“ห๋า!! โดนแกล้งเนี่ยนะ!”
เมื่ออ่านจนถึงจุดหนึ่งก็เผลอตะโกนออกมาเสียงดังจนสิ่งมีชีวิตในคอกมาเริ่มขยับ จึงได้ยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองเอาไว้ คงจะตื่นเพราะเสียงดังกระมัง
แต่เนื้อหาในจดหมายก็ชวนให้รู้สึกประหลาดใจจนเผลอกำกระดาษแน่น แล้วกวาดสายตาอ่านต่ออย่างรวดเร็ว
เหมือนว่าเพราะเคียร่าเป็นสามัญชนธรรมดา แต่ดันมีความสามารถที่โดดเด่นและเป็นที่ต้องตาของขุนนางทรงอำนาจ จนมีชื่อไปถึงราชวงศ์ พวกนักเรียนคนอื่นที่ไม่พอใจจึงกลั่นแกล้งเธอ และข่มด้วยยศ
“เคียร่าก็แค่เป็นคนมากความสามารถ ไหงถึงมีปัญหาแบบนั้นได้เล่า แถมเจ้าตัวยังเฉยชาอย่างกับว่าปกติอีก อะไรเนี่ย”
รู้สึกหงุดหงิดกับเนื้อหาจนได้แต่ขมวดคิ้วและขยี้ผมตัวเองไปมา อะไรเล่า ทั้ง ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนของพวกนางควรจะปลอดภัยแท้ ๆ แต่ทำไมสถานการณ์ฝั่งนั้นถึงดูน่าเป็นห่วงกว่าได้เนี่ย
ว่าแล้วฉันก็รีบหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนตอบกลับทันที ด้วยใจความสั้น ๆ ว่า
“จัด มัน เลย”
ใช่ ฉันบอกให้เธอจัดการพวกมันไปเลย เอาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าใครเหนือกว่า ฝีมือของเคียร่าคงทำให้คนอื่นยอมได้ไม่ยากเท่าไหร่ ดังนั้นต้องใช้ไม้แข็งสักหน่อย!!
พับกระดาษเสร็จก็ยื่นซองจดหมายไปให้แฟลชที่ยังใส่อุปกรณ์ส่งจดหมายอยู่ ไม่ได้ถอดออกแสดงให้เห็นว่าพึ่งมาถึงได้ไม่นาน และเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมทั้งสีหน้าหน่าย และอ้าปากส่งเสียงครวญครางออกมาจากคอราวกับกำลังบ่นอยู่
“อ๊ะจริงด้วย ต้องพักก่อนแหละเนอะ”
เมื่อฉันทวนแบบนั้นแฟลชก็รีบพยักหน้าขึ้นลงอย่างเร็ว นั่นสินะเราก็ส่งจดหมายหากันค่อนข้างบ่อย แถมพอเช้าวันต่อมาเคียร่าก็ตอบกลับเลย ก็ไม่แปลกถ้าจะเหนื่อยแต่ก็นะ…
“ขอล่ะ อันนี้ไปส่งเร็วหน่อยได้ไหม พรุ่งนี้เช้าก็ยังดี”
“กร๊าว~”
เจ้าตัวส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งราวกับไม่เชื่อหูของตัวเองที่ได้ยิน สีหน้าก็…ไม่พอใจสุดๆ แต่ถึงกระนั้นก็เดินเข้ามาคาบจดหมายไปจากมือฉัน และเก็บจดหมายเข้าไปในกระเป๋า
เอ๊ะ จะไปตอนนี้เลยเหรอ พึ่งมาถึงเมื่อกี้เองนะ ถึงจะเป็นคนขอให้เร็วก็เถอะแต่จะไม่เป็นไรจริงเรอะ ข้ามทวีปไปมาเลยหน่า ในตอนที่ฉันกำลังสับสนอยู่นั้นแฟลชก็มองหน้าและยืดอกขึ้นให้ดู พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกอย่างภูมิใจ ดังนั้นฉันจึงได้แต่คลี่ยิ้มออกมา
“งั้นเหรอ ถ้านายว่างั้นก็แล้วไป จริงสิ ถ้าไปถึงแล้วพักอยู่กับเคียร่าสักพักหนึ่งค่อยกลับมาก็ได้นะ เดี๋ยวเขียนบอกทางนั้นให้”
ว่าแล้วก็เอาจดหมายออกมาเขียนเพิ่มอีกนิดหน่อยว่าฝากแฟลชไว้กับเธอ แล้วก็บอกแฟลชทิ้งท้ายเอาไว้ว่าจะเดินทางผ่านไปประเทศอื่นด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าอย่างไม่มีปัญหา คงตามเจอแหละ ขนาดเคียร่ายังไปถึงเลยนี่นา
