ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 34: ภาค 2 ตอนที่ 11 สถานที่ ที่เพิ่มขึ้นมา
ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว แม้ว่าการตั้งถิ่นฐานที่นี่อาจจะยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ระหว่างนี้เลยจัดแบ่งกลุ่มออกไปหางานรับจ้างเช่นกัน อีกส่วนก็คอยคุ้มครองที่นี่ และฉันก็คอยจัดการระเบียบเหมือนกัน…แต่ว่าถึงทุกอย่างจะราบรื่นฉันตอนนี้ก็ใจแทบไม่สงบเลย
“เอาน่าหัวหน้า เธอคงไม่เป็นไรหรอกน่า”
“…นั่นสินะ”
ฉันที่นั่งเหม่อมองดูตัวหมู่บ้านที่ทุกคนกำลังช่วยทำงานอยู่ขยันขันแข็ง ในตอนนั้นก็ลูกน้องคนหนึ่งผ่านมาเห็นเข้าก็พูดด้วยความเป็นห่วง และถึงฉันจะตอบแบบนั้นไปสีหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย เพราะว่าไม่มีจดหมายมาจากเคียร่า ตัวของแฟลชเองก็มาตัวเปล่าไม่มีใครอธิบายสถานการณ์
แต่จากสีหน้าของเขาตอนถามถึงเคียร่าคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ถึงกระนั้นฉันก็ยังให้แฟลชเดินทางไปกับพวกโบล และรอการส่งจดหมายครั้งต่อไป…ซึ่งใช้เวลาร่วมราวครึ่งเดือน คิดผิดรึเปล่านะ นี่ผ่านมาแค่ประมาณ 3 วันได้ยังขนาดนี้ แล้วยังต้องรอไปถึงครึ่งเดือนเลยเรอะ
“กรร!”
“แฟลชเรอะ? ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ…”
เสียงใสดังขึ้นขัดช่วงเวลาที่กำลังกลุ้มพร้อมกับเร่งเร้าให้รีบอ่านจดหมาย…อะไรกัน คงไม่ใช่ว่าฝั่งโบลก็เกิดเรื่องด้วยเหมือนกันนะ ว่าแล้วฉันก็รีบเปิดจดหมายขึ้นมาอ่านทันที จากที่เขียนด้านในเหมือนจะส่งมาได้ไม่กี่ชั่วโมงและอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก
และเนื้อหาด้านในนั้น…
“พวกทหารรับจ้างทุกคนเตรียมตัว!! เตรียมผ้าห่ม น้ำสะอาด และอาหารเร็วเข้า ไม่ต้องหวงเดี๋ยวกลับมาเราค่อยไปซื้อกันใหม่ก็ได้ ส่วนคนอื่นถ้าอยากจะช่วยก็ตามมา พวกเราจะไปกู้ภัยกัน!”
ในประเทศริมิร่าไม่ไกลฝั่งมากนักแต่ว่าไกลจากตัวชนเผ่าหลัก เกิดดินถล่มและพวกโบลก็ได้รับงานช่วยเหลือผู้รอดชีวิตกะทันหันร่วมกับทหารนิดหน่อยของประเทศ แต่ว่าของยื้อชีวิตพวกเขาคงไม่พร้อมมากนัก อยากให้พวกเรารีบไปหนุนหลัง จากระยะทางพวกเราที่ไปด้วยเรือขนาดใหญ่น่าจะถึงไวกว่าทหารราบของริมิร่า
กลุ่มทหารรับจ้างเดิมมีอยู่ราว 30 คนจากชาวบ้านที่ได้มาเพิ่มอีก 28 คน กลุ่มโบลที่ออกไปกันมีทั้งหมดแค่ 35 คน ส่วน 23 คนที่เหลือนั้นช่วยงานอยู่ที่เกาะฟิวเผื่อพวกงานใช้แรงงานรวมไปถึงป้องกันผู้บุกรุก และใน 23 คนนั้นก็มีคนจากกลุ่มเดิมอยู่ 13 คนเท่านั้น
หมู่บ้านที่พวกเราจะไปช่วยกู้ภัยนั้นมีประชากรอยู่หลายร้อยคน จำนวนเดิมของโบลคงช่วยได้ไม่หมด เพิ่มคนไปหาช่วยน่าจะเจอผู้รอดชีวิตได้มากกว่า ถึงแม้ว่าจะกำลังอยู่ในช่วงซึมและกระวนกระวาย แต่พอเห็นว่าลูกน้องกำลังเจอปัญหาและขอความช่วยเหลือความกังวลก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าเล่าให้เคียร่าฟังเธอจะชมกันไหมนะ…
“ครับ!!”
