ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 5: ความรู้สึกจากสัญชาตญาณอันรุนแรง
“อยากเป็นนักผจญงั้นเหรอ”
เมื่อเคียร่าพูดแบบนั้นพ่อก็หันขึ้นมาถามอีกครั้งด้วยสีหน้าสงสัย แน่นอนว่าเธอก็พยักหน้าเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนพูด แต่แล้วผู้เป็นพ่อก็ถอนหายใจออกมา
จนชวนให้รู้สึกไม่ดี แถมแม่เองก็ยิ้มเจื่อน ๆ ให้อีก พอจะเดาคำพูดของเขาต่อได้เลยแฮะ อีกแบบนี้
“ไม่ได้”
ก็พอจะเดาได้อยู่หรอก แต่ว่า…ทำไมง่ะ ทำไมไม่ได้อะ ไม่ใช่ว่าถ้าเด็กวิ่งมาบอกเป้าหมายของตัวเองด้วยความร่าเริงก็ต้องยินดีเหรอ มันน่าดีใจจะตายหน้าที่เด็กจะยอมบอกแต่โดยดีน่ะ
เอ๊ะ นี่มันต่างโลกนี่หว่าอาจจะมีค่านิยมต่างกันก็ได้ แต่ว่า…ไอ้ที่ทำหน้าหน่าย ๆ แล้วบอกว่า ‘ไม่ได้’ มาห้วน ๆ ก็ไม่ถูกอยู่ดีปะ ถ้าเคียร่าซึมขึ้นมาจะทำยังไง!!
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
เอ๋ ไหงงี้กลายเป็นเคียร่าซะเองล่ะ ฉันหันไปมองหน้าของเธอพลางอ้าปากค้างอย่างเหวอ ๆ เพราะว่าเจ้าตัวดันยิ้มแบบเจื่อน ๆ คล้ายยอมรับแต่โดยดี ไม่สิ เจ้าตัวยอมรับแต่โดยดีนี่หว่า
แล้วก็ลดความตื่นเต้นลงชัดเจนพร้อมทั้งขอตัวจากพวกเขาไปห้องของตัวเอง เดี๋ยว ทำไมทำท่ายอมแพ้ง่ายแบบนั้นล่ะ เมื่อกี้ยังตื่นเต้นอยู่เลยไม่ใช่เหรอ นี่ ๆ
ฉันเดินตามเธอพลางพยายามส่งเสียงร้องแผ่ว ๆ ไม่ดังมากนัก พร้อมทั้งดึงชายกระโปรงเธอ ไม่ก็เอาตัวเข้าไปถูเป็นพัก ๆ เพื่อให้เปลี่ยนใจ
แล้วไหงเธอถึงได้ยิ้มแป้นแถมยังกลั้นขำอีกเนี่ย ไม่เข้าใจเลย…
“ริเกล เธอคิดว่าฉันจะยอมแพ้แล้วจริงเหรอ”
เมื่อเดินเข้าไปในห้องกันทั้งคู่พร้อมปิดประตูลง เด็กสาวก็หันมาถามฉันด้วยรอยยิ้มทันที มันทำให้ทางนี้ได้แต่เอียงคอมองด้วยความสงสัย เธอหมายความว่ายังไงหว่า
แล้วเคียร่าก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอพลางเดินไปนั่งที่เตียง พร้อมทั้งทำท่าว่าให้ขึ้นไปนั่งด้านข้างเธอ ถึงจะยังสงสัยอยู่แต่ก็เก็บเอาไว้แล้วตามเธอไปแต่โดยดี
“นี่ คิดว่าฉันจะยอมแพ้แล้วจริง ๆ เหรอ”
อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่เหรอ ก็จริงแฮะเธอดูไม่เศร้าเลยสักนิด แต่ว่าทำไมถึงยอมตอบกลับพ่อกับแม่ไปแบบนั้นล่ะ ฉันจ้องเธอแบบแทบจะไม่กะพริบตา
โดยที่เจ้าตัวนั้นคลานไปหยิบหนังสือที่เก็บเอาไว้บนเตียง ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิมและกางออก ฉันไม่รอช้าที่จะขยับเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว
“หนังสือเล่มนี้ เป็นบันทึกการผจญภัยของคุณโรเวิร์ตน่ะ เห็นว่าเขาเคยเป็นนักผจญภัย ก่อนจะมาเป็นขุนนางที่ฟาเรเรีย”
เห๋ งั้นเหรอคาดไม่ถึงเลยแฮะปกติพวกนี้เท่าที่เคยเจอมาเอลฟ์จะเป็นพวกเงียบ ๆ เก็บตัว ไม่ชอบออกไปโลกภายนอก แต่ก็นะ นี่มันโลกจริงๆ นี่นาอะไรก็คงเกิดขึ้นได้นั่นแหละ…
แต่มันทำไมหว่า?