และเขาก็โผบินออกจากคอกม้าในยามค่ำคืนทันที เราใช้งานหนักเกินไปรึเปล่านะ…
หลังจากที่แฟลชไปส่งจดหมายอีกรอบตามที่บอกก็ผ่านมาแล้วสามวัน ในตอนนี้ก็เตรียมซื้อของสำหรับเดินทางยาวไว้เรียบร้อยแล้ว คืนนี้เลยคิดว่าจะอยู่ในร้านเหล้าไม่นานนักแล้วนอนออมแรงเพื่อเดินทางข้ามประเทศ
แล้วในตอนที่กำลังจะลุกไปหาอิกนิสนั้นก็มีชายร่างโตคนหนึ่งเดินเข้ามาหา รูปร่างภายนอกเป็นชายที่ดูบึกบึนและแผลเป็นมากมายแสดงถึงประสบการณ์ต่อสู้ที่โชกโชน ทำเอาเผลอนึกถึงคำพูดหนึ่งของเคียร่าที่เขียนเอาไว้ในจดหมาย ว่าฉันแค่โชคดีเท่านั้น
ถ้าโดนคนระดับนี้หาเรื่องก็คงลำบากแหละนะ ไม่สิ รอบนี้ยอมอ่อนข้อตามน้ำดีไหมนะ ไม่มั่นใจว่าจะชนะด้วยสิ…ในขณะที่คิดไปเรื่อยนั้นอีกฝ่ายก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ทำให้ได้เห็นได้ชัดเจนถึงความแตกต่างด้านร่างกาย จนเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ในขณะที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา
“นี่เรอะ เด็กในข่าวลือ”
“อะ- อา…มีอะไร…”
ฉันตอบออกไปโดยพยายามทำตัวตามปกติ แต่ว่าเห็นได้ชัดเลยว่าทั้งน้ำเสียงและดวงตาของฉันกำลังสั่นอยู่ ยังไงดีนะ ไม่ได้กังวลมากขนาดนี้มาได้สักพักแล้ว ปกติจะอยู่กับอิกนิสตลอดเลยพอขู่กันคนอื่นได้บ้าง แต่ถ้าตัวคนเดียวแบบนี้ก็แย่เหมือนกัน
จริงสิ อิกนิส…วิ่งหนีไปทางคอกม้าดีไหมนะ หรือว่ายังไงดี…และราวกับไม่รอให้ฉันคิดหาทางหนีได้ อีกฝ่ายก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพ้นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา พร้อมทั้งพูดบางอย่างที่รู้สึกชวนฉงน
“ช่วยสอนทีได้ไหม”
“เอ๊ะ”
พูดจบเขาก็ผงกหัวให้เล็กน้อยก่อนจะลากเก้าอี้ออกมาแล้วทิ้งตัวนั่งลง ท่าทีดูไม่มีแววว่าจะหาเรื่องกันเลยสักนิด ถึงจะรู้สึกว่าวางใจไม่ได้แต่สีหน้าอีกฝ่ายก็ดูเป็นกังวล ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจกลับไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิมแล้วถามทวน
“สอนนี่…อะไรน่ะ”
นั่นคือเรื่องที่สงสัยที่สุด ทำไมอีกฝ่ายที่เป็นรุ่นคุณลุงดูผ่านชีวิตมามากแล้วถึงขอให้ตัวเองที่เป็นเด็กผู้หญิงช่วยสอน จะให้นึกเรื่องที่ตัวเองสอนได้ก็มีไม่มากนัก เพราะว่าปกติก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเป็นพิเศษแต่แรกนอกจากฝีมือการต่อสู้ ซึ่งดูท่าอีกฝ่ายก็คงเหนือกว่าแน่นอน
เพราะงั้นถึงได้สับสนสุด ๆ เลยตอนนี้ แต่เข้าก็เหมือนจะสงบตัวเองลงเล็กน้อยและค่อย ๆ พูดออกมา
“หางานน่ะ จากข่าวลือเธอได้งานค่อนข้างปลอดภัยเยอะใช่ไหมล่ะ อย่างพวกงานคุ้มกัน”
“ก็…ใช่อยู่”
“นั่นแหละ ที่อยากให้สอนหน่อยน่ะ”
