ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 35: ภาค 2 ตอนที่ 12 ผืนทะเลที่กว้างใหญ่
“อุ๊”
ปวดหัว เหมือนโดนทุบอยู่ในสมองเลย เกิดอะไรขึ้นกันนะ…ฉันที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นจากการนอนหลับพยายามลุกขึ้น โดยที่ร่างนอนอยู่บนพื้นอันนุ่มนิ่มคาดว่าเป็นเตียงซึ่งไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้…
จริงสิ ล่าสุดฉันเอาจดหมายไปกับริเกลเหมือนทุกครั้ง แล้วจากนั้นก็…ปวดหัวขึ้นมาแล้วหมดสติไป หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกันนะ
หลังจากเริ่มตั้งสติได้แล้วก็ลืมตาพร้อมกับที่ลุกขึ้นมานั่ง ที่นี่…ห้องของฉันที่คฤหาสน์ของอาจารย์ดาริก? ได้ยังไงกัน อย่างน้อยที่สุดฉันก็น่าจะต้องอยู่ที่เมืองหลวงซึ่งไกลจากที่นี่ค่อนข้างมาก…คนที่จะทำแบบนี้ได้มีคนเดียวล่ะนะ
“รู้สึกตัวแล้วหรือครับ”
ในตอนนั้นเองโมบิลก็เปิดประตูเข้ามาและถาม ฉันจึงพยักหน้ารับพร้อมแสดงความสงสัยออกไปเต็มที่ เจ้าตัวก็ได้แต่ยิ้มอย่างลำบากใจก่อนจะเริ่มอธิบาย
“เมื่อวานช่วงเช้าจู่ ๆ ริเกลก็บินมาที่สวนพร้อมทั้งร่างที่หมดสติของท่านครับ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะพิษไข้”
“ว่าแล้วเชียว”
ฉันถอนหายใจออกมายาวก่อนจะทิ้งตัวกลับลงไปนอนที่เตียง แต่ว่าไข้งั้นเหรอ…มิน่าล่ะช่วงนี้ถึงได้ปวดหัวนัก แถมพอไม่สบายก็จะคิดอะไรไปเรื่อย เก็บทุกอย่างมาคิดปนกันไปหมด ไม่ชอบเลยจริง ๆ
ถ้าสภาพแบบนี้ก็ทำงานไม่ได้สิ…
“อ๊ะ…ไม่ต้องไปทำงานแล้วนี่นา…”
“หือ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ…สงสัยจะเบลอนิดหน่อย”
“ครับ ระหว่างนี้นายท่านกำลังจัดการอะไรหลายอย่างให้อยู่ เชิญพักผ่อนให้สบายเถอะครับ”
เมื่อโดนบอกแบบนั้นฉันก็ทำได้แค่นอนนิ่ง ๆ ตามที่เขาบอก…นั่นสินะ ลืมไปเลยเราไม่ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าที่บริษัท กลับบ้านตอนรถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้วนี่นะ นึกว่าทิ้งมันเอาไว้ไปหมดตั้งแต่รู้ตัวว่ามาเกิดใหม่แล้วซะอีก…
ชีวิตขึ้นหลักสามเกือบสี่นี่ลบให้หายออกไปจากสมองได้ยากจริง ๆ แม้ว่าจะใช้เวลามา 13 ปีที่ชีวิตใหม่แล้วก็เถอะ ความเคยชินนี่น่ากลัวจริง แถมการมาเกิดใหม่ก็ยังน่าสับสนไปหมด แรกเริ่มใครจะไปคิดว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดตัวเอง จะอายุน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ
ไม่ไหว…พอมึนหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยจนหนักยิ่งกว่าเดิม
“เคียร่า ฉันได้ยินมาว่ารู้สึกตัวแล้วรึ”
“ค่ะ…ที่โรงเรียนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
