงร้องเบา ๆ ออกจากลำคอด้วยความรู้สึกเป็นห่วง แต่เคียร่าก็ทำแค่ฝืนยิ้มออกมาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนที่พวกเราทั้งคู่จะเตรียมตัวเสร็จแล้วออกบินไปในทันที
สุดท้ายแล้ว เคียร่าก็ไม่ได้บอกที่บ้านว่าตอนนี้เกิดสงคราม และพวกเราทั้งคู่เองก็ต้องร่วมกับกองทัพด้วย แต่ในเช้าวันนี้โรเวิร์ตคงเอามาประกาศให้ฟังกันทั้งหมู่บ้านอยู่ดี แต่ว่า…ถึงจะคิดว่าสิ่งที่เคียร่าทำมันไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกอะไรไม่ได้ และเธอก็ตัดสินใจแบบนี้ไปแล้วด้วย
พวกเราจึงบินไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบเฉียบทั้งแบบนั้น…จนเกือบบ่าย พวกเราก็มาถึงเมืองหลวงกัน หน่วยอัศวินมังกรนั้นขึ้นตรงกับกษัตริย์จึงอยู่ภายในวัง ตอนนี้ฉันเองก็บินมาหยุดอยู่ที่พักของอัศวินมังกร เพราะว่ามีโรงเก็บขนาดใหญ่ไว้สำหรับให้มังกรพักผ่อนอยู่
“เดี๋ยวฉันไปรายงานให้หัวหน้าฟังก่อนนะ เดี๋ยวจะกลับมาถอดชุดเกราะให้แล้วก็พาไปพักผ่อน”
‘อื้อ! เข้าใจแล้ว’
จากนั้นเคียร่าก็มุ่งหน้าไปยังที่พักของอัศวิน ถึงจะเข้าร่วมกับกองทัพนี้ได้ไม่นานนัก แต่ด้วยความสดใสร่าเริงและเป็นมิตรของเคียร่า ถึงตอนแรกจะมีโดนเขม่นเพราะเหมือนได้เข้าร่วมเพราะเส้นสายจากฉัน หรือการเป็นเพื่อนกับเจ้าชาย
แต่สุดท้ายหลังจากที่โดนกลั่นแกล้ง โดยอ้างว่าเป็นการรับน้องและเตรียมความพร้อมของสมาชิกใหม่ เคียร่าก็สามารถผ่านมันมาได้ด้วยตัวเอง แม้จะเป็นบททดสอบที่ฉันไม่มีส่วนร่วมเลยก็ตาม ท่าทีของพวกคนในกองอัศวินมังกรเลยเปลี่ยนจากตอนแรกราวฟ้ากับเหว
ยิ่งในหน่วยข่าวกรองที่พวกเราสังกัดอยู่นั้น ในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากกลุ่มพี่น้องกันเลย
“โอ๊ะ ริเกลกับเคียร่ากลับมากันแล้วเหรอ มังกรบินนี่เร็วดีจริง ๆ ”
ในตอนที่ฉันกำลังรอเคียร่าอยู่นั้นเอง ก็มีสิ่งหนึ่งที่เมื่อไปกระจายข่าวที่อื่นไม่เคยเจอ นั่นก็คือมีคนเข้ามาทักทายนั่นเอง เท้าความก่อนว่าอัศวินมังกรมีแค่ผู้ชายอีกทั้งยังเป็นขุนนาง แต่ว่าหน่วยข่าวกรองที่พวกเราอยู่เป็นแค่หน่วยเล็ก ๆ ในหมู่อัศวิน ที่เป็นเหมือนรวมเศษเหลือเอาไว้เฉย ๆ ไม่ว่าจะเพราะเป็นขุนนางระดับล่าง หรือเป็นคนแปลกประหลาดเข้ากับคนอื่นไม่ได้
อย่างคนที่อยู่ตรงหน้าฉัน เขาเป็นคนที่เข้ากับหน่วยอื่นไม่ค่อยได้นักมีชื่อว่า อิลร่า โมร่า เป็นคุณชายในตระกูลโมร่าที่ไม่ได้รับช่วงต่อการเป็นผู้นำตระกูล ตอนนี้เลยมาคลุกอยู่กับการเป็นอัศวิน และ…
