ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงรู้สึกหงุดหงิดที่มีคนพยายามเข้าใกล้เคียร่า แต่ถ้ามีริเกลอยู่ด้วยก็น่าจะไม่ต้องห่วงอะไรมากเท่าไหร่…เคียร่าเป็นคนหัวช้ากับเรื่องนี้สินะ เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ถ้าแบบนั้น…เรื่องของพวกเราก็น่าจะยังไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
เพราะงั้นในที่สุดเลยเลิกประหม่าตอนที่เขียนจดหมายได้ แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติเหมือนกับที่ผ่านมา…แต่ไม่รู้ทำไมพอคิดแบบนี้ในหัวใจถึงรู้สึกโหวง ๆ ขึ้นมา เพราะเอาเข้าจริงตอนนี้ฉันก็อาจจะไม่ต่างจากพวกผู้ชายที่เข้าหาเคียร่าก็ได้…เป็นได้แค่เพื่อนของเธอ
กำแพงที่กั้นคำว่า ‘เพื่อน’ และ ‘คนรัก’ ของเคียร่ามันช่างสูงใหญ่เหลือเกิน ในบางครั้งก็รู้สึกว่าเธอนั้นช่างอยู่ห่างไกล ราวกับว่าแม้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างที่มองไม่เห็นอยู่จำนวนหนึ่ง…นั่นคือความเป็นผู้ใหญ่ของเธอล่ะมั้ง
ในทุกครั้งที่เธอพูดถึงสิ่งที่เธอรู้ไปไกล ก็ราวกับทั้งสายตาและจิตใจของเธอล่องไปไกลแสนไกลเช่นกัน ความจริงนั่นกวนใจฉันมาได้สักพักแล้วล่ะ ดังนั้น…การที่ฉันเริ่มคิดด้วยตัวเองและไม่ปรึกษาเธอนั้น ฉันจะได้ไปอยู่กับจุดเดียวกับเธอได้ไหมนะ
ไปยืนเคียงข้างได้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ในสนามรบ แต่เป็น ความยิ่งใหญ่ในจิตใจนั่นด้วย ถ้าฉันเติบโตจนเข้มแข็งและยิ่งใหญ่เหมือนเคียร่า เธอจะได้มามองฉันโดยเห็นว่าอยู่ด้านข้างไหมนะ…ไม่ใช่เหมือนกำลังสอนให้ท้ายเด็กที่กำลังเดินตามหลังตัวเองอยู่
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดมาตลอดหลายในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จากวันที่ตัดสินใจสร้างกลุ่ม เวลาก็น่าจะผ่านมาสักประมาณ…
“หัวหน้า! เตรียมแคมป์สำหรับคืนนี้เสร็จแล้วนะ”
“อา! เข้าใจแล้ว!”
ฉันที่ตอนนี้นั่งอยู่กับอิกนิสและอ่านจดหมายอยู่นั้นตะโกนกลับไปเมื่อได้ยินเสียงเรียก เมื่อเดินไปตามเสียงก็พบกับถนนสายหลักภายในประเทศ ฟัวกรา กำลังเดินทางไปยังชายแดนที่ใกล้กับ ริมิร่า เหมือนว่าจะมีประชากรของริมิร่าส่วนหนึ่งรุกล้ำเขตของฟัวกราโดยพลการ เลยจะให้ไปไล่
นี่เองก็เป็นงานที่กลุ่ม ‘ทหารรับจ้างฟิว’ รับมาเหมือนกัน ชื่อฟิวตามตรงเป็นชื่อที่ฉันคิดว่าควรจะเปลี่ยนดีไหม เพราะตอนนี้กลุ่มมันก็ใหญ่ขึ้นมากจนรู้สึกอายขึ้นมาที่จะบอกว่าได้มายังไง…ฉันตั้งชื่อนี้เพราะว่าแฟลชมีความสำคัญในการส่งของสมาชิกในกลุ่ม และตอนที่เขาออกตัวบินเร็วนั้น…มันดัง ‘ฟิ้ว’ นั่นเอง
บ้าเอ๊ย น่าอายเป็นบ้า!!