“เรื่องนี้น่ะ ทุกคนรู้กันดีว่าสาเหตุที่เขาเลิกผจญภัยเพราะว่ามันอันตราย และเขาไม่อยากเสี่ยงชีวิตจึงตกลงเป็นขุนนางนี่แหละ ดังนั้นถ้าบอกว่าอยากเป็นนักผจญภัยคงไม่มีใครยอมหรอก”
อ้อ งี้นี่เอง…แต่เมื่อกี้เธอก็บอกออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ข้อนี้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง ฉันคิดแบบนั้นพลางทำสีหน้าเอือม ๆ มองไปทางเคียร่า ซึ่งเหมือนเธอจะเดาได้ว่าฉันคิดยังไง จึงได้แต่หลบตาแล้วขำแห้งออกมา
“มะ- เมื่อกี้แค่ตื่นเต้นเกินไปจนลืมตัวหรอกน่า”
แหนะ งั้นก็ไปพูดทั้ง ๆ ก็รู้การตอบสนองของพ่อกับแม่อยู่แล้วเหรอ…เธอไม่พูดอะไรต่อพลางกลบเกลื่อนโดยการเรียกให้มาอ่านหนังสือในมือ
จริงด้วย แล้วเธอยกหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาพูดทำไมหว่า จากนั้นสิ่งที่เธออ่านให้ฟังก็ทำให้ฉันเข้าใจ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเราควรรู้เลยแหละ ถ้าอยากจะเป็นนักผจญภัย
สิ่งแรกที่เราต้องมีเลยนั่นก็คือ ความสามารถในการต่อสู้ เพราะว่านักผจญภัยก็ตามชื่อเราต้องไปเจอเรื่องอันตรายต่าง ๆ ในอนาคต ดังนั้นจะขาดไม่ได้ในการเอาตัวรอด
พร้อมด้วยหนังสืออีกเล่มที่เธอยืมมาเอาไว้อ่าน นั่นคือหนังสือสอนเวทมนตร์ที่คุณโรเวิร์ตชอบอ่านประจำ เคียร่าบอกว่าเวทมนตร์ของเขาเป็นของโบราณ ดังนั้นหนังสือก็เป็นภาษาโบราณเช่นกัน จึงต้องคอยแกะเนื้อความในหนังสือ
พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ได้แต่เอียงคอด้วยความสงสัย ว่าทำไมต้องทำให้ลำบาก สู้เรียนเวทมนตร์สมัยใหม่ที่เป็นภาษาปัจจุบันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เห็นว่าโดนปรับปรุงให้ใช้ง่ายขึ้นด้วย
แต่เคียร่าก็ได้แต่หัวเราะเบา ๆ แล้วตอบกลับมาว่า
“ก็แบบนี้มันเท่กว่าไม่ใช่เหรอ”
เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ได้ใจความจนใครได้ยินอาจจะบอกว่าบ้าบอเลยก็ได้ แต่ว่า ฉันกลับรู้สึกว่าเธอดูเปล่งประกายขึ้นมา ที่มีความพยายามมากกับเหตุผลแค่ว่า ‘เท่’
ก็นะ สมกับเป็นเด็กดี
“ต่อไปก็เป็นดาบสินะ!”
