ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 41: ภาค 2 ตอนที่ 18 บาทหลวงที่เดินทางมาถึง
อากาศเริ่มอุ่น หิมะเริ่มละลาย ในที่สุดพวกเราก็ก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิและบอกลาช่วงเวลาที่เย็นเฉียบ การก่อสร้างเมืองก็ไปได้อย่างราบรื่น ท่าเรือและกำแพงเมืองก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมกับบ้านที่ทยอยสร้างแบบค่อนข้างประหยัดพื้นที่
ริมน้ำที่อยู่ใจกลางเมืองนั้นรายล้อมไปด้วยท่าเรือที่มีร้านค้าตลาดนัดอย่างครึกครื้นเต็มไปหมดภายในไม่กี่เดือน มีพ่อค้าหลายคนแวะเวียนมาซื้อขายที่เกาะแห่งนี้กันจำนวนมาก และมีไม่น้อยที่ใช้เมืองนี้เป็นสถานที่กลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า
บนบกเป็นร้านค้าของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมือง บนเรือมีร้านค้าจากพ่อค้าที่อื่นแวะเวียนเข้ามา จะเรียกว่าเกาะแห่งนี้กลายเป็นศูนย์รวมสินค้าจากทั่วทั้งทวีปเลยก็ยังได้ นั่นทำให้มีเรื่องยากนิดหน่อย เพราะพอมีคนมาอยู่รวมกันมากเข้าก็ต้องมีกฎระเบียบ ทหารในกลุ่มของฉันก็ส่งออกไปทำงานได้น้อยลงแล้วต้องรักษากฎระเบียบภายในเมือง
นี่มันเริ่มออกห่างจากกลุ่มทหารรับจ้างไปไกลแล้วไหมนะ…ถึงทุกคนจะยินดีทำตามก็เถอะ ควรเป็นฉันสินะที่ต้องเลิกคิดมากเรื่องนี้ แล้วจัดการทุกอย่างให้ดีที่สุด…แถมยังมีจดหมายพวกนี้อีก
“เฮ้อ น่าปวดหัวจริง”
“หายากนะที่จะทำหน้าแบบนั้น มีอะไรเรอะ”
พอฉันถอนหายใจยาวออกมาแล้วนอนแผ่ไปกับโต๊ะ โบลที่ผลัดเวรมาช่วยงานฉันก็ทักขึ้นมาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ฉันจึงหยิบจดหมายสองฉบับในมือขึ้นมาอ่านชื่อผู้ส่ง
“จดหมายจากทางคณะทูตของฟัวกรา…แล้วก็โบสถ์น่ะ”
“…เป็นชื่อผู้ส่งที่ชวนให้รู้สึกหนักใจจริงเชียว”
“ใช่”
จดหมายของทางโบสถ์ยังพอว่า คือร้องขอให้ก่อสร้างโบสถ์ขึ้นที่เมืองนี้เพราะว่ามีคนสัญจรผ่านไปมา แล้วทางนั้นก็จะส่งบาทหลวงมาให้พร้อมกับของขวัญน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าหนักใจคือกังวลว่าจะโดนพวกนั้นแทรกแซง
ฉันเป็นคนไม่ค่อยได้สนใจศาสนามากนัก ไม่สิ ปกติพวกคนเร่ร่อนอย่างฉันไม่มีเวลาว่างให้มานั่งสวดภาวนาหรอก ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาดีหรือร้าย แต่ก็ยังมีความคิดไม่ดีซึ่งตกทอดมาจากเรื่องของเคียร่ากับริเกลอยู่ ถึงเธอจะบอกว่าช่วยไม่ได้แล้วศาสนจักรไม่ได้ผิดอะไรก็เถอะ
แต่มันก็…ฝ่ายตรงข้ามที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลยนี่น่ากลัวกว่าที่คิดไว้มากจริง ๆ
และอีกฉบับ ถ้าศาสนจักรคือฝั่งที่ไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ฟัวกราก็คือคนที่แสดงออกว่าเป็นศัตรูอย่างชัดเจน ก็นะ ถึงจะไม่ได้บอกว่าจะโจมตีหรืออะไรรุนแรงก็เถอะ แต่จดหมายที่มีใจความว่า ‘มาอยู่ใต้การควบคุมของทางนี้ซะ’ หรือ ‘ยกเมืองนั้นให้กับพวกเราซะ’ มันไม่น่าหงุดหงิดไปหน่อยรึไง