“อะไรเนี่ย นี่พวกนายดื่มเหล้ากันตั้งแต่หัวค่ำเลยเรอะ”
“เอาหน่า หัวหน้าก็มาดื่มด้วยกันไหม!”
“อย่าพูดบ้าๆ ถ้าหัวหน้าดื่มจริงฉันเอาแกตายแน่”
สมาชิกที่อยู่ตรงนี้มีร่วมหลายสิบชีวิต และทั้งหมดก็นั่งรอบกองไฟหลายกองให้เพียงพอต่อพวกเราทั้งหมด ส่วนหนึ่งส่งเสียงเรียกให้ฉันร่วมวงไปดื่ม ก่อนจะถูกโบลที่ฉันตั้งให้เป็นรองหัวหน้าดุเอา
ถ้าฉันเป็นหัวหน้าที่มุ่งไปยังอุดมคติของกลุ่ม โบลก็เป็นคนคอยดูแลความสงบและความเรียบร้อยของคนในกลุ่ม เพราะแน่นอนว่าด้วยตัวหัวหน้าอย่างฉันนั้นเป็นเด็ก ก็ไม่แปลกที่จะมีพวกเหิมเกริมขึ้นมา ช่วงแรกที่คนเริ่มเยอะก็วุ่นวายอยู่พักใหญ่ มีคนไม่พอใจฉันที่เป็นเด็กและอยากให้โบลเป็นหัวหน้า
แต่นั่นก็ผ่านไปแล้วในตอนนี้พวกเราที่เหลืออยู่ก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี ก็นะ…ผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้วนี่นา มีอะไรเกิดขึ้นเยอะเลย ตอนนี้รอบนอกของกลุ่มก็เต็มไปด้วยเกวียนจำนวนหนึ่ง ที่ตัดสินใจรวมเงินกันซื้อมาเพื่อการเดินทางที่สะดวกขึ้น การคุมบังเหียนกับดูแลม้าก็สลับกันไป
เพราะเป็นทหารรับจ้างแต่ละคนเลยมีความถนัดแต่ละอย่างแตกต่างกันไป ถึงในช่วงแรกจะแหวกกันไปคนละทางจนเหมือนจะไปกันไม่ได้ แต่ด้วยความพยายามของทุกคนก็เลยเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กัน ภายใต้ข้อกำหนดและแนวทางของกลุ่มที่ว่า ‘ช่วยกันและกัน ให้มีคนตายน้อยที่สุด’
ทหารรับจ้างที่มีความยึดมั่นแบบแปลก ๆ มองพวกเราว่าเป็นกลุ่มคนขี้ขลาดกลัวตาย แต่แล้วความกลัวตายมันผิดตรงไหน ความตายมันน่ากลัวว่าที่คิดโดยเฉพาะกับคนที่มีที่ให้กลับไป มันน่ากลัวในหลาย ๆ ความหมาย เพราะพวกเขาไม่ได้ตายก็ตายไปเฉย ๆ แต่มันคือการทิ้งผู้ที่มีชีวิตอยู่ให้ดิ้นรนกันต่อไป
เพราะงั้นมันถึงได้น่ากลัว และพวกเราที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนตระหนักถึงเรื่องนั้น รวมไปถึงคนที่ยังไม่มีลูกหลานอะไรทำนองนั้นด้วย
“แต่หัวหน้านี่ สุดยอดเลยนะ ตัวแค่นี้แต่ใช้หอกคล่องซะจนอิจฉาเลย ไหนจะขี่บนหลังมังกรอีก ฉันเคยได้ยินมานะ ว่าการต่อสู้บนหลังสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นเนี่ยมันยากมาก”
“ฮ่า ๆ เพราะอาจารย์ดีน่ะ”
อาจารย์ดีคนแรกของฉันในชีวิตก็คือ เคียร่า เธอเป็นคนที่ทำให้ฉันหลงใหลในความเก่งกาจ ทั้งที่เราอายุเท่ากันแท้ ๆ แต่เธอก็สามารถเก่งได้ขนาดนั้น บางทีกำลังเหนือผู้ใหญ่นั่นฉันเองก็ต้องทำได้แน่ ฉันคิดแบบนั้นเลยดันตัวเองด้วยความรู้สึกที่ว่า เราต้องไปได้ไกลกว่านี้อีกแน่