เมื่อทักทายกับอาจารย์ สิ่งแรกที่ฉันสงสัยนั่นก็คือที่โรงเรียน ว่าการจู่ ๆ ก็หายตัวไปแบบนี้เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า แถม ถ้าริเกลจะบินกลับมาจะต้องเป็นจุดเด่นแน่ อาจารย์เองก็ยิ้มแบบเดียวกันกับโมบิล…เป็นเรื่องเกี่ยวกับริเกลสินะ
“เหมือนว่าจะวุ่นวายพอควรเลยล่ะ ก็เลยให้ริเกลอยู่เงียบ ๆ ไปก่อน เมื่อวานนี้ส่งม้าเร็วไปบอกข่าวแล้ว คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร”
“อา…ค่ะ”
แหงล่ะ ยังไงก็ต้องแตกตื่นอยู่แล้ว มังกรบินได้แค่ตัวเดียวในประเทศเคลื่อนไหว โดยเฉพาะริเกลที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนกับทางโบสถ์ว่าปลอดภัย ถ้าจะมีคนเตรียมทหารไว้รับมือริเกลก็ไม่แปลก…นั่นคงเป็นเหตุผลให้อาจารย์สั่งริเกลว่าอยู่เงียบ ๆ สินะ
“มีแต่เรื่องน่าปวดหัวจังแฮะ…”
“ก็ไม่แปลกนักหรอก เธอไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย แถมยังต้องพยายามให้ดีที่สุด คงจะฝืนตัวเองมากไปหน่อยแล้วมั้ง ไม่พักสักหน่อยล่ะ”
อาจารย์พูดแบบนั้นแล้วเดินเข้ามาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน สำหรับเขาคงมองว่าฉันเป็นเหมือนลูกสาวของตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเป็นพิเศษเท่าไหร่ ถ้าเขาชอบก็ดีแล้วล่ะ
แต่ว่า…นั่นสินะ ฝืนตัวเองไปหน่อยแล้วสินะ…
ในขณะที่กำลังปล่อยตัวให้โดนลูบหัวและกำลังข่มตาให้หลับนั้น ก็มีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งซ้อนทับกับตัวอาจารย์ที่กำลังลูกหัวอยู่ นั่นทำให้ฉันกลั้นหายใจและเกือบจะหลุดเรียกออกมา นั่น…พี่สาวของฉันในชาติก่อน
และความทรงจำที่ย้อนกลับไปหลายสิบปีนักก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ในตอนเป็นเด็กพี่สาวก็มักจะพูดกับฉันที่พยายามอย่างหนักเสมอ อา…ต่อจากคำนั้นพูดว่าอะไรต่อนะ…
“ไม่ต้องรีบร้อน…สินะคะ”
“อา ค่อย ๆ ปรับตัวกับสังคมไป ไม่ต้องรีบนักหรอก”
นั่นสินะ…ถึงจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรคนเราน่ะเติบโตไม่เท่ากัน ขอแค่เป็นในแบบของตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องรีบเก่งรีบโตหรอก ช่วงวัยที่ยังเป็นเด็ก ยังไม่ต้องรับผิดชอบ ยังได้รับโอกาสให้เรียนรู้ ใช้มันให้คุ้มเถอะ
นั่นคือสิ่งที่พี่สาวเคยพูดกับฉันที่พยายามอย่างหนักเพื่อจะได้คะแนนสูง ๆ และอยากจะรีบโตไปทำงานช่วยพี่สาว จนล้มพับไป…อาจจะคล้ายกับตอนนี้เลยก็ได้ นี่สินะ พอเริ่มลืมเรื่องราวในอดีตก็เผลอพลาดทำซ้ำอีกหนซะได้
จากนั้นอาจารย์ก็บอกว่าให้นอนพักยาว ๆ ไปเลย อีกไม่กี่วันก็จะเข้าฤดูหนาว และโรงเรียนก็จะปิดหนึ่งเดือนให้นักเรียนพักผ่อนกันอยู่แล้ว เพราะงั้นก็ให้อยู่ที่นี่ยาวจนกว่าโรงเรียนจะเปิดได้เลย