ซึ่งแน่นอนว่าจะปล่อยเงียบแบบนี้ก็คงไม่เป็นไรมากเพราะว่าสุดท้ายเกาะนี้ก็ยังถือเป็นทรัพย์สินของฉัน ของพวกเรากลุ่มทหารรับจ้างฟิว ถ้าจะพยายามแย่งไปด้วยกำลังก็ต้องมีปัญหากับกิลการค้า…ซึ่งนั่นคงเป็นเรื่องใหญ่ ฟัวกราเป็นประเทศมหาอำนาจ ต่อให้รวบรวมกำลังสนับสนุนของกิลการค้าทั่วทั้งทวีปแล้วก็ยังเรียกได้ว่าสูสี
เป็นศัตรูที่น่ากลัวขนาดนั้นแหละนะ แล้วก็ไปถึงคู่กรณีอีกคน…โบสถ์หลักของศาสนาวารุนนั้นตั้งอยู่ที่เมืองหลวงของฟัวกรา ดังนั้นเรื่องที่กังวลก็คือไม่แน่การสร้างโบสถ์อาจจะเหมือนปล่อยให้ศัตรูเข้ามาในถิ่นอย่างอิสระ เพราะงั้นถึงได้นั่งกลุ้มอยู่แบบนี้
“โบสถ์ยังพอว่า มีคนในเมืองหลายคนเองก็ต้องการเหมือนกันรับมาก็ดีไม่ใช่เหรอ ส่วนที่กังวลว่าบาทหลวงจากทางการจะแทรกแซงไหม…พอจะมีวิธีจัดการอยู่นะ”
ฉันที่ทำหน้าสงสัยต่อรอยยิ้มซุกซนของโบลขึงถามออกไปว่าแผนยังไง เมื่อได้ฟังคำอธิบายฉันก็ยิ้มกว้างออกมาและตกลงตามนั้นทันที ถ้างั้นก็ตอบตกลงกลับไปที่โบสถ์แล้วก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเท่าที่จะทำได้ไปหาฟัวกรา เท่านี้ก็เรียบร้อย
“อดใจรอวันที่ต้องรับโบสถ์ไม่ไหวเลยแฮะ”
ฉันพึมพำออกมาแบบนั้นในขณะที่ปิดผนึกจดหมายตอบกลับ แล้วแสยะยิ้มร่าอย่างสนุกสนาน จะต้องเป็นงานเลี้ยงที่สนุกสุดเหวี่ยงแน่ แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องหลังจากสร้างโบสถ์เสร็จเรียบร้อยแหละนะ
————————– —————————–
วันเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน โบสถ์ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างด้วยช่างฝีมือซึ่งเปี่ยมไปด้วยศรัทธาก็สร้างเสร็จ และในค่ำคืนนี้บาทหลวงจากโบสถ์หลักก็จะเดินทางมาถึง ตามที่เคยเขียนเอาไว้ในจดหมาย ว่าเมื่อท่านบาทหลวงผู้ทรงศีลเดินทางมาถึง พวกเราจะทำการจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ราวกับงานเทศกาลให้
แล้วก็ได้ยินมาว่าบาทหลวงที่ถูกเลือกให้มานั้นมีด้วยกันถึงสองท่าน แต่ก็นะ เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง ในที่สุดอาจจะไม่เหลือสักคนเลยก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นค่อยหาบาทหลวงที่ไว้ใจได้มาอยู่ทีหลังก็ได้
“หัวหน้า ท่านบาทหลวงเดินทางมาถึงแล้ว”
ฉันในตอนนี้นั้นนั่งอยู่ลานกว้างจัดงานเลี้ยงหน้าโบสถ์ซึ่งมีโต๊ะเปล่าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งเมื่อบาทหลวงมาและเริ่มงานเลี้ยงต้อนรับจะมีอาหารกับเครื่องดื่มมากมายออกมาวางเรียงราย หลังจากได้ยินคำรายงานว่าบาทหลวงมาถึงแล้วฉันก็เก็บรอยยิ้มพอใจของตัวเองไม่อยู่
ซึ่งมันทำให้ดูเป็นมิตรและยินดีต้อนรับพวกเขา แม้ฉันจะกำลังยิ้มเพราะเรื่องอื่นก็เถอะ
“ยินดีที่พวกท่านมาถึง!”