หลังพูดจบทุกคนที่ได้ยินเสียงตะโกนดังก้องกังวานของฉันก็ขานรับอย่างหนักแน่นไม่แพ้กัน ก่อนจะวางงานในมือและไปเตรียมของขึ้นบนเรืออย่างรวดเร็ว แม้คนที่ทำงานกับฉันประจำจะมีแค่ 13 คน แต่ที่เหลือซึ่งเข้ามาใหม่รวมถึงชาวบ้านผู้หญิงถึงตอนแรกจะตกใจและงงกัน แต่เพราะเห็นการทำงานอย่างเร่งรีบก็เข้าไปช่วยทีละเล็กทีละน้อยกันทันที
ฉันก็ลุกขึ้นแล้วจะไปเตรียมตัวในส่วนของตัวเองเช่นกัน
“กรร!”
ในตอนนั้นอิกนิสก็วิ่งมาหาพร้อมทั้งคาบกระเป๋าที่ใช้เป็นประจำให้ รู้ดีจริง หลังหัวเราะในลำคอเล็กน้อยฉันก็เข้าไปช่วยขนของขึ้นบนเรือ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง เนื่องด้วยคนในหมู่บ้านที่อาสาจะไปช่วยมีเยอะกว่าที่คาดไว้ ก็เลยเหลือทหารรับจ้างที่เฝ้าคุ้มกันเอาไว้ห้าคน
ตอนนี้มีคนไปช่วยถึง 100 คนรวมพวกผู้หญิงที่สู้ไม่ได้จำนวนไปช่วย นั่นสินะ งานดูแลคนพวกผู้หญิงคงจะทำได้ดีกว่า และหลังจากมองปาดคนสักพักหนึ่งก็ออกเดินเรือกันทันที ในระหว่างนั้นฉันก็ประกาศให้ทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ฟัง
“ในระหว่างเดินทางถ้าพักผ่อนได้ก็พักผ่อนกันซะ เราคงไปถึงช่วงเย็นเกือบหัวค่ำ และจะเร่งไปช่วยผู้ประสบภัยกันทันที จนกว่าทหารราบของริมิร่าจะมา ไม่มีเวลาให้นอนหรอกนะ!!”
“โอ้!!”
แม้ว่าฉันจะพูดในเชิงขู่ก็ตาม แต่ดูท่าจะไม่มีใครสะทกสะท้านแม้แต่น้อย แถมยังดูฮึกเหิมอีกต่างหาก ไม่เข้าใจจริง ๆ หลังจากนั้นบรรยากาศก็อยู่ในความสงบ เพราะสุดท้ายก็ต้องรอเวลาให้เดินทางไปถึงกัน ส่วนอิกนิสนั้นก็ให้ใส่อานเตรียมเอาไว้ทันที
แน่นอนว่าฉันเองก็ทำตัวให้พร้อมตลอดเวลาเช่นกัน เพราะคนอื่นยังผ่อนคลายได้แต่ถ้าไปถึงฉันต้องรีบสั่งการทันที แล้วก็เข้าไปควบคุมกลุ่มทางโน้นแทนที่โบลด้วย ถึงเขาจะพอคุมกลุ่มได้แต่ก็ไม่ได้ถนัดเท่าฉัน ดังนั้นอาจจะไม่ได้ผลสูงสุด
เอาล่ะ…ถึงจะยังกังวลเรื่องเคียร่าอยู่ แต่นั่นฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะงั้นควรที่จะจดจ่ออยู่กับตรงหน้ามากกว่าสินะ นั่นก็คือเป็นกองหนุนให้พวกโบล
ใช่ไหมเคียร่า? ถ้าเป็นเธอคงบอกให้ฉันทำแบบนี้สินะ…
และฉันก็เก็บความกังวลใจถึงเคียร่าไว้ส่วนลึกของหัวใจ แล้วมองทอดไปไกลตามน้ำที่เรือแล่นผ่าน เพื่อรอให้ตัวเองไปถึงยังจุดหมาย…
———————– ————————–
“ตรงนี้สินะ แฟลชช่วยนำทางทีสิ”
“กรร!”