แล้วจู่ ๆ เธอก็ปิดหนังสือลงแล้วลุกพรวดขึ้นทันที ดาบสินะเหตุผลก็คงเป็นเท่อีกแหง ๆ แต่ว่าแล้วจะฝึกยังไงหว่า เธอคงไม่มีทางใช้ดาบได้แบบโต้ง ๆ หรอกเนอะ
จากนั้นเธอก็พาออกไปนอกห้องแล้วแอบขโมยดาบไม้ในดาบมาที่นอกบ้าน แล้วตรงไปในที่ลับตาคน เดี๋ยวนะ นี่จะฝึกกันเองจริง ๆ เหรอเนี่ย
“ว่าแต่ ดาบนี่ฝึกยังไงหว่า”
เห็นไหมล่ะไม่รู้วิธีฝึกสินะ กลับกันเถอะน่าตอนนี้เราอยู่ในป่ากันนะ ถ้ามีอะไรโผล่มาจะทำยังไง ฉันร้องออกมาพลางทำสีหน้าไม่สบายใจพลางมองไปรอบ ๆ
แล้วในตอนนั้นเอง เคียร่าที่จ้องดาบไม้ในมือก็เริ่มใช้มือเพียงข้างเดียวควงมันไปมา…ควงอย่างคล่องแคล่วทางนี้ยังตกตะลึง เพราะเธอดูเคยชินกับมันมากจนน่าตกใจ
มันทำให้นึกถึง…ดรัมเมเยอร์ในชีวิตก่อน สุดยอดสวยสุด ๆ จนผ่านไปครู่หนึ่งที่ฉันแทบไม่ละสายตาจากเธอเลย เด็กสาวก็หยุดลงแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยเล็กน้อย
“เฮ้อ…ไม่ได้ทำนานแล้วเหนื่อยจังแฮะ เพราะตอนนี้หรือเปล่านะ…”
เธอพึมพำบางอย่างกับตัวเองอย่างแผ่วเบาจนไม่รู้ว่าพูดอะไร แต่ว่าฉันก็ดึงสติตัวเองกลับมาก่อนจะเดินไปหาเคียร่า นี่ เมื่อกี้สุดยอดไปเลยหน่า บางทีเธออาจจะมีพรสวรรค์ก็ได้นะ
ฉันชื่นชมเธอออกมาจากใจจริงด้วยความร่าเริง ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเธอกวัดแกว่งดาบอย่างคล่องแคล่วแบบนี้จะเท่ขนาดไหน
“หือ มีอะไรเหรอ”
แต่ช่างน่าเสียดาย ต่อให้พูดอะไรมากขนาดไหนก็มีแต่เสียงคำรามเบา ๆ ของมังกรตัวน้อยที่ออกมา ความรู้สึกที่อยากให้คำพูดของตัวเองส่งไปถึงเธอคนนั้นยังคงเอ่อล้นออกมา
ไม่งั้นล่ะก็…ต่อให้ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกัน ก็คงส่งไปได้ไม่ทั้งหมดแน่ ๆ ในตอนนั้นเอง หูและจมูกของฉันก็ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างจนมองไปรอบ ๆ ทันที
“เอ๋ เป็นอะไรไปน่ะริเกล”
ฉันไม่สนคำเรียกของเธอแล้วเธอไปรอบ ๆ พลางพยายามรับเสียงที่แผ่วเบา ไม่สิ มันกำลังใกล้เข้ามา…เป็นเสียงฝีเท้าหนักของสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่…
แล้วในตอนนั้นเองฉันก็หวนนึกไปถึงตอนแรกที่เจอมังกรปฐพี ทำให้ความกลัวหวนกลับเข้ามาภายในจิตใจจนตื่นตระหนก แต่ว่า เสียงนั่นก็มาหยุดตรงหน้าแล้ว
จึงทำได้เพียงขยับตัวไปยืนขวางเคียร่าไว้ตามสัญชาตญาณ และแยกเขี้ยวขู่เฝ้ารอเจ้าของร่างที่เข้าใกล้ โดยปล่อยให้เด็กสาวตัวน้อยยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันทำ
มาแล้ว!