“รอเคียร่ามาถอดชุดเกราะให้สินะ หรือจะให้ฉันถอดให้เลยดีล่ะ ฮ่า ๆ อั๊ก–”
พูดยังไม่ทันจบ เขาก็เปิดประตูโรงเก็บมังกรขนาดใหญ่ออก และในตอนนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตนับสิบกระโจนออกมา พวกมังกรที่อยู่ด้านในกำลังกระโจนใส่เขาเพื่อเป็นการอ้อนนั่นเอง
“เข้าใจแล้วน่า ๆ ทีละคนสิ”
‘ไหวไหมนั่นน่ะ’
ฉันยิ้มแห้ง ๆ พลางส่งเสียถามออกไปแบบนั้นถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องก็เถอะ ใช่ อิลร่าเป็นคนที่ชอบเล่นกับพวกมังกร แถมยังเป็นที่รักของพวกมังกรด้วย ดังนั้นทุกตัวแม้เขาจะไม่ใช่เจ้าของก็ยังสนิทสนมด้วย เหมือนกับตอนนี้
มังกรที่มีรูปร่างคล้ายกับม้า มีขนบนหัวและด้านหลังยาวปกคลุมทั่วลำคอคล้ายสิงโต แถมที่กีบเท้ายังมีเล็บโค้งงอขึ้นมาด้านบน คล้ายกับพวกรองเท้าแฟนซี ที่ตรงปลายด้านหน้าจะสูงโค้งงอขึ้น นั่นคือมังกรปฐพี โฮล ซึ่งอัศวินมังกรส่วนใหญ่จะขี่พวกนี้กันแทนม้าปกติที่กองทัพหลักใช้กัน
“กลับมาแล้วริเกล อ๊ะ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณอิลร่า”
“โอ้ อรุณสวัสดิ์เคียร่า พาพวกมังกรไปเดินเล่นด้วยกันไหม”
อย่างที่เห็น ที่พวกมังกรกระโดดใส่เขาเพราะอิลร่ามีหน้าที่พามังกรไปพักผ่อนช่วงบ่าย แทนในส่วนของบางคนที่มาดูแลไม่ได้ แต่ว่าเคียร่าก็ส่ายหัวให้เบา ๆ
“วันนี้ถ้าเป็นไปได้ ฉันว่าจะอยู่พักผ่อนกับริเกลเองน่ะค่ะ”
“โอ้ นั่นสินะ พวกเธอพึ่งบินรอบประเทศกันมานี่นา งั้นฉันไปล่ะ”
เขาโบกมือลาแล้วเดินออกไปโดยมีมังกรจำนวนหนึ่งตามหลังอยู่ เคียร่าก็หันมามองฉันแล้วยิ้มให้ก่อนจะเริ่มถอดชุดเกราะออก เฮ้ออ ในที่สุดก็ได้ถอดพวกนี้ซะที
‘อึดอัดชะมัดเลย’
“ฮะ ๆ อดทนได้เก่งมาก ริเกล”
เคียร่าเอ่ยชมฉันพร้อมทั้งใช้ฝ่ามือลูบลำตัวฉันที่นอนแผ่กับพื้นอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เธอเองจะขอตัวไปถอดชุดเหมือนกัน เพราะว่าตอนนี้เธอก็ยังคงอยู่ในชุดเกราะหนาเตอะเหมือนเดิม
เพราะมีเคียร่าแหละนะ ฉันถึงได้ทนใส่ชุดเกราะแบบนี้ต่อไปได้…ในตอนนี้ฉันก็นอนพักอยู่ในโรงเก็บมังกรซึ่งเงียบสงัด เพราะว่าเกือบทุกตัวออกไปกันหมดแล้ว…ใช่ เกือบทุกตัวแหละนะ
‘กลับมากันแล้วเหรอ’
เสียงของมังกรที่แข็งกระด้างดังขึ้นมาจากด้านในส่วนลึกของตัวคอก ทำให้ฉันสะดุ้งขึ้นแล้วหันขวับไปมอง พร้อมทั้งตอบกลับไปด้วยเสียงดังฟังชัดทันที
‘คะ- ค่ะ!’