และก็ดึงสีหน้าที่แสดงออกมาให้เป็นประโยชน์พร้อมทั้งลุกขึ้นแผ่มือออกด้านข้างสองข้างเป็นการต้อนรับ ทางฝั่งบาทหลวงที่เดินมาตามการนำทางของทหารรับจ้างคนอื่น คนแรกนั้นเป็นชายหนุ่มยืนหลังตรงและมีท่าทีสง่างามตามแบบฉบับของนักบวช ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนอยู่ค่อนไปทางอายุเยอะ แม้จะใส่ชุดเหมือนกันแต่ก็มีท่าทีสบายสีหน้าออกไปทางเบื่อหน่าย ราวกับจะหลับได้ทุกเมื่อ
เมื่อฉันทักไปแบบนั้นทั้งคู่ก็หันมามองพร้อมทั้งแสดงสีหน้าประหลาดใจกันทั้งคู่ คงเป็นเพราะรูปร่างที่เป็นเด็กนี่แหละนะ แน่นอนว่าเรื่องนั้นเจอจนชินแล้วจึงทำเป็นเมินไป
“ตามที่เคยกล่าวไปก่อนที่พวกท่านมา ทางเราได้เตรียมงานเลี้ยงต้อนรับการเปิดโบสถ์บนเกาะแห่งนี้แล้ว”
พูดจบ บาทหลวงที่ดูจริงจังก็ยกมือขึ้นส่งเสียงไอในลำคอราวกับไม่พอใจ ผิดกับอีกคนที่ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย นั่นคือท่าทีที่ทั้งคู่มีต่อคำว่า ‘งานเลี้ยง’
“อะแฮ่ม พวกเราเป็นนักบวช สิ่งสิ้นเปลืองอย่างงานเลี้ยงนั้นไม่จำเป็น-”
“อย่าคิดมากไปเลย ผู้ศรัทธาเตรียมเอาไว้ให้ทั้งที”
“ถ้างั้นก็ไม่มัวเสียเวลา เริ่มงานเลี้ยงต้อนรับกันเถอะ”
ว่าแล้วก็ยิ้มร่าออกมาอย่างรื่นเริงและปรบมือส่งเสียงสัญญาณให้เริ่มงานเลี้ยง รอบข้างที่เงียบมาตลอดก็มีเสียงเฮฮาราวกับงานเทศกาลจนทั้งคู่สะดุ้งโหยง สิ่งแรกที่นำไปวางให้พวกเขาก็คือเครื่องดื่มใส่ในแก้วไม้เก่า ๆ ชายนักบวชที่จริงจังอยู่ก็ชักสีหน้าออกมา
“เบียร์เรอะ”
“ใช่ งานเลี้ยงก็ต้องมาพร้อมกับสุราสิ”
“…กระผมขอเป็นน้ำเปล่าแล้วกัน”
“ไม่เอาหน่าท่านบาทหลวง พวกเราเตรียมไว้ให้แค่นี้แหละ”
ถึงในมือฉันจะเป็นน้ำผลไม้ก็เถอะ แต่ก็พูดออกไปแบบนั้นให้เขาตายใจว่าเราไม่มีน้ำเปล่าให้ สีหน้าของนักบวชคนนั้นก็ค่อย ๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับกำลังอดทนอยู่ ในขณะที่อีกคนรีบคว้าแก้วเบียร์ไปยกซดทันที ทำเอาเผลอตกใจนิดหน่อย แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาแล้วปั้นยิ้มปรบมือเรียกต่อ
คราวนี้ถึงเวลาอาหารนำมาวางเรียงรายอย่างหรูหรา และนี่แหละคือตัวหลักของงานนี้
“การเดินทางคงจะเหนื่อย เวลาแบบนี้พวกเรามักจะกินเนื้อเพิ่มพลังกาย ดังนั้นจึงเตรียมไว้ให้พวกท่านเยอะเชียวล่ะ!”