นั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะถึงที่โรงเรียนจะพอมีเพื่อนบ้างแต่มันก็ไม่สบายใจ เหมือนกับว่าแค่ก้าวเท้าออกจากที่พักมังกรก็เหนื่อยแล้ว และเหนือสิ่งอื่นใด การที่ฉันอยู่ที่นี่ก็มีคนยินดียิ่งกว่าฉันซะอีก
“นี่พี่เคียร่า! หนูวาดมังกรเดียโบรัลมาล่ะ”
“ว้าว สุดยอด ฝีมือดีขึ้นมากเลยนี่นา เก่งมาก ๆ”
ในระหว่างที่ฉันนอนพักอยู่นี่ก็ผ่านมา 3 วันแล้ว คลิฟนั้นรอเวลาที่ฉันตื่นแล้วเข้ามาอวดรูปภาพอยู่เสมอ ในโลกใบนี้ศิลปะไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก ยิ่งกับขุนนางแบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาดีด้านศิลปะ
แต่ถึงกระนั้นคลิฟก็หลงใหลในภาพวาดจากหนังสือโบราณที่เคยเอาให้ดู มันเป็นรูปวาดที่อาจจะไม่ได้ละเอียดมาก แต่มันก็ดูสวยอย่างน่าประหลาดเด็กคนนั้นที่ได้เห็นครั้งแรกถึงกับตาลุกวาวและประกาศกร้าวว่าอยากทำให้ได้บ้าง
“พี่เคียร่า หนูเริ่มเขียนหนังสือแล้วนะ!”
คลิฟพูดแบบนั้นพร้อมกับหยิบสมุดเล่มหนึ่งขึ้นมาโชว์ ฉันจึงรับมาด้วยรอยยิ้มและเริ่มเปิดอ่านด้านใน เป็นสมุดสำหรับจดบันทึกซึ่งในหน้าหนึ่งจะมีรูปวาดอย่างง่ายอยู่ด้านบน ด้านล่างลงมาเป็นคำอธิบายเป็นภาษาปัจจุบัน ถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมือของคลิฟที่บรรจงและสวยงาม สมกับเป็นลูกของขุนนาง ลายมือแทบจะไร้ที่ติจริง ๆ
ในหนังสือโบราณจะเป็นบันทึกเกี่ยวกับมังกรก็จริง แต่ในนี้มีตั้งแต่สัตว์ธรรมดาเล็กใหญ่ แมลง พืช และมีมังกรบ้างเพียงเล็กน้อย นั่นสินะ จากที่เขียนคงไปดูและสังเกตด้วยตัวเอง ยังไงมังกรที่เธอจะเจอได้โดยไม่ออกจากเมืองนี้ก็มีเพียงหยิบมือ
หลังจากเปิดอ่านไปพักหนึ่งฉันก็พับเก็บคืนเธอไป
“ดีเลยนะ จะเขียนหนังสือแบบตำราโบราณเหรอ”
“อื้อ! แต่ว่า…”
ในตอนนั้นจู่ ๆ สีหน้าเธอก็พลันเปลี่ยนเป็นความเศร้าหมอง ทำเอาฉันได้แต่เอียงคอมองด้วยความสงสัย และครู่ต่อมาคลิฟก็พูดต่อ
“มีคนบอกว่าเพราะหนูเป็นขุนนาง พอโตขึ้นก็จะเล่นแบบนี้ไม่ได้แล้ว…แต่หนูไม่ได้เล่นซะหน่อย”
“อืม เมื่อเป็นขุนนางก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ มันเป็นสิ่งที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก…แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องทิ้งความฝันของเธอไป”
“? งั้นหนูต้องแต่งงานกับคนที่เก่ง ๆ และทำงานของขุนนางให้แทนใช่ไหม”
เมื่อคลิฟพูดแบบนั้นฉันก็น่ากระตุกเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มออกไป โดยที่ในใจกำลังถอนหายใจอยู่เบา ๆ ใครมันสอนเรื่องแบบนี้ให้กับเด็กอายุ 8 ขวบกันล่ะเนี่ย ต้องเป็นแขกสักคนของอาจารย์แน่เลย บอกให้เขาระวังเอาไว้หน่อยดีกว่า