เมื่อจอดเรือตามจุดที่โบลบอกในจดหมาย ฉันก็ให้แฟลชนำทางไปทันที และเหมือนว่าจะติดชายฝั่งกว่าที่คิดไว้มาก เดินไปไม่นานก็พบกับหมู่บ้านซึ่งประสบภัย…มันเป็นภาพที่ไม่ต่างจากนรก ดูท่าแล้วเหมือนว่าฝนจากเมื่อหลายวันก่อนจะทำให้แม่น้ำล้นออกมา
จนพื้นชุ่มกลายเป็นโคลน ทำให้ต้นไม้รอบ ๆ โค่นลงมาซึ่งชาวบ้านในริมิร่านั้นจะสร้างบ้านติดกับต้นไม้ทำให้โดนทับถมจนมองแทบไม่เห็น ที่น่ากลัวของริมิร่าก็คือแม้ต้นไม้ที่ตั้งอยู่จะโค่นจนหมด ก็มีต้นไม้ต้นใหม่งอกขึ้นมาทับอย่างรวดเร็ว
ฉันจำรายละเอียดเหตุผลไม่ได้นักนอกจากคร่าว ๆ ว่าดินในแถบนี้เต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่คอยควบคุมวัฏจักรของต้นไม้ทั้งหมด ถ้ามันโค่นด้วยอุบัติเหตุทางธรรมชาติจะให้กำเนิดใหม่ ถ้ามีคนนอกไปตัดจะมีบทลงโทษ…ซึ่งฉันที่ไม่เคยเห็นก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหมายถึงอะไร แต่เหมือนคนในประเทศริมิร่าจะเคร่งกันมาก
“โบลอยู่ไหน!”
ฉันตะโกนเรียกชื่อมือขวาที่เป็นรองหัวหน้าซึ่งรับงานนี้ และเขาที่ได้ยินก็รีบบึ่งมาหาอย่างรวดเร็ว เขาในตอนนี้นั้นตัวเปื้อนเขรอะไปด้วยโคลน ส่วนข้าวของสำคัญน่าจะถอดทิ้งไว้สักที่ และแม้ว่าสีหน้าจะเหนื่อยล้าอยู่แต่ก็พร้อมรับฟังคำสั่งทุกเมื่อ
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“อา จากข้อมูลที่ได้มาเหมือนว่าจะมีชาวบ้านอยู่ราว ๆ 1,000 กว่าคน เจอแล้วแค่ประมาณ 200 คน…รวมผู้เสียชีวิตแล้ว”
แสดงว่ามีอีก 800 กว่าชีวิตติดอยู่ใต้ผืนดินนี้ อาจจะเพราะต้นไม้ชุดใหม่ที่งอกขึ้นมาเลยทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างล่าช้า ฉันพยักหน้าให้กับโบลแล้วมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ลูกน้องของฉันหลายคนเองก็เหมือนจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แน่ล่ะมีกันแค่ไม่กี่คนเองนี่เนอะ…
“ดี โบลพาพวกนี้กลับไปที่เรือ จากสภาพแล้วถ้าอยู่ที่นี่คงยังมีอันตรายอยู่ ให้พวกที่ทำงานมาทั้งวันช่วยกันแบกคนเจ็บไป ที่นั่นฉันเตรียมเสบียงกับคนไว้ดูแลเรียบร้อยแล้ว ใครที่ไม่ไหวให้ไปพักผ่อนก่อน ส่วนใครยังมีแรงให้กลับมาขนคนชุดใหม่ไป และคนมาใหม่ที่เหลือ!! เราจะเข้าไปตามหาผู้รอดชีวิตที่เหลือกันทันที ตอนนี้เลย!!”
“โอ้!!”
หลังเสียงขานรับที่หนักแน่นและดังก้องกังวานไปทั่วจบ พวกเราทุกคนก็แยกย้ายตามหาคนบาดเจ็บทันที แม้ว่าพวกเราอาจจะไม่ได้เก่งการกู้ภัยจึงดูเงอะงะไปบ้าง แต่ก็ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ยิ่งจุดต้องใช้กำลังในการทำลายสิ่งก่อสร้างที่ทับถม หรือดันไม้ออกก็เป็นงานถนัด
และเหนือสิ่งอื่นใดตัวเอกของงานนี้ก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
“กรร!!”
แฟลชส่งเสียงเล็กแหลมขึ้นพร้อมทั้งบินวนรอบจุดหนึ่งที่ดูจะไม่มีอะไรจนทุกคนต่างสงสัย แต่ฉันที่เห็นนั้นรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร
“ตรงนั้นมีผู้รอดชีวิตอยู่ รีบไปพาออกมาเร็วเข้า”
ใช่ จมูกของแฟลชนั้นดี แม้ว่าจะมีกลิ่นของไม้ น้ำฝน และโคลนปนไม่หมดแต่เขาก็แยกกลิ่นของคนออกได้อย่างง่ายดาย ส่วนอิกนิสนั้นถึงแม้จะแยกกลิ่นได้ไม่ดีเท่าแต่ถ้าเสียงล่ะก็พอได้ยินชัดกว่าคนอยู่บ้าง ส่วนฉันก็คอยมองสถานการณ์โดยรอบแล้วออกคำสั่งเป็นจุด ๆ ไป
“ลองฟังเสียงจากพื้น ถ้าได้ยินอะไรแม้จะเบาแค่ไหนก็ขุดขึ้นมาซะ”
“ฝากไปบอกกลุ่มที่เรือที ถ้าคนรอดชีวิตมีใครได้สติพอจะคุยได้ ให้ช่วยกันเขียนรายชื่อคนในหมู่บ้านมา แล้วตรวจดูว่าเจอแล้วกี่คน นับรวมคนที่ตายไปแล้วด้วยให้หมด”
“ใครที่ใช้เวทมนตร์ได้ พยายามให้ความอบอุ่นกับร่างกายของคนที่ขุดขึ้นมา ตอนกลางคืนจะยิ่งหนาวอย่าให้ใครแข็งตายทั้งที่ออกมาจากดินได้แล้วล่ะ!!”
“คนที่ยังติดอยู่ถ้ามีแรงพอก็ส่งเสียงออกมา แล้วก็ช่วยกันอดทนต่ออีกสักหน่อยจะดีมาก พวกเราจะช่วยให้ได้มากที่สุดอย่างเต็มที่ พยายามอย่าตายล่ะ!!”
ฟ้าเริ่มย้อมกลายเป็นสีดำและคอของฉันที่เริ่มเจ็บขึ้นมา คงจะเป็นเพราะว่าตะโกนไม่หยุดตั้งแต่มาถึง ฤดูกาลแรกที่ได้พบกับเคียร่าช่วงชิงความอบอุ่นของร่างกายจนเมื่อหอบหายใจก็มีควันลอยออกมาจากปากกับจมูก เป็นช่วงเวลาเลวร้ายจริงที่เกิดดินถล่ม
นั่นยิ่งทำให้พวกเราต้องรีบกว่าเดิมเพราะคนที่อยู่ใต้ดินนั้นคงหนักยิ่งกว่า ได้แต่ขอว่าอย่าให้มีฝนตกลงมาตอกย้ำพวกเรา การทำงานของกลุ่มทหารรับจ้างฟิวนั้นแบ่งเป็นสลับกันทำงาน กลุ่มแรกเหนื่อยก็ไปพัก และกลุ่มที่พักอยู่ก็กลับมาทำ วนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
แต่กับฉันนั้นแม้ว่ากลุ่มสองที่มาพร้อมกันจะพักเสร็จแล้วก็ยังมุ่งหน้าค้นหาผู้รอดชีวิตต่อไป…แต่ความหนาวเย็นก็เริ่มกัดกินไปทั่วทั้งร่าง จนแม้แต่หัวก็เริ่มชาจากความเย็น…
“กรร…”
“เหวอ”
