ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 50: ภาค 2 ตอนที่ 26 เริ่มการประชุม
“อุก…”
ในตอนที่กำลังเดินไปที่เตียงอยู่นั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกมึนหัววูบขึ้นมาจนเซเล็กน้อยแล้วล้มไปพิงตัวกับเก้าอี้ ความรู้สึกแบบนี้ พลังเวทกำลังลดอย่างรวดเร็ว หมายความว่า…
“แฟร์…เกิดอะไรขึ้นกับ…เธอน่ะ”
ฉันที่ใช้มือกุมหัวของตัวเองแล้วดวงตาสั่นคลอ พร้อมเหงื่อที่ไหลรินพึมพำออกมาเช่นนั้น นี่เป็นสัญญาณการใช้คัมภีร์เวทที่เคยให้แฟร์เอาไว้ เพราะฉันตั้งค่าไว้ว่าเมื่อร่ายด้วยการเรียกชื่อฉันมันจะดึงพลังเวทไป…เพื่อยื้อชีวิตของผู้ร่ายเอาไว้
แสดงว่าตอนนี้แฟร์กำลังตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ถ้าฉันเลิกส่งพลังเวทให้เมื่อไหร่…เธอจะตายทันที
“แบบนั้น…จะไปยอมได้ยังไง”
พลังเวทในตัวโดนดูดไปจำนวนมากอย่างรวดเร็วจนหัวสมองเริ่มเบลอเพราะใกล้หมดเต็มที แต่ฉันที่ทรงตัวไม่อยู่และหมอบคลานกับพื้น ก็พยายามใช้มือทั้งสองข้าง ลากตัวเองไปยังเกะใส่ของข้างโต๊ะ…และเปิดมันออก
‘เกร๊ง ๆ’
เสียงใสของแก้วเสียดสีกระทบกันดังขึ้นตามความแรงในการเปิดของฉัน ขวดยาที่มีน้ำสีฟ้าอยู่ด้านในพวกนี้คือยาฟื้นพลังเวท ถูกสร้างมาจากผลไม้ที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูเวทมนตร์ เป็นที่นิยมมากจนแม้แต่ในประเทศนี้ก็ยังมีสวนปลูกเลย
ในตอนที่หัวกำลังหมุนฉันก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อคว้าขวดหนึ่งขึ้นมา และรีบเปิดขึ้นดื่มน้ำผลไม้รสหวานลงอย่างรวดเร็ว…ค่อยดีขึ้นหน่อย ฉันจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง ซึ่งอยู่ในท่าที่หยิบขวดยาขึ้นมาดื่มได้ทุกเมื่อ
“ได้ใช้ไวกว่าที่คิดแฮะ…”
โชคดีที่ยังมียาเหลือจากตอนสลักวงเวทอีกเยอะ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะดูดพลังเวทไปทีละเยอะแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่แฟร์ ในตำราบอกว่ายิ่งบาดเจ็บหนักก็ยิ่งใช้พลังเวทเยอะขึ้น นี่…เธออยู่ในสภาพแบบไหนกันแน่
ยิ่งกว่าความรู้สึกหน้ามืดจนไร้เรี่ยวแรง และความเหนื่อยที่พลังลดฮวบลงไปแล้ว ความเป็นห่วงก็แทรกขึ้นมาจนหัวใจสั่นไหว ไม่คิดเลยว่าเวลานี้จะมาถึงไวขนาดนี้ แถมยังไม่รู้ว่าตัวเองจะส่งพลังเวทได้ถึงแค่ไหนอีก ถ้าเผลอหลับหรือกินยาไม่ทันแค่เสี้ยวนาทีเดียว…ชีวิตของเธอก็ดับลงได้อย่างง่ายดาย
“อดทนไว้นะแฟร์ ฉันเอง…ก็จะอดทนเหมือนกัน”
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังและรอว่าจะมีคนไปช่วยแฟร์ ทำให้เธออยู่ในสภาพที่ไม่ตายและพักฟื้นต่อได้ เมื่อพ้นขีดอันตรายไปวงเวทจะหยุดทำงานด้วยตัวของมันเอง…พรุ่งนี้เองก็เป็นวันหยุดพอดี เอาสิ ต่อให้อยู่แบบนี้ทั้งวันถ้าเพื่อช่วยแฟร์ล่ะก็…ฉันทำได้อยู่แล้ว
ฉันตั้งมั่นในใจแบบนั้นพร้อมทั้งในมือที่คว้าขวดยา และอีกข้างก็กำผ้าเช็ดหน้าที่ได้จากเธอเอาไว้แน่น ขอร้องล่ะทุกคน…ช่วยแฟร์ด้วยนะ
—————————- ———————–
“อิกนิส!! เร็วเกินไปแล้ว!!”
ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นคือหัวของมังกรตัวสีแดง และรอบด้านที่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว จนทำเอาอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ ว่าให้พาออกไปจากตรงนี้ที แต่ก็รู้ดีว่านั่นเป็นไปไม่ได้ และเอาเข้าจริงก็ไม่อยากทำเหมือนกัน
ตอนนี้ฉันกำลังกอดคอของอิกนิสเอาไว้แน่นเพราะการเคลื่อนไหวที่เร็วมาก ถ้าปล่อยมือคงมีหวังตกแล้วเจ็บหนักแน่ แต่ก็พอเข้าใจล่ะนะ…ว่าใจของอิกนิสคงอยู่ไม่สุขแน่ที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแฟร์แต่ว่าในจดหมายนี่เขียนเอาไว้ ว่าถ้ามาส่งถึงมือฉันก็แสดงว่าเกิดเรื่องทำให้ไปไม่ทันแน่
และถ้าเราพลาดโอกาสนี้ไป…ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ หรือเลวร้ายที่สุดโบสถ์คงไม่ช่วยเรา และสิ่งที่แฟร์พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่า ลมหนาวในยามค่ำคืนผสมเข้ากับการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินจะทนไหว ทำให้ร่างกายรู้สึกชาไปหมดทั้งตัว
ถ้าไม่ใช่เพราะเคยชินกับสภาพแวดล้อมหนาวยะเยือกของทราโก้แล้วล่ะก็ ฉันคงทนไม่ไหวแน่ และในที่สุดก็ถึงเมืองโดกราที่ฉันขอให้อิกนิสพามาส่งก่อน เพื่อไปเตรียมตัวสำหรับการเข้าประชุม ส่วนอิกนิสนั้นหลังจากทิ้งฉันเอาไว้แล้วก็จะมุ่งหน้าไปหาแฟร์ทันที
“ฝากด้วยล่ะ อิกนิส”
“กรร!!”
เขาร้องออกมาเสียงดังฟังชัดอย่างไม่หวั่นเกรง แม้จะวิ่งมาตลอดตั้งแต่ช่วงบ่ายจนตอนนี้กลางดึกแล้วก็ตาม มีพลังเหลือเฟือจริง ๆ พวกมังกรเนี่ย แล้วร่างของอิกนิสก็มุ่งหน้าต่อไปในทันที เอาล่ะ ฉันเองก็ต้องไปเตรียมตัวสำหรับการประชุมพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน ไม่มีเวลาให้นอนแล้ว
หลังจากเตรียมตัวอยู่ในห้องพักราคาถูกเพราะพกเงินไม่เยอะอยู่นั้น กว่าจะเรียบเรียงเอกสารที่เป็นแผนการของแฟร์ และอ่านจนพอจำได้ประมาณหนึ่งฟ้าก็สว่างพอดี ระฆังของโบสถ์จะดังครั้งแรกตอนเวลา 6 โมงเช้า และนั่นคือเวลานัดประชุม ต้องรีบไปแล้ว
หลังจากมองไปนอกหน้าต่างก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดที่เอาไว้สำหรับติดตามแฟร์ แล้วมุ่งหน้าไปยังวิหารขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์รวมของศาสนาวารุน ตัวอาคารเปิดให้คนเข้าไปสวดภาวนาได้ตั้งแต่เช้ามืด เวลานี้ก้มีชาวบ้านบางคนเข้ามาภายในวิหารแล้วเช่นกัน
แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ธุระหลักจึงเดินเข้าไปหานักบวชที่น่าจะเป็นคนดูแล แล้วแสดงสัญลักษณ์ของกลุ่มเราให้เขาดู นั่นทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นใครก่อนจะพาไปยังห้องรับรอง
“ทำไมถึงไม่ได้มากับคนของเราล่ะ”