หลังจากตั้งสติกลับมาได้ใหม่ฉันก็จับไหล่ของเธอเบา ๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามคำถามที่แสนง่ายดาย
“คลิฟ เธอชอบเมืองนี้ไหม”
“อื้อ! ชอบสิ ทุกคนในเมืองเองก็ชอบหนูกับท่านพ่อเหมือนกัน ตอนไปจดบันทึกก็ไม่เรียกว่าเป็นการเล่น แถมยังช่วยอธิบายเพิ่มอีกเยอะเลย! แล้วในฤดูเก็บเกี่ยวก็สวยมากอีก”
นั่นสินะ อาจารย์เป็นขุนนางที่สนิทกับชาวเมือง ก็ไม่แปลกที่เขาจะพาคลิฟอันเป็นลูกสาวออกไปดูลาดเลาด้านนอกบ่อย ๆ จนสนิทกับทุกคน บนใบหน้าของเธอเปล่งประกายเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นั่นทำให้ฉันเริ่มพูดต่อ
“ทุกคนเป็นคนสำคัญสำหรับคลิฟสินะ”
“อืม!!”
“งานของขุนนางน่ะคือการปกป้องวิถีชีวิตและรอยยิ้มของพวกเขา เธอจะยอมได้เหรอ ถ้ามีคนที่ไหนไม่รู้เข้ามาจัดการแทน…และอาจจะทำให้พวกเขาเป็นอันตราย”
“นั่นมัน…”
คลิฟที่สดใสนั้นซึมอย่างรวดเร็ว เด็กนี่เป็นสิ่งที่สุดยอดไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะคิดหรือรู้สึกอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้า และสับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ไปสะกิดเบา ๆ แต่เรื่องหลังจากนี้คงยากเกินไปสำหรับคลิฟในตอนนี้ ฉันจึงคลี่ยิ้มบางและยื่นมือไปลูบหัวเธอ
“ดังนั้น ถ้าเธอจะแต่งงานกับใคร เขาคนนั้นก็จะต้องมาร่วมรับผิดชอบกับเธอ…จงหาคนที่เธอไว้ใจพอจะฝากรอยยิ้มของคนสำคัญเอาไว้ได้ และ…เป็นคนที่เธอรักเถอะนะ”
“ไม่ใช่คนที่เก่งเหรอ?”
“อืม คนที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้น่ะ สำคัญที่สุด…ถ้าสมมุติว่าจะให้เธอมีพ่อเป็นราชา จะชอบรึเปล่า”
พอลองยกตัวอย่างแบบนั้นคลิฟก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว แน่นอน ถึงราชาจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนพ่อสำหรับคลิฟก็มีเพียงอาจารย์คนเดียว จะให้มองคนอื่นมาเป็นพ่อน่ะก็ยากอยู่พอตัว ยิ่งเป็นเด็กติดพ่อแม่ด้วยยิ่งแล้วใหญ่
และพอเธอเข้าใจแล้วก็ยิ้มร่าขึ้นมาทันที อืม อย่างน้อยก็น่าจะไม่เผลอไปตกลงเรื่องแต่งงานกับใครมั่ว ๆ ล่ะนะ จากจุดยืนของเธอคงมีคนหวังจะส่งลูกตัวเองมาแต่งด้วยเยอะแน่ เพราะว่าตระกูลของคลิฟมีอำนาจอย่างใหญ่หลวงในประเทศนี้ คนที่กระหายอำนาจคงจ้องตาเป็นมันแล้ว
“นี่พี่เคียร่า…ที่ด้านนอกจะมีมังกรเยอะกว่านี้ไหม”
“…แน่นอนสิ ถ้าออกนอกประเทศ ข้ามหุบเขาสูงชันที่เรามองเห็นไกล ๆ นั่นไปได้ ข้างนอกนั่นเต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่…บางทีเธออาจจะคิดว่าอยู่คนละโลกกันเลยก็ได้นะ”
“จริงเหรอ! แล้วสักวันหนูจะได้ออกไปไหม”
