ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 25: ภาค 2 ตอนที่ 2 มังกรจากอดีตกาล
“กรร!”
เมื่อฉันเดินไปตามเส้นทางและเข้าใกล้กับจุดที่พวกอิกนิสอยู่ เขาก็รู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็วแล้ววิ่งพรวดมาหา ก่อนที่จะเอาหน้ามาถูด้วยความคิดถึง
“ฮะ ๆ รู้แล้วน่า กลับมาแล้ว ๆ”
“!! แล้วพวกโจรล่ะ!”
“จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว น่าจะปลอดภัยไปสักพักใหญ่ ๆ”
เขาทำสีหน้าทึ่งทันทีเมื่อฉันตอบกลับไปอย่างสบาย เหมือนว่าจะยังสงสัยในฝีมือของฉันอยู่ แต่จากเมื่อกี้คงทำให้มั่นใจในฝีมือฉันได้หน่อยล่ะมั้ง แต่เรื่องนั้นยังไงก็ช่าง คงต้องทำอะไรสักอย่างกับกรงนี่สักหน่อย
ว่าแล้วฉันก็เดินเข้าไปนั่งบนหลังอิกนิสเหมือนเดิม โดยที่ยังคงถือกรงเอาไว้
“สะเดาะกลอนสินะ…”
ในขณะที่พึมพำอยู่ มือก็ล้วงไปในกระเป๋าซึ่งผูกไว้กับตัวของอิกนิส ส่วนมากก็จะเป็นพวกของจิปาถะไม่มีอะไรมาก และไม่นานอุปกรณ์สำหรับสะเดาะกลอนก็อยู่ในมือฉัน
กรงถูกปลดออกและมังกรตัวน้อยก็เป็นอิสระ มันจ้องมองทางออกไม่วางตา ราวกับไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นอิสระ พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมามองฉัน
“เอ้า ไปสิ นายเป็นอิสระแล้วนะ”
เมื่อเราสองจ้องหน้ากัน ฉันก็พูดออกไปแบบนั้นทั้งรอยยิ้มร่าจนเห็นฟัน มันจึงกะพริบตาครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าออกมาจากกรงสู่โลกภายนอก
ตัวกรงเหล็กฉันก็โยนทิ้งไปทันทีเพราะมันเกะกะ และมังกรตัวน้อยบนตักฉันมันก็ทำการ
‘พรึบ!’
“กรู้ว~”
สยายปีกสองข้างออกกว้าง ชูคอเงยปากขึ้นฟ้าและส่งเสียงร้องออกมาราวกับหมาหอน ขนที่อยู่บนหัวและหลังก็ลู่เรียบไปกับผิว ครู่ต่อมามันก็หยุดส่งเสียพร้อมทั้งหันหลังไปด้านหน้าฉัน และออกตัวบินไปทันที พร้อมทั้งขนคล้ายกับนกที่สวยงามหล่นลงมา ฉันจึงหยิบขึ้นมาดูและมองไปที่เจ้าตัว
ขนาดนั้นคงแข็งแรงดีสินะ อืม เป็นเรื่องที่ดี ทั้งฉันและอิกนิสมองตามร่างเล็กนั้นโผบินออกไปไกลอย่างรวดเร็ว ไม่เคยเห็นการเคลื่อนที่เร็วขนาดนั้นมาก่อนเลย จนไม่กี่อึดใจก็มองไม่เห็นร่างนั้นแล้ว…
—————– —————-
“ขอบคุณเธอมากเลย! คิดว่าจะไม่รอดแล้วซะอีก ช่วยได้มากจริง ๆ”
“พูดเกินไปแล้ว ก็แค่ทำตามที่จ้างเท่านั้นแหละ เอ้า ส่งค่าตอบแทนมาได้แล้ว 250 กิล”
ฉันรีบพูดบอกปัดคำขอบคุณของอีกฝ่ายทันที พร้อมทั้งแบมือรอรับค่าตอบแทนของงาน ใช่ จะอะไรก็ช่างฉันก็แค่ทำตามคำว่าจ้างให้สำเร็จ เพื่อรับค่าตอบแทนเท่านั้น
และตอนนี้พวกเราก็มาถึงที่หมายแล้วสิ่งที่ต้องการก็ไม่ใช่คำขอบคุณ แต่เป็นเงินค่าแรงต่างหาก
“อะไรกัน คุณจัดการโจรกลุ่มใหญ่ขนาดนั้นได้ 250 กิลไม่พอหรอก”
“ถึงจะพูดงั้นก็เหอะ…”