อ้อ…ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง อะไรกันตกใจหมดเลย เมื่อโล่งใจได้แบบนั้นฉันก็ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายและทิ้งหลังไปกับเก้าอี้
“เฮ้อ~ เรื่องนั้นหรอกเหรอ อย่าทำให้ตกใจสิ”
“ฮ่าๆ โทษทีแล้วกันแม่หนู”
พอฉันถอนหายใจและบ่นออกมาแบบนั้นเหมือนว่าบรรยากาศก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดีล่ะ แบบนี้น่าจะคุยได้ง่ายขึ้นหน่อย แต่ก่อนหน้านั้นก็จัดการสั่งเครื่องดื่มในระหว่างที่คุยกันไป
ฉันเป็นน้ำผลไม้เหมือนเดิมแต่คุณลุงสั่งเป็นเบียร์
“แต่ว่าทำไมล่ะ อย่างลุงก็น่าจะทำงานในสนามรบได้ไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยากจะมาทำงานพวกนี้ล่ะ”
“เรื่องนั้นน่ะนะ…”
เมื่อยิงคำถามไปแบบนั้นเขาก็ยกแก้วขึ้นดื่มไปอึกหนึ่งก่อนจะวางลงกับโต๊ะ สายตาจับจ้องลงไปในแก้มและใช้มือหมุนไปมาและมีสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด
“เมื่อเดือนก่อน ฉันเสียเพื่อนสนิทไป”
คำตอบนั้นทำให้ฉันถึงกับเอียงคอทันที เพื่อนสนิทตาย? ถึงจะน่าเสียใจก็เถอะแต่เป็นทหารรับจ้างนั่นก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง ไม่น่าจะทำให้ถึงขั้นซึมจนอยากเปลี่ยนแนวงานเลยนี่นา
และเพราะเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันนึกสงสัยจึงยิ้มให้แล้วเล่าต่อ
“ไม่ได้ซึมเรื่องที่เขาตายหรอกนะมันปกติ ก็แค่…เพราะมันเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ”
ฉันที่เผลอเอียงคอเล็กน้อยเพราะยังคงไม่เข้าใจนั้นไม่ปริปากพูดอะไร แต่คำตอบมันไม่ย้อนแย้งไปหน่อยเหรอ? เพราะมันเป็นเรื่องปกติถึงได้เสียใจ? ไม่เข้าใจเลย ถ้ามันเป็นเรื่องปกติก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหนิ มันเกิดได้ทุกเมื่อทุกเวลาเท่านั้นเอง
แต่ที่ไม่แย้งอะไรก็เพราะทั้งที่หน้าของเขาที่ดูเจ็บปวด และมือที่กำแน่นราวกับเจ็บใจ เลยคิดว่าคงยังไม่ควรพูดอะไรจนกว่าจะเข้าใจน่าจะดีกว่า
“ฉัน สร้างครอบครัวแล้วน่ะ” คำตอบนั้นทำให้ฉันเบิกตาโพล่ง แล้วเขาก็เล่าต่อทันที
“ฉันมีภรรยาที่แสนดี ลูกสาวที่แสนน่ารัก เพราะงั้นถึงได้รู้สึกตัว…ว่าความตายมันอยู่ทุกที่ และหากวันใดความปกตินั่นมาถึงฉัน…มันคงเป็นแผลใจให้ลูกสาวฉันไปตลอดชีวิต”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาร่างของฉันก็แข็งเกร็งทั้งตัว คุณลุงเองก็เหลือบมามองทางนี้ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย อะไร สายตาแบบนั้นหมายถึงอะไรกัน
ไม่ชอบให้โดนมองด้วยสายตาแปลก ๆ เลยเพราะว่าไม่เข้าใจ สายตานี้เองก็เหมือนกันไม่ได้หงุดหงิดหรือรู้สึกแย่ แต่ว่า…ทำไมรู้สึกเศร้าใจอย่างประหลาด ไม่เข้าใจเลย…ความรู้สึกของตัวเองเนี่ย
“พอดีลูกสาวฉันเด็กกว่าแม่หนูไม่มากนักน่ะ…”