“…เรื่องนั้นหัวหน้าเราที่นั่งรถม้ากับคนของโบสถ์มาไม่ได้ ฉันเลยมาแทน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”
“น่าสงสัย…ทำไมสมเด็จพระสันตะปาปาต้องเข้าพบกับคนน่าสงสัยพรรค์นี้ด้วยนะ”
ถึงแม้เขาจะพูดอย่างแผ่วเบาไม่ให้ได้ยิน แต่ถึงกระนั้นสำหรับทหารรับจ้างที่ต้องตั้งใจฟังเสียงรอบตัวแล้ว มันเป็นคำพูดที่สามารถได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้ไม่ปิดบังที่จะชักสีหน้าไม่พอใจกลับไปทันที นั่นทำให้ฉันกับนักบวชเขม่นกันอยู่พักใหญ่…ถ้าเป็นแฟร์คงดุฉัน แล้วยิ้มตอบเขาไปแล้วแท้ ๆ
“อะไรกัน แขกมาแล้วมิใช่รึ”
“สะ- สมเด็จพระสันตะปาปา!!”
“?!”
เมื่อได้ยินเสียงของคนมีอายุดังขึ้น พร้อมทั้งชายหนุ่มนักบวชที่ออกมาต้อนรับแล้ว ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เขาพูดออกมาจึงมองไปหาต้นเสียงแรก ประตูด้านในห้องรับรองไปอีกนั้นมีคนเดินออกมา
ใส่ชุดนักบวชสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว พร้อมทั้งสวมหมวกทรงสูงที่เก็บผมเอาไว้ทั้งหมด มีหนวดเคลาค่อนข้างยาวสีขาวแบบคนแก่ จึงทำให้ดูสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ ตาตี่และยิ้มแย้มตลอดเวลาจนดูเหมือนไม่ได้ลืมตามองด้วยซ้ำ
มองเผิน ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคุณลุงใจดี…นี่น่ะเหรอ พระสันตะปาปา ประมุขสูงสุดของศาสนาวารุน
“ถ้าแขกมาแล้วทำไมจึงไม่พาเข้าไปประชุดด้านในล่ะ บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าการพบกันครั้งนี้ยิ่งจบลงอย่างรวดเร็วยิ่งดี”
“ตะ- แต่…เขาคนนี้ไม่ได้มากับคนของเราที่ออกไปรับ เขาดู…”
“จะบอกว่าฉันน่าสงสัยเรอะ”
อาจจะเพราะไม่ชินกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก ฉันที่สะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ก็กำหมัดแน่น และมองไปที่นักบวชหนุ่มคนนั้นอย่างขุ่นเคือง ทำให้ท่าทีไม่ไว้วางใจเพิ่มมากยิ่งไปอีก…ใจเย็นลงหน่อยสิเฮ้ย นายจะทำสิ่งที่แฟร์สร้างไว้พังเอานะเว้ย
ไม่มีใครพูดอะไรพักใหญ่จนพระสันตะปาปาที่เอามือไขว้หลังและยืนตรงตลอดนั้น ยกมือขวาอย่างเชื่องช้าแล้วแตะที่ข้างหู ก่อนจะพยักหน้าและพูดออกมาอย่างแผ่วเบา
“งั้นรึ…”
เขาลดมือลงกลับไปเก็บไว้ด้านหลังพร้อมทั้งหันมามองที่ฉัน และส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรและใจดีให้…แต่กลับรู้สึกกดดันอย่างประหลาดจนเหงื่อไหลไม่หยุด
“คงมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้นมาก มาเริ่มการประชุมกันเลยดีกว่า”
พูดจบเขาก็ไม่รอช้าแล้วหันหลังกลับเข้าไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ฉันจึงรีบก้าวเท้ายาว ๆ เดินตามไป เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เข้ามาภายในวิหารใหญ่ลึกขนาดนี้ พวกเราเดินผ่านทางเดินสีขาวเหลืองสง่าที่มีห้องจำนวนมากไปเรื่อย ๆ จนหยุดอยู่ที่ห้องหนึ่งพระสันตะปาปาก็เดินเข้าไปในห้อง