สุดท้ายก็ได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจและเกาหัวตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย ก็…ถูกแหละที่ระหว่างทางเราเจอโจรกลุ่มใหญ่ จนเอาคิดว่าถ้าทิ้งเขาเอาไว้แล้วหนีคงจะดีกว่า แต่ก็ทำสัญญาการค้าเอาไว้แล้วนี่นะ ไม่ทางเลือก
สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ให้เงินเพิ่มอีก 100 กิลซะงั้น เอาเถอะ ยังไงได้เงินเพิ่มมาก็น่ายินดีแหละนะ ว่าแล้วฉันก็ทิ้งตัวลงนอนข้างอิกนิส จนเขาหันมามองด้วยความตกใจเล็กน้อย
“กรร…”
“เปล่าหรอกไม่มีอะไร…ว่างจังนะ”
พอไม่มีงานให้ทำแล้วว่างจัง…ในตอนที่ฝึกอยู่บ้านของอาจารย์ ยังพอมีจดหมายของเคียร่าตอบกลับมาบ้าง แต่พอออกเดินทาง ถึงจะยังส่งไปหาได้ แต่ก็ไม่ได้จดหมายตอบกลับ
พูดแล้วก็อยากอ่านจดหมายของเคียร่า ที่ทำให้รู้สึกสบายใจและผ่อนคลายขึ้นมา แต่ในระหว่างที่กำลังคุ้ยของในกระเป๋า ก็มีหนังสือหล่นลงมาซะก่อน
“ว้า เปื้อนเลยแฮะ…หืม?”
หนังสือเวทโบราณ…อ้อ จริงด้วยพกไว้อยู่นี่นา พักหลังมาแทบไม่ค่อยได้อ่านเลยแฮะ ฉันตัดสินใจฝึกเวทโบราณหลังจากตอนที่เจอเคียร่าครั้งแรก
หนังสือเล่มนี้ฉันได้เป็นของขวัญมาจากโรเวิร์ต แล้วก็ได้มารู้ทีหลังอีกทีว่ามันหายากและมีราคาสูงมาก ถ้าหากว่าไม่ได้มาคงหาซื้อเองไม่ได้แน่ ๆ
และฉันก็เปิดมันขึ้นอ่าน…ยังน่าเวียนหัวไม่เปลี่ยนเลย ภาษาโบราณเนี่ย ตัวอักษรที่ดูมั่วไปหมดคำอ่านที่ยากจะเข้าใจ อย่างกับไม่ใช่คำที่คนจะพูดกัน
พอนึกแล้วตอนนั้นเคียร่าก็ใช้เวทโบราณสินะ แม้แต่ฟังยังจับใจความไม่ได้เลย อยากรู้จังแฮะว่าเธอทำยังไงถึงใช้ได้ ถึงจะบอกว่าอยากฝึกให้เหมือนเธอ แต่สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่แปลเท่านั้นเอง
ออกเสียงไม่ได้ และเมื่อเป็นแบบนั้นก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
“เฮ้อ…ภาษาโบราณยากชะมัด”
หลังพึมพำออกมาอย่างเบื่อหน่าย มือก็เปิดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็วเพื่อปาดตา อย่างน้อยก็ใช้ฆ่าเวลาได้เหมือนกันล่ะนะ…หือ
ฉันหยุดมือและเปิดตากว้างทันทีเมื่อหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่อยู่ในหมวดหมู่มังกร หนังสือเล่มนี้นอกจากจะรวมคำร่ายแล้วก็ยังเป็นที่จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ
หนึ่งในนั้นคือมังกรที่มีทั่วไปในยุคนั้น ซึ่งส่วนมากจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้วในช่วงสงครามมังกรตามตำนาน ก่อนที่มังกรพิภพจะเข้ามาหยุดมังกรตัวอื่น
แต่สาเหตุที่ฉันหยุดในหน้านี้ก็เพราะรูปวาด…รูปวาดที่ถูกเขียนขึ้นอย่างง่ายในยุคสมัยนั้น มีเพียงพอแค่นึกรูปร่างคร่าว ๆ ออกได้ แต่ก็นั่นแหละ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว…
“มังกรในตอนนั้น…”
ฉันพึมพำออกมาอย่างตกตะลึงพลางหยิบขนของมังกรตัวหนึ่งที่ช่วยไว้จากกลุ่มโจร เป็นขนที่แม้จะร่วงออกมาก็ยังคงสภาพไว้อย่างสวยงาม
และตรงกับคำอธิบายในหนังสืออย่างน่าประหลาด…
“ไม่ผิดแน่…”
“กรร!”