ใช่ สิ่งสุดท้ายที่พวกเราจะใช้ต้อนรับก็คือเมนูเนื้อจำนวนมากที่เพียงพอต่อคนมากมายขนาดนี้ ชาวบ้านหลายคนแม้จะไม่รู้แผนการของพวกเราแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะสำหรับพวกเขาเองการมีเมนูหนักแบบนี้มาแจกจ่ายก็เป็นเรื่องน่ายินดี…แต่ไม่ใช่กับนักบวชผู้เรียบร้อย
“นี่ท่านล้อกระผมเล่นอยู่เรอะ!!”
ว่าแล้วชายคนที่ยืนหลังตรงมาตลอดก็หมดความอดทนและกระแทกแก้วลงกับโต๊ะ จนบรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ ซึ่งแม้จะเป็นไปตามแผนแต่ก็แสร้งถามด้วยความกังวล
“มีอะไรรึท่าน อาหารเหล่านี้ถูกนำมาเพื่อต้อนรับท่านเชียวนะ มีอะไรล้อเล่นกัน?”
“จะเป็นการเล่นของเด็กก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะ นี่เอาเนื้อ ‘มังกร’ มาวางให้กับนักบวชของศาสนา ‘วารุน’ อันมีมังกรพิภพเป็นเทพสูงสุดเรอะ! ถ้าไม่เรียกว่าล้อเล่นจะให้เรียกว่าอะไร!”
ฉุนขาดเรียบร้อย แผนก็เรียบง่ายมากพวกนักบวชที่โบสถ์หลักจะมีพวกน่ารำคาญที่เคร่งศาสนามาก ๆ แล้วก็มองว่าการกินเนื้อมังกรเป็นเรื่องไม่สมควร แม้ว่าปกติแล้วจะมีของแบบนี้วางขายอยู่ก็ไม่แปลกเลยแท้ ๆ ซึ่งการทำแบบนี้ก็เพื่อเป็นการไล่แบบอ้อม ๆ ว่าที่นี้ไม่ต้อนรับคนแบบเขา
ก็นะ ถ้านักบวชแบบนั้นมาอยู่ที่นี่ก็ต้องก่อเรื่องน่าปวดหัวอย่างพยายามควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามหลักคำสอนของตัวเอง แถมพวกแบบนี้แหละที่น่ากลัวว่าจะเป็นสายสืบหรือเปล่า เพราะค่อนข้างจะมีลำดับสูงภายในศาสนจักรพอควร
“ทำไมต้องมาอยู่ในที่แบบนี้กัน ช่างสมกับเป็นแดนเถื่อนของกลุ่มทหารรับจ้างจริง ๆ”
คำพูดนั้นของเขาทำให้ลูกน้องของฉันหลายคนหน้ากระตุกด้วยความหงุดหงิดพอควร และเพราะรู้แบบนั้นจึงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณสั่งห้าม ซึ่งบาทหลวงที่โกรธจัดก็ไม่ได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย
ยังไม่ทันที่ฉันซึ่งปั้นยิ้มอยู่จะพูดอะไรกลับไป บาทหลวงอีกคนก็ชิงพูดขึ้นมาแทน
“อะไรกัน ข้าออกจะชอบที่นี่นะ”
เจ้าตัวพูดขึ้นอย่างสบายด้วยสำนวนที่ดูเหมือนคนแก่ชวนให้นึกถึงเอลฟ์ซึ่งเป็นขุนนางหมู่บ้านที่เคียร่าเคยอยู่ ตอนนี้เขากำลังเติมเบียร์ซึ่งทางโบสถ์ชอบบอกว่าเป็นเครื่องดื่มชั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง และหยิบเนื้อมังกรซึ่งถูกเรียกว่าอาหารของคนเถื่อนไม่หยุด
ทำเอานอกจากบาทหลวงอีกคนจะทำหน้าเหวอแล้วฉันเองก็เช่นกัน มัน…เหนือแผนการไปไกลมาก ถึงจะคิดว่าอาจจะมีคนที่ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาบ้างก็เถอะ แต่คนที่ยินดีกับมันขนาดนี้ก็ไม่ได้คิดเอาไว้เลย ผู้ที่เป็นต้นข้อมูลของทางโบสถ์อย่างโบลเองก็ตกใจเช่นกัน
แล้วทีนี้ราวกับว่าหน้าที่พูดของฉันหมดลงไป บาทหลวงสองคนก็เถียงกันเอง
“นาย! มอร์เทน! ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน ไม่เพียงแต่ดื่มของชั้นต่ำแบบนั้นทั้งยังกินของพวกคนเถื่อนอีก!!”