เมื่อตามเข้าไปก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าด้านในนั้นมืดสนิท ขัดกับภาพลักษณ์ทั่วทั้งโบสถ์ที่เป็นสีขาวสว่าง มีเพียงโต๊ะยาวเป็นแนวนอนตรงกลางห้องเท่านั้นที่มีแสงจากบนเพดานส่งลงมาทำให้สว่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ได้รู้ว่าจุดที่มีแสงนั่นก็เพราะหินเวทมนตร์
ชายชราที่น่าจะอายุเยอะยิ่งกว่าฉันเดินผ่านโต๊ะนั้นเข้าไปลึกจนถึงปลายอีกด้าน และจ้องมองมาทางนี้พลางยกมือขวาผายฝ่ามือไปทางโต๊ะ พลางพูดว่า ‘เชิญเลย’
ทันใดนั้นก็มีแสงวาบขึ้นมาอีกสองจุดนั่นก็คือหัวและท้ายของโต๊ะ ที่มีเก้าอี้ว่างเปล่าอยู่สองตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวที่เขายืนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะนั่งลงไปอย่างสงบเสงี่ยม อีกตัวนั้นอยู่ตรงหน้าของฉันนั่นเอง
“…”
เพราะไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร จึงได้แต่เดินเข้าไปดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเสียงลากของเก้าอี้กับพื้นดังเล็กน้อย และก็รู้สึกถึงสายตาไม่พอใจทันที…จากด้านข้าง
“ห้องนี้-”
“จงคิดเสียว่าคุยกับเราเพียงผู้เดียว ทั่วทั้งห้องนอกจากนี้เป็นเพียงคนนอกเท่านั้น ทหารรับจ้างเอ๋ย เส้นทางที่พวกเจ้าเลือกเดินนั้นเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์มากมาย จงอย่าตอบโต้ จงน้อมรับ และจงก้าวข้ามไปเสีย”
“…อา”
ไม่ผิดแน่ ด้านข้างโต๊ะตัวนี้มีคนนั่งอยู่ไม่ผิดแน่ แถมยังมีจำนวนเยอะมากอีกต่างหาก อะไรวะเนี่ย ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วยวะนั่น ต้องห้ามตอบโต้คนรอบข้างงั้นเรอะ นี่ฉันพาตัวเองมาอยู่ที่ไหนฟะเนี่ย…แต่ถ้านั้นเป็นกฎของพวกเขา เราก็ต้องทำตาม…นี่เองก็เป็นคำสั่งของแฟร์
ฉันใช้มือจับที่เข็มกลัดรูปธงของประเทศเราซึ่งอยู่ตรงกลางอกของตัวเองแน่น พร้อมทั้งกลืนน้ำลายเพื่อเตรียมรับมือกับแรงกดดัน แล้วพระสันตะปาปาจึงเอามือสองข้างขึ้นมาวางราบบนโต๊ะก่อนจะเอามาประสานกันและพูดขึ้น
“งั้นอย่ามัวเสียเวลาเลย เราคือองค์สมเด็จพระสันตะปาปาวาโรที่ 1 ท่านล่ะ ทหารรับจ้างเอ๋ย”
“ฉันโบล รองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างฟิว”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงซุบซิบซอกแซกไปทั่วทั้งห้องราวกับความไม่พอใจ อะไรกัน…ทั้งที่ใกล้ขนาดนี้แต่กลับแทบจับใจความไม่ได้เลย ถึงกระนั้นกลับรู้ว่าตอนนี้รอบข้างนั้นรู้สึกยังไงกับตัวเอง แล้วก็มีเสียงหนึ่งโดดขึ้นมาว่า ‘ไม่ใช่หัวหน้าเหรอ?’