ในตอนที่พึมพำออกมาแบบนั้นนั่นเอง จู่ ๆ อิกนิสก็พรวดพราดลุกขึ้น และส่งเสียงขู่เหมือนมีอะไรบางอย่าง ฉันเองก็สะดุ้งโหยงและทำอะไรไม่ถูกเพราะว่าปุ๊บปั๊บเกินไป
แล้วรีบเก็บขนก่อนจะคลานไปหลบด้านหลังอิกนิส และมองดูสถานการณ์
“กิ้ว!”
“อ๊ะ เสียงนี้…”
ฉันรู้ได้ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นเสียงของอะไร และคำตอบที่คิดอยู่ในใจก็โผล่ออกมาตรงหน้าทันที ร่างของมังกรตัวน้อยสีเหลืองก็บินเข้ามาทางช่องของคอกม้า และยืนอยู่ตรงหน้าอิกนิส
หลังจากเห็นแบบนั้นจึงผ่อนคลายได้และสะกิดให้อิกนิสใจเย็นลง เขาจึงค่อย ๆ หยุดขู่และกลับมาสงบ ก่อนจะนอนลงมองพวกเรานิ่ง ๆ
เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วมันก็ส่ายหางอย่างยินดี และคาบหินอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนจะเดินเข้ามาหาฉันแล้ววางหินนั้นให้
“ให้ฉัน? จะขอบคุณเหรอ?”
มังกรนั่นพยักหน้าให้และเดินเข้ามาถูตัวราวกับกำลังอ้อน ฉันยิ้มเจื่อนพลางลูบหัวเขาและมองที่หินในมือ นี่มัน…แร่อัลละวา
“ได้ยังไงน่ะ…”
หินอัลละวาตามชื่อคือมาจากมังกรอัลละวา ซึ่งฉันรู้ได้ทันทีหลังจากมองเพราะเมื่อก่อนเคยได้เห็นบ่อย ๆ แต่สาเหตุที่แปลกใจก็เพราะว่า…ถิ่นที่อยู่ของมังกรอัลละวาอยู่ที่ภูเขารอบประเทศฟาเรเรีย
ซึ่งแทบจะอยู่คนละฝั่งของทวีปแห่งนี้ ถ้าเดินทางตามรถม้าปกติก็น่าจะกินเวลาเกือบครึ่งปี แต่นี่…ล่าสุดที่เจอกันประมาณ 4 วันก่อนยังไม่มีเลย เป็นไปได้ยังไงกัน…
‘พรึบ’
คราวนี้เจ้าตัวสะบัดปีกสองข้างขึ้นและร้องเสียงทุ้มต่ำออกมาอย่างร่าเริง กำลังจะบอกว่าบินไปแล้วกลับมางั้นเหรอ…เหลือเชื่อ ขนาดมังกรขนส่งของพวกขุนนางยังใช้เวลาเป็นสัปดาห์เลยสำหรับไป ถ้าไปกลับคงครึ่งเดือน
แต่นี่แค่ 5 วันสำหรับไปกลับ แถมยังตามหาฉันเจออีก
“ไม่น่าเชื่อ…จริงสิ หนังสือ”