ที่ต้นเสียงนั้น คือมังกรที่รูปร่างคล้ายม้าเหมือนเมื่อครู่ แต่เขาคนนี้ต่างจากคนอื่นเล็กน้อย เพราะว่าเล็บที่ยาวขึ้นอย่างแหลมคมจนเกือบชนกับต้นขา ลำตัวสีดำเงาวับและร่างกายกำยำอย่างน่าเกรงขาม ขนบนหัวสีเทาที่ถูกตัดแต่งไม่มากจนดูเหมือนแผงคอสิงโต และอย่างสุดท้าย เขาตาบอดสนิททั้งสองข้าง
‘เหรอ งั้นก็ดีแล้วล่ะ’
พูดจบ เขาก็ขดตัวกลับลงไปนอนเช่นเดิม มังกรโฮลเป็นมังกรไม่กี่ชนิดที่อายุขัยสั้นแทบไม่ต่างจากสัตว์ปกติ ดังนั้นสำหรับ ฮาริส ที่มีอายุประมาณ 24 ปีก็ถือว่าแก่มากแล้ว ถึงกระนั้นความสามารถของเขาก็ยังโดดเด่นได้ในสนามรบ
เขาเป็นมังกรประจำตัวของหน่วยเคียร่านั่นเอง เป็นชายที่ร่างกายกำยำและแข็งแกร่งมาก ซึ่งต้องมาดูแลหน่วยนี้เพราะได้รับความไว้วางใจมาจากราชา ดังนั้นฮาริสเลยเป็นเหมือนหัวหน้าฉันอีกทีนั่นเอง และเขาก็ได้รับอิทธิพลนิสัยเข้มงวดมาจากเจ้าของเช่นกัน
‘ถึงเวลาแล้วล่ะมั้ง’
เขาลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งพึมพำแบบนั้น พร้อมทั้งเดินออกมาจากที่นอนตัวเองอย่างลื่นไหล แม้ว่าจะตาบอดอยู่ก็ตาม แล้วเดินมาที่ประตูทางออกของโรงเก็บมังกร พร้อมกันนั้นประตูก็ถูกเปิดออก มีชายร่างโตยืนอยู่ด้านหน้า เขาคือหัวหน้าของเคียร่านั่นเอง
“ไปตรวจตราช่วงเที่ยงในเมืองกันเถอะ”
‘เข้าใจแล้ว’
และจากนั้น ทั้งคู่ก็เดินออกไปกันทั้งแบบนั้น ก่อนจะแทนที่ด้วยตัวเคียร่าซึ่งเพิ่งกลับมาหา ในชุดทางการของอัศวินแต่ว่าไม่ใช่ชุดเกราะ เป็นเครื่องแบบที่ใช้ในเวลาทำงานภายในไม่ได้ออกไปข้างนอก
“ทำอะไรกันดี พอมีเวลาอีกนิดหน่อย ช่วงบ่ายฉันต้องไปร่วมการประชุมกับหัวหน้าน่ะ”
‘เอ๋~ ประชุมอีกแล้วเหรอ…’
ฉันส่งเสียงร้องออกไปด้วยความเบื่อหน่าย พลางทำสีหน้าไม่พอใจ ซึ่งเคียร่าก็ได้แต่หัวเราะร่วน ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนที่จะลูบหัวฉัน
“เอาน่า…อย่างน้อยเราก็ได้อยู่ด้วยกันเยอะขึ้นนะ ถ้าประชุมเสร็จฉันจะมาหา”
‘อือ…’
แม้จะทำท่าทางหงอยอยู่แต่ก็ตอบรับไปอย่างว่าง่าย จากนั้นพวกเราเลยตัดสินใจว่าจะไปนั่งเล่นที่สวนของมังกร ซึ่งเป็นสวนเฉพาะของพวกอัศวินมังกร ในตอนช่วงเช้าถ้าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ คนจะเริ่มมีคนมาฝึกซ้อมกัน ซึ่งบางทีฉันก็จะเข้าไปร่วมวงด้วยเพราะความว่าง ถึงจะไม่ยอมให้ใครขึ้นหลังเด็ดขาดเลยก็เถอะ