“อ้าว นั่นพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ”
ก่อนที่จะมองเห็นร่าง สิ่งแรกที่มาก็คือเจ้าของเสียงที่คุ้นเคย คุณโรเวิร์ตนั่นเอง แต่สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงและฉันสัมผัสได้ก็ต้องทำให้งอคอลงต่ำ และเหลือบตามองพลางถอยหลังด้วยความหวาดกลัว
มันคือสิ่งมีชีวิตที่คุณโรเวิร์ตขี่อยู่บนหลัง มันมีรูปร่างคล้ายกวางร่างกายใหญ่และแข็งแรงกำยำ สี่หูและดวงตาเหมือนกบ ตัวสีเขียวมีลายเหมือนเสืออย่างสวยงาม ถึงหน้าตาจะดูใจดีแต่ว่ารู้สึกได้ถึงแรงกดดันออกมาจากตัวมัน
(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )
แต่ดูเหมือนจะมีแค่ฉันนะที่รู้สึกโดนกดดันจนอย่างกับจะถูกกินทั้งตัวเลย เพราะว่าเคียร่าไม่สะทกสะท้านกับภาพตรงหน้าแม้แต่น้อย มีเพียงความตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตแปลกตา
น่ากลัว…หายใจได้ไม่ทั่วท้องเลย
“พอได้แล้วล่ะ ดีอาร์ เด็กคนนั้นไม่อันตรายหรอกนะ”
เมื่อคุณโรเวิร์ตพูดแบบนั้นพลางลูบเขาของสิ่งมีชีวิตที่ตนขี่อยู่ ทันใดนั้นแรงกดดันรอบตัวก็ค่อย ๆ หายไป ทำให้ทางนี้ผ่อนตัวลงแล้วรีบหายใจเข้าเต็มปอด
รู้สึกได้เลยว่าหางและปีกของตัวเองตั้งสูง ไม่สิ บนหัวก็มีอะไรบางอย่างตั้งเช่นกัน คืออะไรกันนะ? แต่เมื่อกี้ที่เขาพูดกับสิ่งมีชีวิตที่ถูกเรียกว่า ‘ดีอาร์’ หมายถึงยังไงหว่า? เมื่อกี้เขาทำอะไรเราแล้วอะไรที่ทำให้เขาคิดว่าฉันอันตราย ไม่เข้าใจเลย
“…ทำไมริเกลถึงดูตื่นตระหนกขนาดนั้นล่ะ?”
เคียร่าที่มองทุกอย่างอยู่เงียบ ๆ ก็มองพวกฉันสลับกันไปมา แล้วถามอย่างสงสัย นั่นสิ ฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงกดดันรุนแรงขนาดนั้น…
ในตอนนั้นเองคุณโรเวิร์ตก็ยิ้มบาง ๆ ให้พลางลงมาจากหลังของดีอาร์ แล้วค่อยๆ อธิบายออกมาอย่างลื่นไหล
“เพราะเมื่อกี้ริเกลปล่อยจิตสังหารน่ะ ดีอาร์ก็เลยคิดว่าเป็นศัตรู ยิ่งพอเห็นว่าเป็นมังกรวารี ด้วยสัญชาตญาณของมังกรปฐพีก็เลยแสดงความเป็นศัตรูกันออกไป”
หรือก็คือ ที่พวกเราทั้งคู่แสดงความเป็นศัตรูใส่กันและกันนี่ก็เพราะว่าสัญชาตญาณงั้นเหรอ? ถ้าแบบนั้นก็พอเข้าใจได้…แต่รู้สึกแบบนี้เองงั้นเหรอเนี่ย สัญชาตญาณของสัตว์ป่าน่ะ
“เอ๊ะ นี่มังกรเหรอคะ!?”