สิ่งที่จะตอบข้อสงสัยตอนนี้ได้มีเพียงหนังสือโบราณที่เห็นข้อมูลมังกรพันธุ์นี้อยู่ จึงรีบหยิบขึ้นมาอ่าน…น่าเสียดายที่ฉันอ่านชื่อพันธุ์ไม่ออก เพราะเป็นการสะกดเสียงไม่ใช่คำที่มีความหมายให้แปล
แต่อย่างน้อยก็รู้ข้อมูลของมันคร่าว ๆ ได้ มีน้ำหนักเบา รวดเร็ว และจมูกดี ต่อให้เป้าหมายอยู่ไกลแสนไกล ขอเพียงมีกลิ่นสักหน่อยก็สามารถติดตามได้ ฉันแปลได้แค่นี้เท่านั้น ที่เหลือยากเกินกว่าจะแปลออกแล้ว
“ฮ่า ๆ ฉันเชื่อแล้วล่ะ ว่านายเร็วจริง”
ฉันหัวเราะร่วนออกมาเพราะคำที่ตัวเองพูดออกไปว่าไม่เชื่อก่อนหน้านี้ แต่ข้อมูลในหนังสือนี่ก็บอกอย่างเด่นชัดเลยว่าเป็นความจริง ไม่มีคำไหนจะพูดได้เลยนอกจากคำว่าสุดยอด
มังกรจากโบราณมาอยู่ตรงหน้า แสดงความสามารถที่เหนือชั้นอย่างสบาย ที่สำคัญยังเชื่องและเป็นมิตรขนาดนี้อีก
ว่าแล้วฉันก็ยื่นมือไปลูบหัวเจ้าตัวที่มานัวเนียอย่างมีความสุข ติดฉันเข้าให้แล้วเหรอ…เอาเถอะ ยังไงก็น่ารักดีด้วยไม่เป็นไรหรอก
“…กรร”
“อ๊ะ อะไรเนี่ยอิกนิส”
ในขณะที่ลูบเจ้าตัวเล็กอยู่ จู่ ๆ อิกนิสก็คำรามออกมาแผ่วเบา และเอาหัวมาชนเข้ากับฉันที่กำลังจะพริกอ่านหนังสือต่อ จนเกือบทำหนังสือหลุดมือ
แต่ก็ไม่ว่าอะไรต่อเพราะเดาได้ว่าเขาคงอิจฉาที่ฉันเล่นกับอีกคน จึงได้แต่หัวเราะออกมาอีกครั้งและพับหนังสือเก็บครู่หนึ่ง ก่อนจะลูบใบหน้าใหญ่ของอิกนิส จนเขาส่งเสียงแห่งความสุขออกมา
จนทุกคนพอใจแล้วก็ถึงเวลาอ่านหนังสือต่อสักที เพราะเหมือนว่าข้อมูลของมังกรพันธุ์นี้จะมีเยอะเป็นพิเศษ
แล้วเมื่อพลิกหน้าต่อก็ต้องเบิกตากว้างและเผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจ ความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นภายในจิตใจจนร้อนรุ่มไปหมด ก่อนจะหันไปหามังกรตัวเล็กที่ว่า
“นี่!! สนใจจะมาอยู่กับฉันไหม!”
มันตกใจเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ฉันก็พูดขึ้นค่อนข้างดังและตื่นเต้น เขาทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา พยักหน้าและส่งเสียใสแสนน่ารักออกมา
“กิ้ว!”