“แน่นอนสิ ถ้าเธอเป็นขุนนางที่ดีได้ เธอก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ”
และหลังจากนั้นฉันก็เริ่มเล่าถึงสิ่งที่อยู่ด้านนอกให้เป็นเหมือนกับนิทานกล่อมเด็ก แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ก็มาจากที่แฟร์เคยเล่าให้ฟังถึงโลกภายนอก
เมื่อมองออกนอกหน้าต่างไปไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของฟาเรเรียก็จะมองเห็นหุบเขาสูงชันล้อมรอบประเทศเอาไว้ทั้งหมด มันสูงมากถึงขนาดนั้นเลยล่ะ แต่ว่าถ้ามองจากเมืองหลวงก็จะเห็นอยู่มุมหนึ่ง ที่มีช่องว่างแหว่งไปเลยอยู่ นั่นก็คือพรมแดนติดกับประเทศฟัวกรา
ฉันมักจะมองทอดออกไปไกลในทิศทางนั้น ผืนดินที่กว้างไกลเต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่และผู้คนคับคั่ง นั่นทำให้นึกถึงแฟร์ขึ้นมา เธอเป็นคนที่ได้ผจญภัยไปรอบ ๆ ในหัวของเธอคงเต็มไปด้วยความทรงจำและประสบการณ์ล้ำค่า มีผู้คนมากมายที่เคยพูดคุย
เป็นคนที่มีชีวิตชีวาจนแค่นึกถึงก็ยิ้มออกมาได้แล้ว
————————— ————————-
หลังจากหลับไปในระหว่างที่มาช่วยกู้ภัย ฉันก็ตื่นขึ้นมาอีกทีช่วงเที่ยงของวันต่อมา ทุกอย่างเรียบร้อยและดำเนินไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร และช่วงเย็นทหารของทางการก็มาถึง พวกเราจึงได้สบายไปอีกเปลาะหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นหลายคนก็ยังช่วยทำงานอยู่ แม้ส่วนมากงานที่พวกเราทำจะเป็นดูแลคนเจ็บก็เถอะ เพราะพวกเราก็เหนื่อยล้ากันมาพอสมควร
แต่ในตอนนี้ฉันที่เป็นหัวหน้านั้นกำลังยืนรับลมทะเลอยู่บนดาดฟ้าเรือ ตรงนี้เป็นส่วนริมของทวีปที่มองออกไปก็สามารถเห็นทะเลกว้างใหญ่ไกลสุดหูลูกตา ฉันได้เห็นทะเลกว้างแบบนี้หลังจากเข้าร่วมกองคาราวานได้ราวหนึ่งปี มันเป็นความรู้สึกที่น่าพิศวงว่าโลกใบนี้มีสิ่งสวยงามขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ
และแม้แต่ตอนนี้จะผ่านมาหลายปีจากตอนนั้นแล้ว แต่ความรู้สึกที่มีต่อทะเลกว้างใหญ่ก็ยังไม่เปลี่ยน ผืนน้ำที่มีเสียงคลื่นพัดผ่านเสมอ บนเรือที่โคลงเคลงเล็กน้อยแต่ก็ยังพอทรงตัวไหว และท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งทำให้ราวกับว่าโลกทั้งใบเป็นสีฟ้า
ฉันที่เคยคิดว่าเคียร่านั้นมีกำแพงที่มองไม่เห็นขั้นทุกคนเอาไว้อยู่พอมาเห็นทะเลแบบนี้ก็ทำให้รู้ได้ว่าฉันคิดผิด เคียร่าไม่เคยมีกำแพง เธอไม่เคยกีดกันใคร เธอเป็นคนที่โอบอ้อมอารีและใจกว้าง…กว้างเหมือนกับทะเลผืนนี้ นั่นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างประหลาด เพราะว่าผืนน้ำนี้นั้นกว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และ..
โดดเดี่ยว