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นอัศวินมังกร แต่ว่ามันก็ต่างกับที่เคยคิดเอาไว้มากโขเลยล่ะ ตอนแรกพวกฉันคิดว่าอัศวินมังกรจะเป็นพวกคนที่สนิทใกล้ชิดกับคู่หูมังกรของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงแล้ว นอกจากการขี่เวลาทำงานและทักษะต่อสู้บนหลังมังกรแล้ว หลาย ๆ คนแทบจะไม่ได้สนใจคู่หูของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น…ในตอนเที่ยงสวนของที่นี่จึงว่างเปล่า ทั้งที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นสถานที่ที่ให้คนและมังกรพักผ่อนร่วมกันแท้ ๆ ส่วนอิลร่านั้นพาพวกมังกรไปเดินเล่นข้างนอก เพราะมังกรโฮลต้องการเคลื่อนไหวมากเป็นพิเศษแหละนะ และเพราะคนในกองอัศวินส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจมังกรนัก
คนแบบอิลร่าเลยเข้ากับคนอื่นไม่ได้เท่าไหร่…คนที่อยากเข้าอัศวินมังกรเพราะรักมังกรน่ะ
“แต่ว่า…ดูแล้วยังไงก็เป็นสงครามที่ชนะได้ยากจริง ๆ แหละนะ”
‘นั่นสินะ น่าปวดหัวเลยวุ้ย’
ตอนนี้เคียร่ากำลังนั่งอ่านเอกสารข้อมูลที่ได้มาจากแต่ละพื้นที่อยู่ เพราะเหมือนว่าในการประชุมครั้งต่อไปเธอต้องบอกความรู้สึก และบางความเห็นที่ขุนนางบางคนในพื้นที่ฝากมา ในยุคที่การติดต่อกันเป็นไปได้ยาก พวกเราสองคนจึงมีความสำคัญอย่างมากในการประสานงานกับขุนนางฝ่ายต่าง ๆ
แต่ว่า ไม่ว่าจะที่ไหนก็เจอปัญหาคล้ายกันเลยสินะ
“เรื่องแรกที่ทางพวกราชาต้องจัดการ ก็คงเป็นความขาดแคลนล่ะนะ”
ตามที่เคียร่าพูดเลย ในช่วงที่พวกเราตระเวนไปรอบประเทศก็ได้เห็นมากับตา ว่าจำนวนประชากรที่หิวโหยในประเทศเราเพิ่มพูดขึ้นเยอะมาก เป็นผลมาจากการโดนปิดประเทศ 2 ปี นั่นเป็นเหตุผลหลักเลยที่ราชาตัดสินใจเป็นฝ่ายประกาศสงครามด้วยตัวเอง
อย่างน้อยก็เพื่อหลุดจากการโดนปิดประเทศแล้วติดต่อกับโลกภายนอก เพื่อไหลเวียนอาหาร…แต่แบบนั้นจะได้ผลแน่เร้อ
“ราชามองพลาดไป เขาคิดจะพึ่งพาประเทศอื่นมากเกินไป…โดยเฉพาะการนำเข้าอาหาร”
“กรร” ฉันส่งเสียงร้องในลำคอพลางใช้หัวดันเธอไปด้านหน้าเล็กน้อย
“หือ จะบอกว่าให้ฉันพูดกับราชาตรง ๆ เลยเหรอ?”
“กรร!!”