แถมการต่อสู้ร่วมกับริเกลนั่น…อิกนิสเองก็เหมือนจะหลงมันไม่น้อยเช่นกัน พวกเราที่ใจตรงกันเลยไปได้ด้วยสวย อยากจะจับคู่เป็นคู่หูที่เก่งไม่แพ้สองคนนั้น เราคิดกันแบบนั้น และอาจารย์คนที่สองก็คือคนที่บิลลี่ฝากให้ สิ่งที่ฉันได้มาจากเคียร่าคือแนวทางและความคิด
แต่เขาคนนั้นช่วยสอนให้มันเป็นรูปประธรรม ทำให้ฉันสามารถกวัดแกว่งอาวุธที่ต้องการได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ฉันกับอิกนิสเข้าคู่กันเป็นอย่างดี ว่าแล้วฉันก็หันไปสบตาเข้ากับอิกนิสที่นอนอยู่ด้านหลัง ฉันในตอนนี้นั่งลงกับกลุ่มที่โบลนั่งอยู่ และพิงช่วงท้องของอิกนิสดั่งเช่นทุกคืน
“กรร!”
เมื่อเขาสบตากับฉันก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างดังและร่าเริง ทำเอาเผลอหลุดหัวเราะออกมา อิกนิสไม่รอช้าเอาหัวที่เป็นกระดูกเข้ามาชนฉันเบา ๆ เพื่อเป็นการอ้อนนั่นเอง
“เข้าใจแล้ว ๆ นี่ เลียมันจักจี้นะ ฮ่า ๆ”
เราสองคนราวกับหลุดไปในโลกส่วนตัวและเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ นั้นครื้นเคลงขึ้นมากกว่าเดิม เป็นค่ำคืนที่แสนสงบดั่งเช่นทุกวัน…
———————– ————————–
“งานนี้มันแปลก ๆ นะ”
“…คิดเหมือนกันสินะ”
ในตอนนี้พวกเรากำลังต้อนคนกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนค่อนข้างมากให้ขึ้นเรือเพื่อเดินทาง คนพวกนี้คือประชากรของริมิร่าที่แอบรุกล้ำเข้ามานั่นเอง และที่แปลกนั่นก็เพราะว่า…
“อา มันง่ายเกินไป”
หลังพวกเรามาถึงจุดหมายที่ได้รับแจ้งมาก็พบกับกลุ่มคนจำนวนมาก มากจนคิดว่าแอบเข้ามาโดยไม่รู้ตัวได้ไงล่ะเนี่ย? แถมพอบอกว่าจะให้กลับไปยังริมิร่า ทุกคนก็ยอมรับแต่โดยดีแล้วรีบเก็บข้าวของเดินทางกันทันที…แปลกเกินไปแล้ว ถ้าเป็นปกติคงต้องยืนกรานขออยู่ต่อ ไม่ก็ร้องห่มร้องไห้ขอร่วมเป็นคนของประเทศแน่
เพราะว่าถ้าแอบลักลอบมาก็แสดงว่ามีบางอย่างไม่พอใจในประเทศเก่า และอยากจะย้ายมาอยู่ที่ประเทศใหม่ อะไรทำนองนั้น…แต่ก็ไม่ได้ก้าวก่ายอะไรมากเพราะค่าตอบแทนจากทางประเทศเราก็ได้มาแล้ว เป็นเงินจำนวนหนึ่งกับเรือขนาดใหญ่ที่เอาไว้บรรจุคนพวกนี้
ถึงจะได้เรือมาด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ไม่อยากให้เรือของทางการมีจุดด่างพร้อยอย่าง ให้คนนอกโดยสาร ดังนั้นเลยขอมอบเรือลำนี้ให้แลกโดยการเอาตราทางการออก’ อะไรทำนองนั้นก็เถอะ แต่มีเรือก็ดี คงเดินทางได้ง่ายขึ้น