“รู้แล้ว ๆ จะเรียกข้าว่านอกรีตใช่ไหมล่ะ…แต่ข้าก็ไม่เคยผิดหลักคำสอนสักนิด ไม่เคยมีคำสอนใดกล่าวว่าร้ายเบียร์ หรือคำสอนที่ห้ามกินเนื้อมังกร แล้วก็ไม่มีคำสอนใดเช่นกันว่าไวน์ชั้นดีเป็นเครื่องดื่มคู่ควรของนักบุญแล้วร้องขอให้ผู้ศรัทธามาถวายให้”
ชายที่ชื่อ มอร์เทน ร่ายยาวออกมาพร้อมทั้งหัวเราะคิกคักราวกับหยอกล้ออีกฝ่าย จนดูเหมือนจะเถียงอะไรกลับไปแต่ก็กลืนคำพูดของตัวเองลงคอ ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ
“ถ้าเจ้าไม่พอใจที่นี่นักก็กลับไปสิ ข้าแค่คนเดียวก็คงเพียงพอแล้วกระมัง ไม่สิ เจ้าคงจะทนอยู่ไม่ไหวมากกว่า เป็นนักบุญเจ้าสำอางจริง ฮ่า ๆ ๆ”
เมื่อบาทหลวงผู้ร่าเริงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก็เรียกเสียงหัวเราะของชาวบ้านรอบ ๆ ได้อย่างล้นหลาม นั่นคงยิ่งทำให้อีกคนหน้าเสียยิ่งกว่าเดิมก่อนจะก้าวเท้าออกไป แล้วพูดขึ้นมาว่าล่องเรือกลางคืนได้ไหมอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนจะไม่ชอบใจจนอยากกลับขั้นสุดเลยแฮะ
แน่นอนว่าถ้าตามปกติทำตามอารมณ์ชั่ววูบแบบนี้คงกลับไปไม่ได้ แต่ว่า หนนี้พวกเราเตรียมทางกลับให้อย่างเรียบร้อย แล้วก็ส่งตัวบาทหลวงคนหนึ่งกลับไปอย่างสุภาพ…ไม่สิ เจ้าตัวต่างหากที่ก้าวออกไปเอง
“จำไว้เถอะ บาทหลวงนอกรีตเอ๋ย สักวันที่ยืนนายจะหายไป”
“…ขอคืนคำนั้นกลับไปให้พวกเจ้าที่เป็นเช่นนี้แล้วกัน ข้าไม่ขัดหรอกนะว่าเจ้าจะมีความเชื่อเช่นไร แต่ก็อย่ามาขัดความเชื่อของข้าเช่นกัน เจ้าเด็กน้อย”
หลังจบคำลาที่ทิ้งการจิกกัดทั้งสองฝ่ายจบ ในที่แห่งนี้ก็ไม่มีบาทหลวงสีหน้าเคร่งเครียดอยู่อีกแล้ว มอร์เทนที่ยังอยู่ก็ดึงให้กลับมาครึกครื้นอีกครั้งพลางบอกให้ลืมคนทำบรรยากาศเสียไป แล้วงานเลี้ยงราวกับเทศกาลก็ยังดำเนินต่อไป…ทิ้งไว้เพียงความกังวลเล็ก ๆ ในใจฉัน
“อะไรกันเจ้าหนู เป็นหัวหน้าแท้ ๆ ไม่ร่าเริงเลยนะ แบบนี้ลูกน้องก็ลำบากสิ ฮ่า ฮ่า”
“…หมายความว่าไงน่ะ”