สมกับเป็นเธอ เข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามบอกเกือบทุกอย่างเลยจริง ๆ เคียร่าเป็นคนฉลาด บางทีเธอคงมองอะไรได้กว้างไกลและมีประโยชน์มาก ถ้าเธอมีโอกาสได้ออกความเห็นสำหรับเรื่องพวกนี้ล่ะก็…ต้องทำให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นได้แน่
ฉันเชื่อแบบนั้นตั้งแต่ที่เห็นเคียร่าให้คำแนะนำต่าง ๆ กับแฟร์ จนตอนนี้ทางนั้นก็สร้างตัวเป็นประเทศของตัวเองขึ้นมาแล้ว เคียร่าเองก็ทำท่าทางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันขึ้นมายิ้มกว้างให้กับฉัน
“เข้าใจแล้ว ฉันจะลองคุยกับหัวหน้าดูนะ”
จากนั้นตัวเคียร่าก็จมอยู่กับความคิดเรื่องสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู เคียร่าเป็นคนที่ฉลากก็จริง แต่ในบางทีก็จริงจังเกินไปจนน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะพอเป็นเรื่องงานก็จะจมอยู่กับเรื่องตรงหน้าจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย
ฉันจึงขดตัวมากกว่าเดิมและใช้หางล้อมเธอเอาไว้ แล้วได้แต่หวังว่าการทำแบบนี้จะทำให้เธอรับรู้ได้ว่าถึงจะมีเรื่องเครียดอยู่ตรงหน้า ก็ยังคงมีฉันอยู่ข้าง ๆ ด้วยเสมอ แล้วผ่อนคลายลงสักนิดก็ยังดี
————————— ———————-
หลังจากได้รับแรงผลักดันจากริเกลมา ฉันก็ตัดสินใจอ่านเนื้อหาสภาพการณ์ของประเทศเราโดยรวมอีกรอบ พร้อมกับวิเคราะห์พวกมันอย่างถี่ถ้วน แล้วฉันก็ตัดสินใจแยกกับริเกลเร็วกว่าเดิมนิดหน่อย เพื่อนำเรื่องนี้ไปเสนอกับหัวหน้าก่อนเริ่มงานประชุม
“หัวหน้า โกล คะ ฉันมีเรื่องจะเสนอนิดหน่อยค่ะ สำหรับงานประชุมในครั้งต่อไป”
“…ลองว่ามาสิ”
หัวหน้ามีชื่อว่า โกล รัฟ เป็นขุนนางที่ไม่ค่อยมีอำนาจเยอะมากนัก แต่ก็ไต่เต้าและเอาดีในด้านการทหาร จนตอนนี้ก็ยืนเป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่งในประเทศ พร้อมกับคู่หูตาบอดสนิทของเขา ฮาริส จึงยิ่งทำให้ทั้งคู่มีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก
เขาเป็นคนเข้มงวดและเงียบสุขุมจนดูน่ากลัว แต่ว่าก็เป็นคนใจกว้างไม่คิดเรื่องที่ฉันเป็นสามัญชนมาก่อน ในตอนนี้ก็กำลังรอฟังความคิดเห็นของฉันอย่างตั้งใจ ไปพร้อม ๆ กับการพาฮาริสกลับเข้าที่พัก
“เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนหน่อย ฉันอยากคุยในที่ลับตาคนมากกว่าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว รอแป๊บนึงแล้วกัน”
“ค่ะ!!”
หัวหน้าเป็นหนึ่งในคนที่ใส่ใจมังกรของตัวเองเป็นพิเศษ เพราะประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีจึงสนิทชิดเชื้อกันล่ะมั้ง หลังจากนั้นไม่นาน พวกเราก็ตรงไปยังห้องทำงานของเขาและล็อกประตูสนิทไม่ให้มีใครเปิดเข้ามาในตอนนี้
“จากแผนการที่ราชาคิดเอาไว้ ว่าจะบุกฝ่าทะลวงชายแดนออกไปเพื่อให้มีเส้นทางขนส่งเสบียง…ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่า นั่นไม่ใช่แผนการที่ดีค่ะ”
“…เรื่องละเอียดอ่อนจริงด้วย เธอคิดจะตำหนิความคิดของราชารึ”
เขาพูดแบบนั้นพร้อมทั้งหรี่ตามองเขม่นฉันเป็นการขู่ แน่นอนว่าเจ้าตัวยังไม่ได้พูดว่าให้หยุด ดังนั้นฉันจึงพยักหน้าเบา ๆ และตอบกลับไป
“ค่ะ เพราะว่าถึงการเปิดเส้นทางชายแดนของประเทศออกจะฟังดูเป็นทางเลือกที่ดี แต่ว่า นั่นเป็นเพียงเพราะโดนกดดันจนคิดหาทางอื่นไม่ใช่หรือคะ”
“โฮ่”
“และถ้าเราทำแบบนั้น การตั้งรกรากในถิ่นศัตรูก็ย่อมมีโอกาสถูกโจมตีได้ทุกเมื่อเช่นกัน และทำให้รวบรวมเสบียงตามเป้าหมายเดิมได้ไม่ดีนัก”
“…ก็ถูกของเธอ แล้วควรทำยังไงดีล่ะ”
“ฉันคิดว่า…พวกเราจำเป็นต้องหาทางพึ่งพาตัวเองให้มากกว่านี้แล้วค่ะ”
ในตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าเปิดตากว้างแล้วมองด้วยความสงสัย ฉันจึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปในคอ แล้วพูดประโยคที่คิดว่าหากมีใครได้ยินสภาพการเป็นอยู่ของฉันคงอันตรายน่าดู นั่นก็คือ…
และฉันกับหัวหน้า ก็ตกลงกันว่าจะนำเรื่องนี้ไปนำเสนอกับราชาในการประชุมที่กำลังจะถึงนี้
—————————— —————————
(มุมนักเขียน)
กว่าจะได้มาเขียนภาค 3 ต่อออ //นอนเปื่อย
เมื่อไม่กี่วันก่อน จู่ๆ ก็มีงานใหญ่แล้วก็ด่วนมากๆ เข้ามา ทำให้ตารางเวลาที่ปกติก็แน่นอยู่แล้ว ยิ่งอัดๆ กันไปกว่าเดิมอีกค่ะ (ฮา) แล้วก็ในแมวดุ้นบางคนก็น่าจะเห็นแล้ว และคนที่ไม่เห็นก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเราก็จะบอกตรงนี้อยู่ดี (ฮา)
อีกอย่างที่เราทำอยู่ตอนนี้ก็คือ แปลนิยายนั่นเองงง (วาร์ป) อย่างที่บอกไปในนั้นเลยค่ะ ว่าเราแปลเพื่อฝึกภาษา และที่เราเคยบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าเตรียมตัวสำหรับเรียนต่อ…พอดีคุยกับที่บ้านแล้วมีแผนจะไปเรียนต่างประเทศนี่แหละค่ะ 55 เลยมีอะไรยุ่งๆ วุ่นๆ เต็มไปหมด เพราะเราเป็นคนที่ภาษาอังกฤษเน่ามาก แต่ก็ดันจะไปอีก ;-;
ก็เลยเลือกแปลนิยายมาเพื่อฝึกภาษานี่แหละค่ะ (ฮา) แต่ว่าสำหรับคนที่ตามงานแปล ต้องขออภัยล่วงหน้าเลยค่ะว่าจะงอกช้ามากกกก ;-; เราแปลแบบว่า กระดึ๊บมากค่ะ 55 แค่วันละนิดวันละหน่อย เป็นครั้งแรกเลยค่ะ ที่รู้สึกว่า 1,000 คำมันช่างเยอะเหลือเกิน…แต่ก็นั่นแหละค่ะ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะมาเน้นที่นิยายเรื่องนี้เป็นหลักก่อน
แต่ว่าไม่หายไปไหนหรอกค่ะ ทั้งนิยายเรื่องนี้ภาค 3 ที่จะเขียนเรื่อยๆ งานแปลที่จะกระดึ๊บทีละนิด และรวมเล่มที่กำลังเริ่มทำ— แค่กๆ จะไม่บอกว่าให้เชื่อว่าเราจะไม่หายไปหรอกค่ะ แต่เรานี่แหละที่บอกตัวเอง (ฮา) ยังไงก็ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมานะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ!!
MANGA DISCUSSION