และพวกเราก็พาคนพวกนี้ข้ามน้ำมุ่งไปยังริมิร่าได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แต่แล้วก็เกิดปัญหาอย่างหนึ่งตอนไปถึง…
“หยุด! พวกแกเป็นใคร”
ในตอนที่พวกเรากำลังจะพาคนลงจากเรือแล้วกลับเข้าป่าทึบอันเป็นสภาพแวดล้อมของริมิร่า ก็เจอเข้ากับทหารของประเทศที่หาได้ยาก เพราะพวกเขาจะหลบซ่อนอยู่กับต้นไม้ ไม่น่าจะออกมาโต้ง ๆ ตั้งแต่เทียบท่าแบบนี้ แสดงว่าต้องเป็นเรื่องร้ายแรง…
แถมยังหันอาวุธเข้าใส่อีก ลูกน้องคนอื่นในกลุ่มฉันเองก็ตั้งท่าเช่นกัน แต่ฉันยกมือห้ามเอาไว้แล้วเข้าไปพูดด้วยตัวเอง
“พวกเราเป็นกลุ่มทหารรับจ้าง ฟิว ได้รับการไหว้วานจากฟัวกราให้พาประชากรในประเทศของพวกคุณที่ลักลอบเข้าประเทศกลับมาน่ะ”
“ประชากรของเราเรอะ? ขอเข้าไปตรวจสอบด้านในได้ไหม”
ฉันยิ้มตอบไปอย่างไม่สะทกสะท้านปลายดาบที่จ่อมา พร้อมทั้งพยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร ทำให้ทหารคลายความกดดันลงเล็กน้อยและพวกประมาณหน่วยหนึ่งขึ้นไปตรวจด้านในเรือ และเมื่อกลับมาก็ต้องทำสีหน้าซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
“พวกนั้นไม่ใช่คนของประเทศเราหรอกนะ”
“…ห๊ะ”
“พวกนายสาบานไหม ว่าไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ”
“…อา พวกเรารู้แค่ว่ามีประชากรจากริมิร่าแอบลักลอบเข้าไป เลยให้มาไล่กลับ”
เมื่อฉันพูดแบบนั้นด้วยสีหน้าที่สับสนพอควร ทหารจึงถอนหายใจออกมาแล้วพึมพำว่า ‘งั้นเหรอ’ ก่อนจะบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ฟัง พอได้ฟังก็ชวนให้รู้สึกปวดหัวจริง ๆ
คนพวกนี้แต่เดิมแล้วเป็นคนของฟัวกรา จู่ ๆ ก็ข้ามน้ำย้ายมาที่ริมิร่า และตั้งถิ่นฐานกันตามใจชอบ ถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาแค่ดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่มันก็ส่งผลกระทบกับพื้นที่โดยตรง พวกเขาไม่ใช่คนท้องถิ่นเลยไม่รู้ธรรมชาติของที่นี่ การตัดไม้โดยพละกาลถือเป็นเรื่องห้าม เพราะมันเป็นที่อยู่และหวงแหนของมังกรในเขตนี้
ถ้าทำลายไปโดยไม่รักษาสมดุลพวกมันจะโกรธและอาละวาดไปทั่ว การมาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาหนักพอควร และเพราะมาจากต่างที่จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปรับตัวได้ในเร็ววัน ทางริมิร่าเลยตัดสินใจ ไล่พวกเขากลับไปยังถิ่นเดิมของตัวเอง
แล้วก็วนกลับมาถึงตรงนี้นี่แหละ…
“ฮึ่ม โดนต้มซะเปื่อยเลยแฮะ”