————————– ———————
“เฮ้อ…ปฐมนิเทศไม่ว่าจะโลกไหนก็น่าเบื่อจังนะ”
ฉันบ่นออกมาในขณะที่ทิ้งร่างลงบนเตียงและถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ที่บ่นถึงโลกที่แล้วได้ก็เพราะว่าตอนนี้ริเกลไม่อยู่ด้วย ถ้าเป็นคฤหาสน์ของอาจารย์คงเปิดหน้าต่างไปคุยกันได้
แต่ตอนนี้ที่ย้ายเข้าหอพักของโรงเรียนขุนนางแล้วส่วนของมังกรต้องอยู่อาคารแยกกัน ขุนนางหลายคนมีมังกรคู่ใจอยู่ตั้งแต่เด็ก แต่วิธีการได้นั้นส่วนมากจะเป็นการซื้อขายซะมากกว่า
“แต่เอาเถอะ…”
คิดเรื่องคนอื่นไปก็ไม่ได้อะไร การที่ต้องเป็นตัวแทนนักเรียนนี่มันเหนื่อยจริง ๆ ตรงส่วนนี้ไม่ต้องเหมือนชาติก่อนก็ได้มั้ง ได้เป็นจุดสนใจตามอีหรอบเดิมแน่…
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
“…เมื่อไหร่จะส่งมานะ”
เอาอีกแล้ว บ่นคำนี้ออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ พร้อมทั้งหยิบซองจดหมายที่ถูกแกะออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกระดาษที่มีสภาพยับเยินเพราะถูกเปิดอ่านนับครั้งไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้มา ยามที่ทุกข์หรือเหงา ตอนจะขึ้นพูดตัวแทนนักเรียนก็ยังอ่าน แม้แต่ตอนนี้ที่เป็นเวลาพักผ่อนก็ยังเลือกที่จะหยิบจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาอ่าน
มันคือจดหมายจากแฟร์เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนนั่นเอง เนื้อหาด้านในก็เป็นเพียงข้อความที่ตรงไปตรงมาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มีเนื้อหาไม่เยอะมากเพราะมันถูกเขียนไว้เพียงว่า
ตัดสินใจจบการศึกษากับอาจารย์แล้วล่ะ หลังจากนี้จะไปอยู่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องส่งตอบกลับมานะ ฉันไม่อยู่รับหรอก ถ้ามีโอกาสจะส่งจดหมายมาหานะ
จากแฟร์
“บอกให้ไม่ต้องตอบกลับเนี่ย ขี้โกงชะมัด…”
ไม่รู้ทำไมถึงบอกว่าขี้โกง แต่ทุกครั้งที่อ่านก็จะหน้านิ่วและบ่นแบบนี้เสมอ เพราะแน่นอนว่าได้รับจดหมายก็อยากจะตอบกลับ แต่ก็ไม่สามารถส่งไปได้
เธอในตอนนี้คงเป็นเด็กผู้หญิงที่เร่ร่อนไปมาในทหารรับจ้าง ถึงจะไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่เพราะมีอิกนิสอยู่ด้วยที่น่าเป็นห่วงคงจะเป็นเรื่องงานมากกว่า
ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่มีปัญหากับเนื้อหางานส่วนใหญ่ของทหารรับจ้าง แต่นั่นก็แค่ในกรณีที่เจ้าตัวอยู่กับอาจารย์ ถ้าอยู่คนเดียวจะเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า พื้นฐานคงเป็นหางานยากจากรูปลักษณ์ภายนอก
ปัญหาเลวร้ายที่สุดคือโดนทหารรับจ้างคนอื่นหมายหัว…ในหลาย ๆ ความหมาย
“เฮ้อ…”
แล้วฉันก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เป็นห่วงจัง จะเป็นยังไงบ้างนะ ได้กินอาหารครบรึเปล่า มีห้องพักให้นอนไหม เกิดคำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดภายในสมอง
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการติดต่อกันไม่ได้แบบนี้จะอึดอัดเหลือเกิน เป็นประสบการณ์ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ เพราะชาติก่อนก็มีโทรศัพท์ทำให้ติดต่อกันได้ทันที
แต่โลกนี้มีเพียงจดหมาย ถ้าได้สิ่งที่สื่อสารระยะไกลแบบนั้นมาได้คงรักษาไว้อย่างดีแน่ และก็คงมีมูลค่ามหาศาลแน่นอน…
‘แกร๊ก ๆ’
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงบางอย่างเคาะหน้าต่างของห้อง ฉันสะดุ้งโหยงและรีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที ริเกล…ไม่มีทาง ด้านนอกหน้าต่างมีเพียงกำแพงโรงเรียนที่ด้านนอกเป็นป่า
ถ้าเป็นริเกลที่ตัวใหญ่จะออกไปข้างนอกเพื่อมาหาฉันจะต้องวุ่นวายแน่ เพราะงั้นไม่มีทางที่สถานการณ์จะยังเงียบอยู่ได้ แล้วคนที่จะมาเคาะกระจกฉันเป็นใครกัน
ว่าแล้วก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอแล้วใช้มือควานหามีดสั้นที่พกเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปที่หน้าต่างอย่างช้า ๆ
“ใครน่ะ!”