“งั้นรึ เราเองก็ได้ยินมาว่าหัวหน้าของพวกท่านเป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาดและกล้าหาญ เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“…เธอน่าจะเจออุบัติเหตุนิดหน่อยเลยมาไม่ทัน ฉันก็เลยตรงดิ่งมาที่นี่แทนเธอ”
“โฮ่ ช่างน่าเสียดาย…เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ประเทศพวกท่านเป็นแบบไหนรึ”
“เรื่องนั้น…”
หลังจากนั้น ฉันก็ขอเอาเอกสารที่เขียนเกี่ยวกับข้อมูลการดูแลประเทศของเราแบบคร่าว ๆ ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ มันมีเพียงแค่สองชุดคือของฉันและของวาโรเท่านั้น ก่อนจะเริ่มอธิบายถึงเนื้อหาที่อยู่ภายในเอกสารนั้นอย่างมั่นใจ ถึงตอนแรกจะประหม่ากับห้องนี้อยู่บ้าง แต่เพราะติดสอยห้อยตามแฟร์บ่อยพอต้องพูดแบบนี้จึงปรับตัวได้ค่อนข้างรวดเร็ว ทำให้พูดได้ไหลลื่นอย่างไม่มีปัญหา
เรื่องที่เอามาพูดในห้องนี้ก็เป็นสิ่งเรียบง่ายอย่าง กฎหมายในพื้นที่เกาะทั้งหมดที่แม้จะเป็นคนนอกก็ต้องทำตามเมื่อก้าวเท้าเข้าไป กฎหมายการรับคนเข้ามาอยู่เป็นประชากร กฎหมายของทหารรับจ้างที่สมัครเข้าทำงานกับประเทศ รวมไปถึงระบบที่แยกระหว่าง ‘ทหารของประเทศ’ กับ ‘ทหารรับจ้างสังกัด’ ออกจากกัน นั่นทำให้เสียงซุบซิบแสดงออกถึงความสงสัยและเคลือบแคลง
“ช่วยอธิบายเรื่องนั้นเพิ่มเติมได้ไหม”
“อา…ทหารของประเทศก็เหมือนทั่วไปนั่นแหละ คือทหารประจำของประเทศที่เข้าร่วมกองทัพ ดูแลความสงบ และควบคุมให้คนอยู่ในกฎหมาย ส่วนทหารรับจ้างสังกัดนั้นจะคล้ายกับทั่วไป แต่ว่าทางเราจะเป็นตัวกลางในการหางานให้ และกระจายงานให้กับคนที่มาสมัครตามความเหมาะสม พร้อมทั้งให้ค่าจ้างตามสมควรโดยเก็บค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อย แถมถ้าเกิดเรื่องระหว่างทำงานจนถึงชีวิต ก็จะมีการดูแลหรือส่งมอบทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้กับญาติตามสมควร ส่วนคนที่เข้าร่วมกลุ่มนั้นจำเป็นต้องทำตามกฎของพวกเราอย่างเคร่งครัด”
หลังจากการอธิบายจบ ทั้งห้องที่เงียบฟังมาตลอดนั้นก็เกิดเสียงขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นน้ำเสียงแสดงถึงความตกตะลึง ราวกับไม่เชื่อหูของตัวเอง และเสียงที่แว่วขึ้นมาว่า ‘จะเป็นไปได้เหรอ’ เหมือนจะคิดว่ามันฟังดูดีเกินไป…
“งั้นรึ…น่าสนใจ หัวหน้าของพวกท่านคิดขึ้นมารึ”
“ส่วนหนึ่ง เธอบอกว่าถึงปลายทางที่สรุปออกมาจะเป็นคนคิดเอง แต่ส่วนประกอบต่าง ๆ นั้นได้รับคำแนะนำจากหลายคนมาผสมรวมกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ความคิดของเธอเพียงคนเดียว”
“อืม…บอกตามตรงแบบนี้จะดีเหรอ ไม่คิดว่าถ้าบอกว่า ‘ใช่’ จะทำให้หัวหน้าของท่านดูดีกว่าเหรอ”