“ขอโทษนะ พวกเราเองก็คงรับคนพวกนี้กลับมาอยู่ด้วยไม่ได้หรอก”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกทหารของริมิร่านี่นิสัยดีกว่าที่คิดแฮะ พวกเขากำลังเห็นใจพวกเราที่รับงานแบบนี้มาอยู่ กำลังรู้สึกผิดที่ต้องไล่คนพวกนี้กลับไป ก็นะ ริมิร่าเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่กระจายตัวตามป่า จะดูเป็นกันเองแบบนี้ก็คงไม่แปลกอะไร ฉันจึงยิ้มกลับไปและตบบ่าเขา
“อย่าใส่ใจเลย นายก็แค่ทำตามหน้าที่ และเพื่อประโยชน์ของประเทศตัวเอง…เพื่อครอบครัวของตัวเอง”
“…ขอบใจนะ”
หนนี้เขาก็ยิ้มอ่อนออกมาแล้วกล่าวขอบคุณ การมาของคนต่างถิ่นดูท่าคงมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่และความปลอดภัยของคนในประเทศนี้ ไม่แปลกหรอกที่จะตัดสินใจแบบนั้น และเขาก็กล่าวลาพวกเราพร้อมทั้งบอกว่า ‘ขอให้โชคดี’ นาน ๆ ทีเจอแบบนี้ก็ไม่เลว ทหารของประเทศส่วนใหญ่จะมองหยามพวกเราที่เป็นทหารรับจ้าง
แต่เรื่องนั้นใครจะสน ตอนนี้มาสนเรื่องตรงหน้าดีกว่า
“แล้ว มันเป็นมากันยังไงล่ะเนี่ย”
ฉันขึ้นไปถามเรื่องราวกับพวกคนที่บรรจุอยู่บนเรือนั่นเอง…ส่วนมากจะอยู่กันเป็นครัวเรือนบ้านละราว ๆ สามถึงห้าคน มีคนประมาณ 150 คนได้…มีคน พอ ๆ กับหมู่บ้านที่เคียร่าเคยอยู่เลยแฮะ สภาพทุกคนที่ตอนนี้รู้แล้วว่าริมิร่าก็ไม่ต้อนรับตนนั้นแตกต่างกันไป
ส่วนใหญ่กำลังกังวลว่าพวกตนจะเป็นยังไงต่อ ไม่มีใครพร้อมจะตอบคำถามฉันเลยสักคน…แถมในจำนวนนั้นก็ยังมีคนที่อุ้มลูกอ่อนอีก ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บในอกอย่างบอกไม่ถูก
“เอาล่ะ พวกเราจะยังไม่ทำอะไรหรอก ไม่สิ ทำอะไรให้ไม่ได้หรอกนะถ้าไม่เล่าอะไรให้ฟัง…ใครก็ได้ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม”
เมื่อโดนกระตุ้นแบบนั้นอีกครั้งในหมู่พวกเขาก็มองหน้ากันไปมาอย่างไม่มั่นใจ และในที่สุดก็มีคนอาสาออกมาเล่าให้ฟัง แล้วพอสรุปเรื่องราวได้ก็ถึงกับต้องถอนหายใจยาว พวกคนระดับประเทศนี่น่าปวดหัวกันจริง ๆ
ประเทศฟัวกราที่มั่งคั่งนั้นเต็มไปด้วยประชากรที่หนาแน่น ดังนั้นพวกเขาที่เหมือนเป็นชนชั้นล่างในประเทศ หรือก็คือไม่มีเงินจ่ายภาษีนั้น ก็เลยโดนขับไล่ออก บ้านที่เคยอยู่กลายเป็นที่อยู่ให้คนที่รวยกว่า เลยต้องเร่ร่อนไปจนถึงริมิร่า ในหนแรกนั้นริมิร่าไม่ได้สนใจคนต่างถิ่นที่ย้ายเข้ามา