เมื่อเปิดม่านขึ้นฉันก็ใช้มีดชี้ไปทางหน้าต่างซึ่งคาดว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ทันที และก็ได้เห็นร่างที่ทำให้เกิดเสียง…มังกรตัวเล็กสีเหลืองที่กำลังมีท่าทีตกใจต่อปลายมีดที่หันเข้าหาตน แม้ว่ากระจกจะยังปิดจึงไม่มีทางโดนเจ้าตัวโดยตรงก็เถอะ
นอกจากนั้นที่ทำให้แปลกใจก็คืออุปกรณ์สวมใส่ของมัน หมวกหนังที่มีแว่นตาทำจากกระจกอย่างดีใส่อยู่บนหัวคิดว่าคงไว้กันลมเข้าตา กระเป๋าขนาดเล็กที่ถูกติดเอาไว้ด้านหน้าท้องของมัน
เจ้าตัวเล็กรีบทำท่าร้อนรนและใช้ปากเปิดกระเป๋าออกและหยิบบางอย่างออกมา…
“นั่นมัน…”
มือที่ถือมีดของฉันลดลงอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าสับสนและปั่นป่วน เพราะสิ่งที่มันหยิบออกมาฉันจำได้ดี สิ่งนั้นคือที่คั่นดอกไม้แห้งซึ่งฉันเคยส่งไปให้แฟร์
แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ที่นี่ อยู่ตรงหน้าฉันในหัวก็เริ่มคาดเดาไปต่าง ๆ นานา และส่วนมากเป็นในทางที่ไม่ดีนัก ทำให้รู้สึกใจหายขึ้นมาทันทีแล้วรีบเปิดหน้าต่างออกไปรับ
มังกรตัวเล็กทำท่าดีใจทันทีและรีบโดดเข้ามา ก่อนจะเปิดกระเป๋าให้ฉันดู…จดหมาย? ฉันโยนความระวังตัวไปเรียบร้อยและรีบหยิบซองจดหมายนั้นมาเปิดดู แล้วความสบายใจก็ถาโถมเข้ามา
“อะไรกัน ใช้มังกรส่งจดหมายนี่เอง…”
แล้วฉันก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก็ความคิดด้านลบของตัวเอง มังกรส่งจดหมายก็มองพลางเอียงคอด้วยความสงสัย ฉันจึงบอกว่าไม่เป็นไรและรีบอ่านจดหมายทันที
เนื้อหาส่วนมากเป็นการบอกเล่าสารทุกข์สุกดิบของเจ้าตัวในช่วงนี้ สบายดีสินะ พอคิดได้แบบนั้นฉันก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุข ราวกับความเหนื่อยจากทั้งวันหายไปในพริบตา
ต่อมาจดหมายก็เล่าถึงมังกรที่ส่งจดหมาย ตั้งแต่ว่าเจอได้ยังไงแล้วทำไมถึงใช้ส่งจดหมายในตอนนี้ ทั้งยังบอกวันเวลาส่งเพราะอยากตรวจสอบความเร็วของมังกรด้วย
เอ…ส่งมาวันที่ 5 ของเดือน 4 ตอนช่วงเช้าตรู่ จากที่เมืองหลวงเกียร์มัว บ้าน่า มันเกือบจะคนละฝั่งของทวีปเลยนะ ปกติต่อให้ใช้มังกรขนส่งคงเป็นเดือนแน่ แต่นี่…ตอนนี้ยังเป็นวันเดียวกันกับที่เธอส่งอยู่เลย แค่เป็นตอนกลางดึกเอง