“งั้นเหรอ…จริงด้วย”
อ้อ แบบนี้นี่เอง…สายตาเมื่อกี้ กำลังจะถามว่า ‘ใช่ไหม’ สินะ งั้นเหรอ แผลใจสินะ…ฉันอ้าปากค้างเล็กน้อยและจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาก้มลงมองน้ำในแก้วที่สะท้อนให้เห็นใบหน้าของตนเอง ได้รู้ว่าตอนนี้ฉันก็หน้าตาดูไม่ได้เลย เต็มไปด้วยความสับสน เหมือนจะร้องไห้แต่ก็คงประหลาดใจมากกว่า
จริงด้วย…เหตุผลที่ฉันออกเดินทาง…เพราะว่าการตายของครอบครัวก็เป็นแผลใจเหมือนกันนี่เอง แปลกจังนะ ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้วพึ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมาทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดเพราะมันปกติที่จะโดนโจรถล่มแท้ ๆ แต่ว่า…มันก็เป็นแผลที่ฝังรากลึกขนาดนี้เลยสินะ
หลักฐานก็คือการที่ฉันมีชีวิตอยู่ที่นี่ตรงนี้ และเกลียดโจรเป็นที่สุด
“…โทษทีที่เผลอไปสะกิดอะไรเข้า…จะรอจนกว่าจะพร้อมแล้วกัน”
ว่าจบเขาก็ยกแก้วขึ้นซดจนหมดพร้อมกับสั่งเพิ่ม เพื่อรอฉันที่กำลังจมอยู่กับความคิด ถ้าให้เดาเพราะเห็นเด็กแบบฉันมาทำงานแบบนี้ล่ะมั้ง เลยนึกถึงลูกสาวตัวเองขึ้นมา…
แต่ว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย…ไม่เคยรู้เรื่องของตัวเองในทำนองนี้มาก่อนเลย ถ้าเป็นเคียร่า…จะรู้รึเปล่านะ ถ้าเป็นเธอในตอนนี้จะบอกฉันว่ายังไงนะ ถ้าเป็นเคียร่า…
“อดีตเป็นยังไงไม่สำคัญหรอก…”
คุณลุงที่นั่งมองเบิกตากว้างขึ้นมา เมื่อจู่ ๆ ฉันก็โพล่งออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ฉันก็พูดต่อโดยไม่สนใจท่าทีนั้น…ราวกับว่าไม่ได้คุยกับเขาอยู่
“ถึงในตอนแรกอาจจะเดินทางเพราะมีบาดแผลก็จริง แต่ความจริงที่ฉันทำอะไรอยู่ตอนนี้เพื่อเป้าหมายของตัวเอง ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง…ดังนั้นไม่ต้องสงสารกันหรอก”
ใช่ ภายในสายตาของเขามีความรู้สึกหนึ่งที่ปล่อยไปไม่ได้ เขากำลังสงสารฉันนั่นเอง แต่จะไม่โกรธเคืองหรอกเพราะเขาไม่รู้ว่าฉันมาเป็นทหารรับจ้างได้ไงนี่นะ ในหัวคงคิดแบบทหารรับจ้างทั่วไปที่ไม่มีทางเลือกเลยต้องมาเป็น อีกใจคงคิดว่าไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองมาเป็นแบบฉันสินะ
“งั้นรึ…ถ้าทำเพราะเป็นเป้าหมายของตัวเองก็ดีแล้วล่ะ”
สายตาที่ซับซ้อนของเขาในตอนแรกหายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ถึงจะรู้สึกจักจี้นิดหน่อยที่โดนคนแปลกหน้ามองแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็พอเข้าใจได้
คนอายุรุ่นนั้นชอบมองฉันเหมือนเป็นลูกของตัวเอง เป็นสายตาที่เอ็นดูจนบางทีก็รู้สึกลำบากใจ ทั้งบิลลี่ โรเวิร์ต อาจารย์ หรือแม้แต่เคียร่าก็ด้วย ของเคียร่าเป็นกรณีที่ไม่เข้าใจที่สุดแล้วล่ะ พวกเราอายุเท่ากันแท้ ๆ แต่ทำไมมองอย่างกับเป็นเด็กเลย ไม่เข้าใจจริง ๆ!!
พอได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงเคียร่าความอึดอัดในใจก็ปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกลับมายิ้มอย่างร่าเริงเช่นเดิมและเข้าสู่บทสนทนาที่ค้างไว้ต่อ
“โทษทีที่เหม่อไปหน่อย ฉันเต็มใจที่จะช่วยนะ เริ่มจาก…”
———————— ————————-
หลังจากนั้นที่ส่งจดหมายเล่าเรื่องที่โรงเรียนไปเช้าวันต่อมาก็มีจดหมายตอบกลับมาเลย ไม่อยากจะเชื่อ นี่ให้แฟลชบินไปมาติดกันขนาดนี้ได้ไง คงเหนื่อยแย่
พอในจดหมายก็บอกว่าอยากให้รีบมาส่งเลยวานให้มาเลย แต่ก็ยังดีที่บอกว่าขอฝากให้พักกับฉันสักพัก…แน่ละ ถึงไม่ขอฉันก็จะให้พักแน่ ๆ คงต้องคุยกันเรื่องใช้งานแฟลชหน่อยแล้ว
ตอนนี้ก็เวลาผ่านมาสัปดาห์หนึ่งพอดีก็ตัดสินใจจะให้แฟลชไปส่งจดหมายแล้ว แต่…
“หือ ทำไมไม่ยอมใส่ล่ะ…”
พอฉันพยายามจะเอาอุปกรณ์ของแฟลชใส่ให้เพื่อไปส่งจดหมาย เจ้าตัวกลับมีท่าทีดื้อด้านและทำหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด อืมมม อย่าบอกนะว่า
“ไม่อยากกลับไปเรอะ”
เมื่อพูดแบบนั้น เขาก็พยักหน้าหงึก ๆ ให้ทันที อ้า งี้นี่เอง แย่เลยแฮะสงสัยว่าระหว่างที่อยู่ที่นี่จะดูแลดีเกินไป เอาไงดีเนี่ย จริงสิ
“อืม…แต่ถ้าเธออยู่นี่ก็ต้องทำงานนะ เคยเห็นพวกมังกรที่ใส่ชุดเกราะหนัก ๆ ได้รึเปล่า”
“กรร?”
น่าจะได้ผล เขาเริ่มสงสัยสิ่งที่ฉันพูดแล้วเอาล่ะ ต้องโน้มน้าวให้ยอมไปให้ได้
“ถ้าจะอยู่กับฉันถาวรก็ต้องใส่เกราะพวกนั้นนะ แล้วมันก็…ค่อนข้างหนักด้วย จะอยู่จริงเหรอ?”
แฟลชเริ่มทำสีหน้าคิดหนักแล้วรกตาไปมาอย่างไม่มั่นใจ ฉันจึงคลี่ยิ้มบางให้พร้อมกับถอนหายใจเบาด้วยความเอ็นดู น่ารักจังแฮะ แต่ก็อย่างว่าถ้าอยู่ที่นี่นานเกินแล้วมีคนเห็นเยอะคงวุ่นวายน่าดู
เพราะยังไงซะเขาก็เป็นมังกรโบราณ สังคมขุนนางแบบนี้ไม่ปลอดภัยกับเขาแน่ แถมถ้าหนักเข้าอาจจะลามไปทั้งเผ่าพันธุ์ที่เหลือเลย แบบนั้นชื่อที่ตั้งเพื่ออวยพรก็คงไม่มีความหมาย
ในที่สุดเขาก็ยอมไปส่งจดหมายจนได้และจัดการใส่อุปกรณ์เสร็จสรรพ
“ดีมาก เด็กดี ๆ”
ฉันพูดชมแบบนั้นพร้อมกับลูบหัวเขาก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเล็กของตนเอง และบอกให้เขาอ้าปาก ก่อนจะหยิบเม็ดบางอย่างออกมาและใส่ปากของเขาอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้เจ้าตัวจะตกใจอยู่บ้างและก็ขยับปากกลิ้งเม็ดนั้นทั่วปากตัวเอง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาอย่างเบิกบาน มันคือลูกอมผลไม้เวทมนตร์ที่ฉันทดลองทำขึ้นมานั่นเอง ริเกลเองก็ชอบเหมือนกัน
“ทุกครั้งที่นายเอาจดหมายมาให้ หรือไปส่งจดหมายให้ฉัน จะให้ลูกอมแสนอร่อยนี่เป็นของตอบแทนดีกว่า เนอะ?”
ใช้น้ำเสียงที่ดูอ่อนหวานและยิ้มสดใสราวกับกำลังพูดกับเด็ก วิธีแบบนี้ใช้ได้กับพวกมังกรเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าแฟลชก็ด้วย
เขากระพือปีกขึ้นลงด้วยความดีใจ ขนบนหัวโค้งงอขึ้นมาพร้อมกับเยื่อตรงบนรูจมูก และตัวสั่นด้วยความดีใจ อืม ๆ ชอบก็ดีแล้วล่ะ แล้วเขาก็ออกบินไปในทันที
หวังว่าเนื้อหาในจดหมายจะพอทำให้แฟร์หายเป็นห่วงขึ้นมาบ้างก็ดีนะ
———————— —————–
(มุมคนเขียน)
มาแล้วววว รอบนี้หายไปยาวของแท้เลยค่ะ (ฮา) คราวนี้ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรเป็นพิเศษนอกจากสารภาพว่า ติดเกมค่ะ!! แหม จู่ๆ รุ่นพี่ก็เอามอนฮันมาชวนเล่น แถมเรายังป้ายยาตัวเองด้วยมอนฮันสตอรี่ 2 อีก ที่หายๆ นี่คือติดเกมนั่นเองค่ะ…
แถมที่สำคัญพอเอนเกมหมดแล้วก็ดันมีเกมใหม่อย่าง โทโฮ ที่เป็นเกมกดเพลงเปิดตัวอีก นี่มันช่วงของเกมรึไงกันนะมีแต่เกมให้เล่นเต็มไปหมดเลย ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ติดเกมหายไปยาวเลย ;-;
แต่ก็ทำไงได้ ของมันต้องฟาร์ม—แค่กๆ ยังไงก็ที่แวบมาได้แบบนี้เพราะเคลียร์เกมจนเริ่มว่างแล้วนั่นเองค่ะ มอนฮันส่วนใหญ่ก็เหลือแค่เกมอัปเดตกับลูกนรกฟาร์ม โทโฮก็จำกัดพลังงานต่อวัน น่าเจ็บใจนัก!! เลยต้องรอเวลาซะส่วนใหญ่
ตอนนี้ก็น่าจะกลับมาเขียนได้ตามปกติแล้วค่ะ มั้ง? จะยังคงไม่รับประกันเวลาลงเช่นเดิมค่ะ แต่จะพยายามให้ไม่หายไปนานเท่ารอบนี้อีก ยังไงก็ขอบคุณที่รอกันนะคะ!!
MANGA DISCUSSION