แต่ถึงแบบนั้นที่ตัดต้นไม้และก่อความวุ่นวายไปพวกเขาก็อยากจะขอโทษประเทศที่ใจกว้างแบบนั้น แต่ว่าถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะอยู่ในที่ใหม่ได้ยังไง สุดท้ายเลยโดนไล่กลับมาอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาคงกลายเป็นคนเร่ร่อนโดยสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ
แต่พวกเขาต่างจากพ่อค้าคาราวาน ในนี้ถ้าหากเร่ร่อนไปเรื่อยทั้งอย่างนี้ล่ะก็ ไม่นานคงต้องโดนโจรบุกปล้น สัตว์ป่าโจมตี และไม่นานคงไม่เหลือแน่ ลำบากเลยนะ พอพวกเรามีชื่อเสียงขึ้นก็โดนโยนงานแบบนี้มาให้ อืมม ถ้าจะส่งพวกนี้คืนไปยังฟัวกราก็คงทำได้ แต่ว่า…จะโดนอะไรบ้างก็ไม่รู้
ในตอนนั้นสายตาของฉันก็เหลือบไปมองยังกลุ่มผู้หญิงที่คอยปลอบประโลมลูกน้อย ที่มีตั้งแต่วัยที่เริ่มพูดได้ วัยเริ่มแก่แดด ไปจนถึงเด็กอ่อนที่ยังต้องให้แม่อุ้มอยู่เลย ถ้าปล่อยไปคนพวกนี้ก็คง…
“หัวหน้า เอายังไงดี”
ในตอนนั้นเองโบลก็เข้ามากระซิบด้านหลังเพื่อเร่งให้ตัดสินใจ อืมมม จะปล่อยไปก็คงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้ เอายังไงดีนะ…
ในตอนนั้นเองสายตาของฉันก็ไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของใต้ท้องเรือที่พวกเราอยู่ มันเป็นแผ่นแผนที่ขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้วบนเรือเพื่อใช้สำหรับการเดินทาง และก็มองไปยังมุมหนึ่งของทวีปที่อยู่ใกล้ที่นี่ ทั้งยังไม่ได้อยู่ใต้การปกครองของประเทศไหนด้วยเพราะว่ามันรกร้างปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น แต่นั่นก็ทำให้ฉันคิดบางอย่างออก
“โบล ฉันคิดอะไรออกแล้วล่ะ…คนพวกนั้นก็มีครอบครัวที่ต้องปกป้องสินะ”
“อย่าบอกนะ…คิดดีแล้วใช่ไหม หัวหน้า”
“อา”
ฉันตอบเขากลับไปแบบนั้นพร้อมทั้งยิ้มกว้างออกมาราวกับความกังวลเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง โบลเองก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและยิ้มเช่นกัน
“ก็สมกับเป็นเธอดี เอาสิ ยังไงพวกฉันก็พร้อมจะตามไปถึงที่สุดอยู่แล้ว…ไม่ว่าเธอจะทำอะไร”
“ขอบใจนะ”
ดีจริง ๆ ที่มีลูกน้องดีขนาดนี้ ทุกคนในกลุ่มฟิวตอนนี้ก็พยักหน้าและรอการตัดสินใจของฉัน อะไรเล่าหน้าแบบนั้น อย่างกับบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าฉันจะทำอะไรเลย…เอาเถอะ ยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจหรอกนะ
และฉันก็หันไปหาคนเร่ร่อนอันอยู่บนเรือลำนี้
“มาทำงานให้ฉันภายใต้ชื่อ ‘กลุ่มทหารรับจ้างฟิว’ สิ แล้วพวกเราจะช่วยเอง”
——————- ————————–
แผนที่ทวีป และจุดที่แฟร์สังเกตเห็น
MANGA DISCUSSION