“นี่น่ะเหรอ…สิ่งที่หลงเหลือจากโบราณ”
เมื่อฉันพึมพำแบบนั้นพลางมองเจ้าตัว เขาก็ได้แต่ทำท่าไม่เข้าใจมองไปก็น่ารักดีแฮะ…ฉันจึงยิ้มอ่อนให้ก่อนจะปลดอุปกรณ์ที่ใส่อยู่ให้
“คงเดินทางเหนื่อยน่าดู คืนนี่พักกับฉันก่อนสิ ส่วนอาหารก็…ผลไม้ได้ไหม”
ว่าแล้วก็หยิบผลไม้สีแดงรูปร่างประหลาดที่รสชาติเหมือนแอปเปิลในชาติก่อนให้ เจ้าตัวทำท่าทางดีใจจนขนบนหัวไล่ไปกลางหลังโค้งงอมาด้านหน้าและสั่น แผงบางอย่างที่อยู่บนจมูกสองข้างเองก็กางขึ้นมาเช่นกัน น่ารักจังแฮะ
และมันก็รับผลไม้ไปนั่งกินพลางส่ายหางอย่างมีความสุข
“แต่ให้ตั้งชื่อสินะ…”
แฟร์บอกว่าในหนังสือเวทมนตร์โบราณมีเขียนข้อมูลของมังกรนี้เอาไว้ ซึ่งเธออ่านออกไม่ทั้งหมดจึงวานให้ฉันบอกชื่อสายพันธุ์กับตั้งชื่อให้ไปเลย
มังกรโบราณที่ใกล้สูญพันธุ์ ที่บินเร็วมากงั้นเหรอ…
“แฟลช”
“กรร?”
เมื่อฉันพึมพำในขณะมองมันอย่างแผ่วเบา เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นและส่งเสียงใสแห่งความสงสัยออกมา ฉันจึงหัวเราะเบา ๆ และพูดต่อ
“ต่อไปนี้นายชื่อ แฟลช แล้วกัน…หมายถึงแสงที่ส่องในเวลาสั้น ๆ เป็นคำเปรียบเปรยว่านายเร็วเหมือนแสงพวกนั้นไงล่ะ ที่สำคัญ…”
ฉันเว้นช่วงเล็กน้อยและยื่นมือไปลูบหัวแฟลชอย่างอ่อนโยน ในตอนแรกมันตกใจแต่ก็เคลิบเคลิ้มได้อย่างรวดเร็ว เมื่อกี้ฉันพึ่งนึกได้ว่าเคยอ่านข้อมูลมังกร เฟโลกัส ซึ่งเป็นชื่อสายพันธุ์ของแฟลช
พวกมันมีจำนวนน้อยมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วเพราะถูกล่า ที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้คงเป็นเรื่องแปลกที่สุดแล้วเพราะงั้นชื่อแฟลชเนี่ย…
“เหมือนมาจากอนาคตเลยเนอะ”
โลกใบนี้ยังไม่รู้เรื่องความเร็วแสง โลกใบนี้ยังไม่มีคำว่าแฟลช และฉันตั้งชื่อซึ่งเป็นคำจากอนาคตให้สิ่งที่เหลือจากโบราณกาล ก็เพื่อหวังว่าจะเป็นคำอวยพร
คำอวยพรที่ ขอให้พวกเขายังอยู่ไปจนถึงอนาคตด้วยเถอะ
—————————- ————————–
รูปเต็มของมังกรสายพันธุ์ เฟโลกัส
(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )