ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 26: ภาค 2 ตอนที่ 3 งานที่เริ่มไปได้สวย
ในหน้าหนังสือที่เปิดเจอมีรูปร่างของอุปกรณ์สวมใส่สำหรับมังกรพันธุ์นี้อยู่ ฉันจึงตัดสินใจใช้เงินที่มีอยู่ไปสั่งทำสำหรับเขา พร้อมทั้งไปลงทะเบียนกับทางโบสถ์ ถึงจะโดนมองใหญ่เลยก็เถอะที่ครอบครองมังกรถึงสองตัว
เอาเถอะ สายตาของคนอื่นจะยังไงก็ช่าง สุดท้ายก็สามารถลงทะเบียนได้โดยไม่ติดขัดอะไรมาก พอรอจนได้ของที่สั่งไว้ก็ทดลองให้ส่งจดหมายไปหาเคียร่าทันที และ…ในคืนวันถัดมาจดหมายก็มาส่ง เขากลับมาถึงแล้ว
“ไวเป็นบ้าเลยแฮะ”
ฉันยิ้มกว้างออกมาด้วยความตื่นเต้นพลางชูจดหมายของเคียร่าขึ้นสูง ในที่สุด!! เท่านี้ก็ติดต่อหากันได้ทุกเมื่อแล้ว! แถมยังเร็วกว่าส่งตามปกติเยอะเลย
ว่าแล้วก็รีบแกะซองจดหมายออกมาอ่านโดยไม่รีรอทันที เริ่มที่เนื้อหาแรกคือเธอถามสภาพฉันในตอนนี้ตามคาด ถึงที่ส่งไปจะตอบไปบ้างแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังถามซ้ำอยู่ดี เป็นเรื่องจุกจิกล่ะนะ ห่วงกันเกินไปแล้ว
หลังจากก็อ่านต่อไปจนถึงเนื้อหาที่ถามไป สรุปแล้วมังกรตัวเล็กนี้เป็นสายพันธุ์ เฟโลกัส ซึ่งเคียร่าตั้งชื่อให้ว่า แฟลช หืม แฟลช? คำอะไรล่ะนั่นไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน หรือว่าภาษาโบราณเหรอ?
และเธอก็ไม่ได้ให้เหตุผลหรือความหมายเอาไว้ให้ แต่บอกไว้แค่ว่าเป็นชื่อที่ดีและเหมาะกับเขาที่เป็นมังกรโบราณ เอาเถอะ แฟลช…ก็ฟังดูดีนี่นา
“ยังไงจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ แฟลช”
“กรร!”
เมื่อบอกออกไปแบบนั้น แฟลชก็กางปีกสองข้างขึ้นและร้องอย่างร่าเริง แต่ถึงเขาจะบินไปกลับได้เร็วก็เถอะ แต่ถ้าให้บินไปมาบ่อย ๆ คงน่าสงสารแย่
เอาให้สักพักค่อยให้ไปส่งอีกแล้วกัน…สักสามวัน
“งั้นก็หางานทำกันต่อแล้วกันเนอะ”
จะทำตัวว่างงานต่อไปก็คงไม่ดี สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องขับเคลื่อนด้วยเงินและงาน เพราะงั้นก็ได้แต่หวังว่ารอยนี้จะหางานได้ไม่ยากล่ะนะ…
————- —————-
ไม่น่าเชื่อ พอเป็นแบบนี้แล้วมีคนจ้างเยอะขึ้นจริงด้วยแฮะ ฉันลองเล่าเรื่องที่หางานไม่ค่อยได้ แล้วก็ที่ว่าลองใช้สัญญาจ้างดูให้เคียร่าผ่านจดหมาย
เธอก็บอกว่าเป็นวิธีคิดที่ดีแล้วแนะนำให้สร้างจุดเด่นให้ตัวเอง ถึงสภาพที่ฉันเป็นเด็กผู้หญิงตามปกติคงลำบาก แต่ว่าตรงจุดนั้นเองก็สร้างให้เป็นจุดเด่นได้เหมือนกัน
สร้างจุดเด่นเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นที่สังเกตและจดจำ พร้อมทั้งขอให้คนที่เคยจ้างช่วยแพร่ข่าวลือที่ว่า ‘ทหารรับจ้างเด็กผู้หญิงที่ทำสัญญาจ้างงาน พร้อมคู่หูที่แข็งแกร่งทั้งสองและความซื่อสัตย์ต่องาน’
แรก ๆ ก็พึ่งการยืนยันจากลูกค้าคนเก่าโดยการช่วยลงชื่อในสมุด เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าใหม่ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นวิธีที่แปลกดีเลยลองทำตาม และมันก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
เวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น การแสดงหลักฐานก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะข่าวลือที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง กล่าวถึงทหารรับจ้างที่ไว้ใจได้ว่า
เด็กสาวตัดผมสั้นสีน้ำเงินเข้มและผิวแทนแบบคนของเกียร์มัว สวมชุดอุปกรณ์ของทหารรับจ้างไร้สังกัด พร้อมทั้งคลุมผ้ายาวแกปิดเครื่องสวมใส่เอาไว้
บนเสื้อคลุมแสดงให้เห็นตราสัญลักษณ์ยืนยันจากโบสถ์ว่ามีมังกรในครอบครองถึง สองเหรียญ นั่งดื่มน้ำผลอยู่ตามร้านเหล้าต่าง ๆ
ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
“เวลาป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย…”
วันนี้ก็ยังคงไม่มีงานเข้ามา ฉันมักจะมาหางานตามร้านเหล้าแบบนี้ ช่วงแรกก็จะเป็นแอบฟังบทสนทนาจากโต๊ะที่เห็นแล้วน่าจะเป็นพ่อค้าหรือชาวบ้านทั่วไป
ฟังเสียงบ่นที่หลุดออกมาเพราะเหล้า รับรู้ถึงปัญหาอีกฝ่ายและเสนอตัวช่วยแก้เพื่อแลกกับเงิน นั่นคือฉันเอง
แต่เมื่อเกิดข่าวลือแบบนั้นขึ้นมาช่วงหลังมานี้จึงเป็นว่าอีกฝ่ายเข้ามาไหว้วานเอง แต่วิธีแบบนี้มันค่อนข้างเด่น ดังนั้นเคียร่าจึงมีเรื่องเป็นห่วงเพิ่มอีกอย่าง
นั่นก็คือ…
“เฮ้ย ๆ นี่มันทหารรับจ้างเด็กที่เขาร่ำลือกันอยู่นี่หว่า ใช่ไหมพวกแก”
“ใช่ครับลูกพี่! แบบนี้ไม่ผิดตัวแน่ ได้ข่าวมาว่ามีงานเข้าไม่ขาดสายยิ่งกว่านักผจญภัยซะอีกแหนะ”
“โฮ่ รุ่งเรืองน่าดูเลยสิ รู้ไรไหม ทหารรับจ้างเองก็มีธรรมเนียมให้สินน้ำใจกับรุ่นพี่ เพื่อปรองดองกันมากขึ้นไงล่ะ รู้ใช่ไหม”
ว่าแล้วชายขี้โวยวายคนนั้นก็แบมือรอรับเงินจากฉัน คำนั้นก็เหมือนจะบอกว่าถ้าไม่อยากโดนขัดขวางการทำมาหากิน ก็ให้จ่ายเงินซะ นั่นแหละ
ซึ่งฉันทำเพียงชายตามองและยกแก้วขึ้นดื่มน้ำอย่างสบายใจ อร่อยสดชื่นดีแฮะ
“เฮ้ย! ไม่ได้ยินที่พูดรึไงวะ!”
เมื่อเขาตะเบ็งเสียงออกมา ฉันก็ยิ้มมุมปากเพราะสะกดความรู้สึกอยากหัวเราะเอาไว้ และเอาแก้วออกจากปากก่อนจะเปล่งเสียงหลังดื่มอย่างสดชื่นออกมา
สภาพไม่ต่างจากพวกผู้ใหญ่เวลาดื่มกันอย่างสนุกสนานแม้แต่น้อย
“ฮ้า ได้ยินสิ ๆ แต่นายบอกว่าให้จ่ายให้รุ่นพี่ใช่ไหมล่ะ รุ่นพี่ก็หมายถึงคนที่น่าเคารพ พอดีฉันไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลยน่ะ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายใช่ไหมเล่า ฮ่า ๆ ๆ”
ว่าแล้วฉันก็ชี้เขาด้วยมือที่ถือแก้วพลางหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แหงล่ะ รุ่นพี่ที่น่าเคารพที่ไหนจะมาขูดรีดรุ่นน้องที่ได้เงินดีกว่าแบบนี้กัน
สิ่งนี้เองที่เคียร่าเป็นห่วง ยิ่งฉันเด่นและโด่งดังจนมีคนจ้างเยอะมากเท่าไหร่ คนที่ไม่ชอบใจฉันก็จะโผล่ขึ้นมาเป็นเงาตามติด
มีทหารรับจ้างหลายคนที่ไม่พอใจกับการที่มีเด็กโผล่มา และได้รับการว่าจ้างงานเยอะกว่าตัวเอง อย่าว่าแต่แย่งงานเลย พวกเขาไม่เคยได้รับงานแบบที่ฉันทำส่วนใหญ่อยู่แล้ว
เพราะงั้นถึงอิจฉาล่ะนะ เคียร่าเลยเป็นห่วงมากเลยล่ะ เพราะพวกเขาจะมาหาเรื่องข่มเหง และถ้าไม่ได้ผลแบบตอนนี้ล่ะก็…
“อย่ามาอวดดีหน่อยเลย เป็นแค่เด็กแท้ ๆ!!”
เขาตะคอกออกมาเสียงดังและเริ่มดูถูกรูปร่างที่เป็นเด็กของฉัน ใช่ พวกเขาจะเริ่มดูแคลนและตัดสินกำลังฉันจากภายนอก และเริ่มที่จะใช้กำลังข่มแทน
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ง้างหมัดขึ้นและตรงมาที่ฉัน มันเป็นสิ่งที่เคียร่ากลัวที่สุด แต่ว่า
‘โครม!’
“อึก!!”
“ขอทีเถอะน่า อย่าให้มีเรื่องรุนแรงในร้านเหล้าแบบนี้เลย มันควรเป็นที่สังสรรค์ไม่ใช่เหรอ เนอะ?”
ฉันพูดออกมาอย่างสบายและหัวเราะยิ้มไปรอบ ๆ ตัวเพื่อขอความเห็นด้วย โดยที่มีสายตาหวาดผวาราวกับไม่เชื่อสายตามองมาที่ฉัน
สิ่งที่ทำก็ไม่มีอะไรมากนอกจาก ชายคนเมื่อกี้ที่โดนกดให้หัวแนบไปกับโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่เมื่อกี้ และฉัน ที่กำลังใช้มือสองข้างกดเขาให้เป็นแบบนั้น
สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ค่อยเป็นปัญหากับฉันมากเท่าไหร่ ยังไงก็ได้รับการฝึกเพื่อรับมือกับสถานการณ์แบบนี้มาค่อนข้างเยอะล่ะนะ เลยตอบกลับเคียร่าไปว่าไม่ต้องห่วง
ถึงเจ้าตัวจะยังคอยพะวงไม่หายก็เถอะ
“อ๊าก! ยอมแล้ว ๆ ปล่อยเถอะ”
เพราะเอาแต่คิดเรื่องของเคียร่าเพลินจนลืมผู้ชายในมือ แล้วเผลอกดแรงไปเยอะเลย จนอีกฝ่ายก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ไม่ได้การ ๆ ถ้าใจลอยอีกหน่อยแขนหมอนี่ได้หักแน่ ฉันจึงปล่อยเขาและเจ้าตัวก็รีบรุดหนีไปทันทีที่เป็นอิสระ
ช่วงนี้มีคนแบบนี้ค่อนข้างเยอะเลย และส่วนมากก็โดนจัดการแบบนี้ทุกครั้ง แต่เคียร่าก็พูดดักไว้ว่าอาจจะแค่โชคดีเฉย ๆ อย่าชะล่าใจ
ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ก็…เขียนบอกเคียร่าสักหน่อยดีกว่า
————– ————-
“เป็นห่วงกันเกินไปแล้ว…งั้นเหรอ!!”
‘แกร๊บ’
หลังจากอ่านข้อความสุดท้ายที่เขียนเอาไว้ในจดหมาย ฉันก็กำมือแน่นจนกระดาษในมือยับไปหมด แฟลชที่มองอยู่ก็ทำท่าผวาต่อท่าทีแบบนี้
ฉันกัดฟันแน่นมือไม้สั่นด้วยความโกรธ จะไม่ให้เป็นห่วงได้ไงกัน เด็กอายุ 12 เท่าฉัน ร่าเริง พูดจาตรงไปตรงมา ไม่ระวังตัว เป็นทหารรับจ้างเดินทางตัวคนเดียว
แถมตอนนี้ยังอยู่ในประเทศเกียร์มัวที่ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยอาชญากรรมอีก ถึงจะมีอิกนิสอยู่ด้วยแต่ยังไงก็ไม่ตลอดเวลา
ยังมีหน้ามาเป็นห่วงคนอื่นแล้วถามถึงเรื่องที่เรียนอยู่อีก…โรงเรียนขุนนางเป็นยังไงเหรอ
“จะเขียนดีไหมนะ…”
ฉันพึมพำออกมาด้วยความลังเลโดยมีแฟลชอยู่เป็นเพื่อนข้าง ๆ ก็นะ โรงเรียนจะว่าเป็นไปด้วยดีก็คงใช่ เพราะทั้งเนื้อหาพอเทียบกับโลกก่อนก็ไม่ยากอะไร ยิ่งที่เคยฝึกทั้งกับคุณโรเวิร์ตและอาจารย์ก็ทำให้ฝีมือต่อสู้ค่อนข้างโดดเด่น เวทมนตร์ก็ใช้เวทโบราณได้ชำนาญกว่าเวทสมัยใหม่เสียอีก
แต่ก็นะ เวทโบราณถ้าเข้าถึงหลักแล้วจับทางจริง ๆ ใช้ได้อิสระกว่าเวทของสมัยนี้มาก และก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้มันใช้ได้ยาก
ความต่างของเวทสองแบบนี้มันอยู่ตั้งแต่ความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์และคาถาด้วยซ้ำ เวทแบบสมัยใหม่จะเป็นเหมือนคาถาที่ตายตัว อย่างเช่นท่องแบบนี้ สิ่งที่ได้ก็จะเป็นลูกไฟออกมาเป็นแบบแน่นอน ถึงจะบอกว่าควบคุมได้ แต่ก็ทำได้แค่คุมว่าอานุภาพแรงหรือเบา ลูกเล็กหรือใหญ่ เพียงแค่นั้น
แต่เวทโบราณจะเป็นการร่ายเพื่อรวบรวมพลังแบบที่ต้องการ และควบคุมต่ออย่างอิสระ ถ้าคนที่ไม่ชำนาญใช้แรก ๆ คงงงว่าควรทำยังไงต่อ แต่ถ้าควบคุมได้อย่างชำนาญแล้วจะทำอะไรก็ได้ ภายใต้ขอบเขตพลังเวทของตัวเอง
“แต่ก็นะ แค่ท่องคาถาก็ลำบากแล้ว”
ฉันหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาพลางเหลือบไปมองหนังสือโบราณ และหยิบมันขึ้นมากอ่านอีกครั้ง ตักอักษรที่แปลกตาจนมองแทบไม่ออก ตัวอักษรในโลกนี้ที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันมีรูปร่างคล้ายภาษาอังกฤษที่ดูยังพัฒนาไม่มาก เพราะงั้นเลยเข้าใจได้ค่อนข้างเร็ว
แต่ภาษาโบราณจะดูเป็นขีด ๆ เหมือนภาษาของช่วงยุคต้น ๆ ในโลกก่อนที่คนเขาเขียนตามกำแพงหรือหิน แต่ตัวอักษรยังว่าไปอย่าง คำอ่านสิที่น่าพิศวง
ถ้าให้อธิบายก็ยากไปหน่อยแต่ก็คงต้องบอกว่า มันเป็นภาษาที่มนุษย์ในยุคนี้เปล่งเสียงไม่ได้ ใช่ มนุษย์ยุคนี้ ฉันรู้ความจริงเรื่องนี้ในตอนที่อ่านหนังสือให้ครบทุกบรรทัด จากปกติคนส่วนใหญ่จะมุ่งอ่านแค่คาถา จึงอาจจะข้ามไป
เพราะว่าส่วนที่ฉันอ่านมันเหมือนเป็นแค่ไดอารี่ซะมากกว่า ที่จริงมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากเพราะว่าคนยุคนั้นกับยุคนี้ต่างกันแทบจะสิ้นเชิง
เริ่มแรกเลยวิธีอ่านคำอ่าน…เราต้องใช้เวทมนตร์ในขณะที่อ่าน ฟังไม่ผิดหรอก เราต้องใช้เวทมนตร์ตลอดเวลาที่อ่านเพื่อที่จะเข้าใจคำอ่านของภาษาโบราณ
ควบคุมให้เวทมนตร์แผ่ไปทั่วทั้งร่าง ในขณะที่อ่านก็ต้องให้เวทครอบคลุมดวงตาเอาไว้และอ่าน แน่นอนว่าตอนพูดก็เหมือนกัน ต้องเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับเปล่งเวทมนตร์ ให้เวทของตัวเองซึมเข้าไปแม้กระทั่งเสียง
แฟลชที่กินอาหารที่ให้ไปหมดแล้วก็เดินเตาะแตะมาหา และทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้อย่างน่ารัก ฉันจึงคลี่ยิ้มอ่อนให้เขาและพูดขึ้น
“สนใจเหรอ นี่ภาษาโบราณน่ะ…จริงสิ งั้นฉันจะใช้ให้ดูสักหน่อยดีกว่า”
แล้วฉันก็วางหนังสือลง ปิดผ้าม่านและไฟจนภายในห้องดำสนิท หลับตาลงและร่ายเวทเป็นภาษาที่คนทั่วไปไม่อาจจับใจความได้
แต่ประโยคนี้ถ้าให้แปลก็คงเป็น
‘แสงสว่างเอ๋ย เจ้าล้วนแล้วเป็นสิ่งที่มิอาจจางหาย แม้โลกใบนี้จะมืดมิดสักเพียงใด โปรดแสดงขึ้นมาต่อหน้าข้า’
เมื่อพูดจบ ภายในห้องที่มืดสนิทก็มีแสงสีขาวเล็ก ๆ ก่อขึ้นมาบนมือฉัน นี่เป็นผลจากคำร่ายที่กล่าวไป มีแสงปรากฏขึ้นมาตามที่ฉันขอ มีไว้สำหรับเป็นแสงนำทางไม่มีอันตราย
จากนั้นฉันก็มองไปทางแฟลชที่ทำท่าตื่นตาตื่นใจ และหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะควบคุมแสงเหล่านั้นขึ้นไปบนเพดานห้อง
เพียงชั่วครู่แสงเหล่านั้นก็แตกกระจายออกไปรอบ ๆ จนแฟลชที่มองไม่วางตายังตกใจ แต่แน่นอนว่ามันเป็นไปตามที่ฉันควบคุม แสงพวกนั้นกระจัดกระจายเต็มทั้งห้องที่มืดมิดราวกับเป็นดวงดาว
มันทำให้นึกถึงท้องฟ้าจำลองในโลกก่อน แน่นอนฉันเองก็ทำขึ้นมาให้มันดูเป็นแบบนั้น แต่ว่าแสงในห้องตอนนี้มันดูระยิบระยับและสวยกว่าท้องฟ้าจำลองไปมากโข
ทั้งยังควบคุมรูปร่างได้อย่างอิสระและทันทีอีกต่างหาก นี่เองก็เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ใช่เวทโบราณก็คงทำไม่ได้ เวทสมัยใหม่ทำให้มีรายละเอียดปลีกย่อยและชัดเจนขนาดนี้ไม่ได้แน่
“กรร!”
แฟลชส่งเสียงร้องออกมาอย่างสนุกสนานพลางบินเล่นไปกับแสงบนห้อง และตื่นตาตื่นใจกับแสงก้อนหนึ่งขณะชี้ให้ฉันดู
“ฮะ ๆ ทำได้เหมือนไหมล่ะ”
เมื่อฉันถามออกไปแบบนั้น เขาก็เอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าอย่างรื่นเริง สิ่งที่เขาให้ฉันดูนั่นก็คือแสงที่ก่อรูปร่างเป็นแฟร์กับอิกนิส ที่มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ เป็นแค่รูปร่างเผิน ๆ แหละนะ แต่แฟลชก็สามารถมองออกได้
ฉันปล่อยให้ผลของเวทมนตร์อยู่ต่อไปและเป็นเพื่อนเล่นให้แฟลช ส่วนตัวเองก็มานั่งลงเขียนจดหมายตอบกลับแฟร์ จริงสิเรื่องที่โรงเรียน…เล่าสักหน่อยก็ได้แหละ