ฉันขมวดคิ้วให้กับคำพูดของเขาแล้วมองด้วยสายตาเคลือบแคลง ในตอนนี้พวกเราอยู่นอกความสนใจของคนในงานเลี้ยงแล้วพูดคุยเพียงลำพัง มีหลายอย่างที่เขาพูดดูกำกวมจนไม่สามารถเข้าใจได้แฝงเอาไว้อยู่ รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอผู้ใหญ่แบบนี้มานานโขเลย
“ก็นะ การมีอยู่ของกลุ่มจะเป็นไปตามผู้นำ ถ้าผู้นำแสดงอะไรออกมา ผู้ตามก็จะเป็นเช่นนั้น…ความกังวลก็เช่นกัน”
“…”
“เอาเถอะ เจ้าก็ยังเด็กนี่นะคงจะยากไปสักหน่อยล่ะนะ ถ้าต้องรับผิดชอบหนักขนาดนี้โดยไม่มีคนคอยชี้แนะ”
“แบบนั้นฉันมีอยู่น่า”
ไม่รู้ทำไมพอโดนพูดใส่แบบนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจนกำแก้วไม้แน่น แล้วจ้องมองกลับไปด้วยตาดุดันราวกับการขู่ แต่ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ถ้าเช่นนั้น ทำไมในสายตาเจ้าจึงยังกังวลอยู่เล่า”
ฉันเปิดตากว้างเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ พยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลืนกลับลงไป…นี่ฉัน กังวลอยู่เหรอ? ไม่สิ…ช่วงหลังมานี้ฉันกังวลอยู่ตลอดเลย ถึงจะมีเคียร่าคอยให้คำปรึกษาบ้าง มีพวกโบลคอยหนุนหลัง…แต่ก็ยังกังวลอยู่ลึก ๆ เสมอ ฉัน…
“เอาเถอะ ข้าถูกใจงานเลี้ยงนี่นะ เป็นแผนจัดการบาทหลวงจากโบสถ์ใหญ่ได้ดีเลยล่ะ ฮ่า ๆ”
“เอ๊ะ ดูออกด้วยเหรอ”
อา แน่นอน เขาตอบกลับมาแบบนั้นอย่างสบาย ๆ ก่อนจะหรี่สายตาเล็กน้อยมองทอดออกไปในงานเลี้ยง
“มีอะไรกังวลใจก็มาที่โบสถ์ล่ะ ข้าจะคอยชี้แนะในฐานะบาทหลวงเอง…ไม่ต้องห่วงหรอก แม้จะพึ่งมาถึง แต่ข้าคิดว่าข้าชอบที่นี่นะ”
ไม่รู้ว่าในช่วงท้ายนั่นกำลังบอกเป็นนัยถึงเรื่องที่ตัวเองไม่ได้เป็นสายสืบหรืออะไร ไม่แน่มันคงเหนือความเข้าใจของฉันมากเกินไปหน่อย แต่ถึงกระนั้นพอมองตามสายตานั้นออกไปก็รู้สึกสงบใจขึ้นมา
เป็นภาพของชาวเมืองกำลังยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มกับแกล้มไปกับอาหารที่วางเรียงรายเต็มไปหมด เป็นเมืองที่ครึกครื้นและมีชีวิตชีวาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ แทนที่จะมานั่งกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉันต้อง…พยายามปกป้องที่แห่งนี้เอาไว้ไม่ใช่เหรอ