คำถามชุดต่อไปของเคียร่าทำให้ฉันแทบถอนหายใจออกมา นี่สนใจเรื่องนั้นหรอกเรอะ เอาเถอะ…จริง ๆ ก็สงสัยเหมือนกันนั่นแหละ นั่นดูยังไงก็กวางชัด ๆ แต่เรียกว่าเป็นมังกรเนี่ยนะ ไม่เข้าใจเลย
“อา มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษแล้วก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรูปร่างภายนอกแตกต่างกันไป ส่วนอย่างดีอาร์นี่เป็นมังกรสายพันธุ์ ‘เดียโบรัล’ ข้าเจอมันแถว ๆ เมืองหลวงนานมากแล้วล่ะ ตั้งแต่ตอนที่ผจญภัยอยู่…ดังนั้นจะไม่คุ้นตาเจ้าก็คงไม่แปลก”
โอ้ อย่างนี้นี่เองมีแบบนี้ด้วยนี่เนอะ หรือก็คือมังกรสำหรับโลกนี้ไม่ได้จำกัดแค่รูปร่างเหมือนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำแบบโลกก่อนสินะ งี้นี่เอง ส่วนที่บอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษนี่หมายถึงยังไงกัน?
ในตอนนั้นเองดีอาร์ที่มองเคียร่าอยู่ ก็หันมาจ้องที่ตาของฉันทำให้เผลอสะดุ้งโหยง ถึงตอนนี้ใบหน้าจะสงบจนเหมือนยิ้มอยู่อย่างใจดี แถมไม่ปล่อยความกดดันใส่เหมือนเมื่อครู่ก็ตาม
แต่ความกลัวที่สิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่เหนือกว่าตนอยู่ตรงหน้า มันดันฝังลึกลงไปในจิตใจฉันไปแล้ว และเมื่อได้จ้องตากันตรง ๆ หางของฉันก็ลู่ลงจนมาอยู่ที่หน้าท้องตัวเอง นี่สินะ หางจุกตูด
ในตอนนั้นเองดีอาร์ก็พ่นลมหายใจออกจมูกจนมีขวันออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ฉันด้วยฝีก้าวที่ยาวเพราะขนาดตัว จนแค่ไม่กี่อึดใจ ฉันก็ถูกเงาของเขาบดบังตัวไปแล้ว
จะหนีก็คงไม่พ้นจนได้แต่ตัวสั่นและพยายามหดตัวให้เล็กลงมากที่สุด ในตอนที่อีกฝ่ายมองลงต่ำมาที่ฉันและก้มหัวลงมา ทางนี้ก็ได้แต่หลับตาปี๋แล้วรอรับชะตากรรม
บ้าเอ๊ย พึ่งเกิดใหม่ได้ไม่นานเองแท้ ๆ
แล้ววินาทีต่อมา ก็รู้สึกมีอะไรเย็น ๆ ไหลผ่านแก้มไป ทำให้ทางนี้ตกใจปนสงสัยจนกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองทางด้านที่เปียก ก็เห็นว่าดีอาร์เลียที่แก้มของฉันเบา ๆ
‘จะกลัวจนหัวหดไปไหนกัน เจ้าหนู’
เขาส่งเสียงร้องเบา ๆ ออกมาจากลำคอพร้อมกับปากที่ขยับเล็กน้อย แต่ว่าที่ยิ่งไปกว่านั้น…มีเสียงเอื่อย ๆ ของผู้ชายลอยออกมาด้วย!!
เอ๋ พูดได้ด้วยเหรอ ได้ไงอะ
ฉันคิดพร้อมกับเผลอส่งเสียงร้องออกไปราวกับพยายามพูด แล้วร่างกายก็หายสั่นพลางจ้องเขากลับไปอย่างตื่นเต้น แหงสิ ได้ยินเสียงพูดมาจากอีกฝ่ายด้วยล่ะ!!