ในตอนที่กำลังจะเดินเปลี่ยนที่ก็โดนอิกนิสเอาตัวเข้ามาขวางไว้ และล้มลงบนหลังของเขา…อุ่นจัง อยากจะหลับไปทั้งอย่างนี้เลย…
“หัวหน้าไปพักเถอะ ที่เหลือพวกเราจัดการกันต่อได้”
“แต่…นั่นสินะ ส่วนใหญ่ฉันน่าจะสั่งเอาไว้หมดแล้ว…ฝากด้วยนะ อย่าฝืนตัวเองล่ะ”
“ฮ่า ๆ แน่นอนหัวหน้า ฉันไม่ฝืนตัวเองแบบหัวหน้าหรอก ฟาริสหรือคนอื่นก็ฝากให้จัดการได้ อย่าห่วงไปเลย”
อุ๊ แม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังดุกันงั้นเรอะเอาเถอะ แต่ก็ไม่แปลกล่ะนะเล่นไม่พักแบบนี้เลย จนในตอนที่เผลอผ่อนคลายแล้วอย่างตอนนี้ขาฉันก็แข็งขึ้นมา ขนาดเดินยังจะไม่ไหวเลยแฮะ…
“อิกนิส นายพาหัวหน้าไปส่งไว้ที่เรือก่อน แล้วค่อยมาสมทบพวกเราอีกรอบก็ได้นะ”
“กรร!!”
อิกนิสขานรับอย่างร่าเริง ก่อนที่โบลจะเดินเข้ามาช่วยอุ้มให้ฉันนอนอยู่บนหลังของอิกนิสแต่โดยดี แย่เลยแฮะ ไหงฉันที่มากู้ภัยถึงมีสภาพไม่ต่างจากคนเจ็บกันละเนี่ย…คงต้องพยายามฝืนตัวเองให้น้อยลงแล้วสินะ
“อ๊ะ หัวหน้า! เป็นห่วงแทบแย่แหนะ”
เมื่อใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะมาถึงเรือเพราะอิกนิสลดความเร็วไม่ให้ฉันหนาวเดินไป ฟาริสที่น่าจะพึ่งมาพักเช่นกันก็ทักขึ้น ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งให้กับเขาโดยตัวยังคงนอนนิ่งบนหลังของอิกนิส นั่นทำให้ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าฉันขยับตัวไม่ไหว
พวกลูกน้องที่พักกันอยู่ก็ไม่รอช้าและลุกขึ้นมาอุ้มฉันลงจากหลังอิกนิส ก่อนจะช่วยเอาผ้าห่มมาคลุมร่างให้ ส่วนอิกนิสนั้นเพราะเป็นมังกรเลยค่อนข้างมีแรงเหลือเฟือ เขาตัดสินใจไปช่วยขนย้ายคนต่ออย่างขยันขันแข็ง แล้วในตอนนั้นเองก็มีผู้หญิงเตรียมน้ำอุ่นมาให้
“ขอบใจ”
ฉันที่นั่งพิงอยู่กับเสาของเรือรับน้ำอุ่นมาเพื่อมอบความอบอุ่นให้กับร่างกาย แล้วก็ชายตามองไปรอบ ๆ …ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีคนอยู่เท่าไหร่ แต่ว่าเรือขนาดใหญ่ลำนี้ก็คับคั่งไปด้วยผู้คนทั้งใต้ท้องเรือและดาดฟ้าเรือ พวกเราที่เป็นทหารรับจ้างมาพักนั้นอยู่ด้านบน
และคนเจ็บที่พึ่งช่วยมานั้นอยู่ใต้ท้องเรือซึ่งอุ่นกว่าด้านบนมาก เนื่องด้วยจำนวนผู้หญิงของเรานั้นไม่พอต่อการดูแลทั้งหมด พวกคนที่ฟื้นตัวได้สักหน่อยก็จะมาช่วยงานจิปาถะ จนเกิดเป็นภาพที่ทุกคนช่วยกันดูแลคนเจ็บ และภาพคนนอนบนเรือเต็มไปหมด
อืม…
“แหนะ หัวหน้ากำลังมองหาเรื่องสั่งอยู่ใช่ไหมล่ะ! ทำหัวให้โล่งไปเถอะน่า”
“เปล่าสักหน่อย…เสบียงล่ะ เหลือเยอะไหม?”
“เปล่าตรงไหนกัน…ใกล้หมดแล้วล่ะ แม้แต่พวกเนื้อตากแห้งที่พวกเราพกไว้เยอะ ๆ ก็เริ่มไม่พอแล้ว ยังไงมันก็เป็นแค่เสบียงของพวกเรา พอเทียบกับจำนวนคนที่เราต้องช่วย มันก็มีไม่พอ”
“งั้นเหรอ…”
และแล้วฉันก็ไม่ยอมฟังคำห้ามปรามของฟาริสแล้วขบคิดถึงปัญหา ต้องคิดหาคำสั่งต่อไป…ไม่ไหว หัวมันชาไปหมดคิดอะไรไม่ออกเลย
“สีหน้าหัวหน้าไม่ดีเลยนะ นอนพักดีกว่าไหม?”
“…แต่ถ้านอนพัก ฉันก็น่าจะไปตื่นอีกทีพรุ่งนี้เลยนะ…เรายังต้องทำงานกันต่อ”
“ฮ่า ๆ ถ้าเรื่องช่วยคนที่ติดอยู่ แค่หัวหน้าคนเดียวไม่กระทบอะไรหรอกน่า”
“…แรงนะนั่น”
ฉันเผลอซึมไปเล็กน้อยที่โดนบอกแบบนั้น เพราะนั่นก็เหมือนกับบอกว่าฉันไม่จำเป็น…แต่ถ้าเอาเข้าจริงก็อย่างที่เขาว่า ถึงจะมีฝีมือแค่ไหนแต่ส่วนใหญ่อาจจะต้องใช้แรง ซึ่งนั่นพวกเขาก็เหนือกว่ามาก สุดท้ายฉันก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงล่ะนะ…
แน่นอนว่าฉันไม่แสดงท่าทีนั้นให้ฟาริสเห็นแล้วยิ้มบางตอบกลับไป…อาจจะเผลอแสดงสีหน้าเจ็บปวดไปก็ได้แฮะ เขาถึงเริ่มกระวนกระวายจนพูดอะไรต่อไม่ถูก แล้วในตอนนั้นเอง คาวิส ซึ่งเป็นผู้ชายขี้เก๊กประจำกลุ่มก็พูดขึ้นมา
“ถึงในสนามรบ พวกเราจะเหนือกว่าหัวหน้า แต่คนที่จะรวมเราให้เป็นกลุ่มได้ ก็มีแค่หัวหน้าล่ะนะ”
“ใช่! คาวิสพูดถูก กะอีแค่หัวหน้าลงไปช่วยไม่ได้ไม่มีปัญหาหรอก สำคัญอยู่ที่หัวหน้ายังสั่งพวกเราได้ต่างหาก แถมนี่ก็สั่งเอาไว้เกือบหมดแล้ว สบายมาก!!”
ฟาริสให้ท้ายคำพูดสุดเก๊กของคาวิสที่ไม่น่าหงุดหงิดอย่างประหลาด แล้วก็ทำให้ความขุ่นมัวในใจฉันหายไป จริงด้วย…ถ้าพูดแบบนั้นก็ใช่ ฉันจึงยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นไปทั่วหัวใจ แม้ว่าดาดฟ้าเรือยามค่ำคืนจะโคลงเคลงและมีสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านก็ตาม
แต่ว่าแล้วเชียว…ที่นี่น่ะ ทั้งสงบและอบอุ่นที่สุดแล้ว
“เหรอ…งั้น ฟาริส คาวิส ฝากเรื่องเสบียงด้วยล่ะ”
“รับทราบ!!”
หลังจากทิ้งคำสั่งเอาไว้ฉันก็หลับตาลงพร้อมทั้งได้ยินคำตอบที่ราวกับเป็นเสียงกล่อม ทำให้หลับไปโดยที่รู้สึกสบายใจอย่างเต็มเปี่ยม ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สถานที่ที่ชวนให้สงบใจนอกจากลำตัวของอิกนิสก็เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…