“ไม่มีปัญหา และถ้าเด็กนั่นอยู่ที่นี่ ก็คงพูดแบบเดียวกันแน่”
เมื่อโดนถามแบบนั้นก็ตอบกลับไปทันทีอย่างมั่นใจ นี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่แฟร์ฝากเอาไว้ ถ้าโดนถามหรือชวนคุยให้โต้ตอบ และพยายามพูดความจริงให้มากที่สุด เพราะเราต้องการให้ทางศาสนจักรสนับสนุน การปิดบังหรือกลบเกลื่อนจะยิ่งทำให้ดูแย่
และเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง วาโรหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างพึงพอใช่แล้วพึมพำว่า ‘ช่างน่าเสียดาย’ ทำไมกันนะ เหมือนเขาจะถูกใจแท้ ๆ แต่กลับพูดคำนั้นออกมา ไม่เข้าใจจริงเลยว่าอยากจะสื่ออะไร
หลังจากเขาหยุดหัวเราะก็หยิบเอกสารขึ้นมาดู และเปิดอ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมา ทั้งที่ยังคงก้มหน้ามองเอกสารอยู่
“ฟังดูเป็นประเทศที่ดีนะ ทุกอย่างโดยคำนึงถึงประชาชนเสมอ…จะทำได้รึ”
“แน่นอน”
เมื่อตอบกลับไปอย่างทันทีและมั่นใจเขาก็เหลือบตาขึ้นมามอง โดยที่ตาตี่ของเขานั้นเปิดกว้างขึ้นเล็กน้อย ทำให้เห็นดวงตาที่แหลมคมและเข้มงวดอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยน
“มั่นใจน่าดูเลยนะ จากที่ดูทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้นำ…ท่านเชื่อใจหัวหน้าในปัจจุบันน่าดูเลยนะ”
“แน่นอน แม้จะฟังดูดีเกินไป แต่ฉันเชื่อ…ว่าเด็กคนนั้นสามารถทำได้แน่”
นั่นคือความคิดของฉัน ความเชื่อของฉันที่มีต่อแฟร์ ตั้งแต่วันนี้ที่เธอสร้างกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมา เด็กคนนั้นยังคงมุ่งหน้าไปยังอุดมคติอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และก็คงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่นอน
———————– —————————-
(มุมคนเขียน)
มาสายไปนิดหน่อยนะคะพอดีผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย (เพิ่งตื่น ฮา) วันนี้ก็จะมาตามนัดคือบอกผลโหวดเรื่องการลงนิยาย ซึ่งออกมาได้ดังนี้ค่ะ!
ผลออกมานั่นก็คือลงแบบเดิมนั่นเองค่ะ~ ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยร่วมโหวด แล้วก็ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ;-;
ยังไงก็จากผลโหวดที่ออกมาเราก็จะลงตามใจฉันเช่นเดิมค่ะ อาจจะเร็วหรือช้าก็ต้องดูแล้วแต่ตอนไปอีกที ซึ่งช่วงนี้คิดว่าจะออกไปทางช้าหน่อยนะคะ พอดีหลังคิดเรื่องเรียนต่อนิดหน่อยเลยค่อนข้างยุ่งขึ้นมาก ยังเขียนเหมือนเดิมแหละค่ะแต่อาจจะไม่ตลอดเวลาเหมือนเดิม (ฮา)
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงจุดนี้นะคะ ภาค 2 นี่ก็ใกล้ถึงบทสรุปก่อนที่จะไปต่อกันที่ภาค 3 ซึ่งจะกลับมาเดินเรื่องด้วยริเกลเช่นเดิมนั่นเองงง