‘ข้าไม่ได้พูด เจ้าแค่เข้าใจสิ่งที่ข้าพยายามสื่อต่างหาก’
…หมายความว่าไงกัน ถ้าแบบนั้นจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่คิดในใจไปเลยรึไง ฉันยังคงนึกสงสัยแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงง
ในตอนนั้นเองดีอาร์ก็ส่งเสียงออกมาจากลำคอเบา ๆ อีกครั้ง
‘ถ้าไม่พยายามสื่อจนส่งเสียงออกมาจากลำคอ ก็ไม่ได้ยินหรอกนะ’
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเขาฉันก็ใช้เวลาประมวลผลอยู่คู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างร่าเริงแล้วส่งเสียงออกมาอย่างดีใจ ราวกับหมาที่เห่าตอนได้คำชมหรือของจากเจ้านายเลย
‘จริงเหรอ ถ้าแบบนี้ก็จะส่งคำพูดไปถึงคนอื่นได้สินะ! นี่เคียร่า!!’
ฉันพูดออกไปแบบนั้นพลางหันไปมองเคียร่าที่ยืนอยู่กับคุณโรเวิร์ต แต่ว่ามองด้วยแววตาสงสัย แล้วหันไปถามหนุ่มเอลฟ์ผู้ทรงปัญญา
“พวกริเกลทำอะไรกันอยู่เหรอคะ”
“ตอนนี้พวกเขากำลังคุยกันอยู่ พวกเราไม่สามารถเข้าใจได้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำตอบของโรเวิร์ต ฉันก็กลับมาหงอยอีกครั้งอย่างรวดเร็ว อะไรกัน…นึกว่าคำพูดนี้จะส่งไปถึงได้แล้วซะอีก เรื่องแบบนี้มัน…
‘ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึ เจ้าหนู พวกเราไม่ได้พูด แค่พยายามสื่อบางอย่างออกไปก็เท่านั้น และก็มีแค่มังกรด้วยกันที่สามารถเข้าใจ ทำใจเสียเถอะ ข้าเองก็อยากส่งคำพูดนี้ไปให้คู่หุของข้าเช่นกัน มานานแสนนาน…’
ดีอาร์พูดแบบนั้นพลางยกหัวขึ้นไปมองคุณโรเวิร์ต ด้วยดวงตาที่เหมือนกบของเขาทำให้เห็นว่าเหมือนเดิมแทบตลอด แต่ว่าก็รู้สึกได้ แววตานั้นกำลังเศร้าอยู่
งั้นเหรอ…พวกเขาก็น่าจะมีอายุกันค่อนข้างมาก แถมยังอยู่ด้วยกันมานาน ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกทรมานใจว่าไม่อาจส่งคำพูดไปถึงได้
น่าสงสา—
‘ไม่จำเป็นต้องสงสารข้าหรอก ข้าในตอนนี้มีความสุขอยู่เปี่ยมล้น ถึงจะไม่รู้คำพูดของข้า แต่พวกข้าก็สามารถสื่อใจถึงกันและกันได้ ก็เพราะว่าเป็นคู่หูไงล่ะ’
และหลังจากพูดจบแววตาเศร้าหมองเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป เป็นดวงตาที่เปี่ยมเป็นความพึงพอใจอย่างเต็มเปี่ยม พูดได้เต็มปากเลยล่ะ ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มอยู่
‘งั้นเหรอ สื่อใจถึงกันสินะ…’
ฉันพึมพำออกไปแบบนั้นจนเป็นเสียงครางเบา ๆ ในลำคอ สื่อใจกัน คู่หู เป็นถ้อยคำที่ได้ยินแล้วรื่นหูเหลือเกิน รู้สึกว่าอยากจะมีแบบนี้กับใครสักคน
ไม่สิ ไม่ใช่ใครสักคนแต่ต้องเป็นเคียร่าเท่านั้น น่าแปลกจังเลยนะที่ความรู้สึกนี้ช่างแข็งกล้าเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เราพึ่งจะเจอเธอเองแท้ ๆ
นี่สินะ ‘สัญชาตญาณ’