ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 23: เริ่มต้นสิ่งใหม่ (จบภาค 1 + บทส่งท้าย)
หลังจากนั้นพวกเราก็รีบมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านก่อนที่ฟ้าจะมืด ไม่งั้นคงโดนดุแน่ และก็ตรงไปหาบิลลี่เพื่อคุยเรื่องนี้กันทันที เขาก็ทำท่าทางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอ่อนให้
“งั้นเหรอ เข้าใจแล้วล่ะ”
เขาพูดแบบนั้นอย่างว่าง่าย เพราะเหมือนว่าการที่จู่ ๆ จะมีคนออกจากการเดินทางกลางคันก็เป็นเรื่องปกติ แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นข้อเสนออย่างหนึ่ง
“แต่รอให้อายุครบ 10 ปีก่อนได้ไหม ฉันมีคนรู้จักเป็นทหารรับจ้างอยู่ เดี๋ยวจะฝากให้รับเป็นศิษย์ให้”
“อื้อ! เข้าใจแล้ว”
“อืม ถึงจะน่าเสียดายที่มีเพื่อนร่วมทางหายไป แต่ก็ขอให้สมหวังตามที่ต้องการนะ”
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปลูบหัวแฟร์และอิกนิส ตอนนี้พวกเราอยู่ในคฤหาสน์ของคุณโรเวิร์ต ซึ่งเป็นที่รับรองให้กับบิลลี่ซึ่งเป็นหัวหน้าพ่อค้าเร่
และในวันนี้เองพวกเราก็ได้รู้ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อด้วย
“แฟร์ ถ้ามีอะไรก็มาหากองคาราวานได้เสมอนะ เธอก็เป็นเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของฉัน ทุกคนยินดีต้อนรับเธอเสมอ”
“อืม ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมานะ”
เอ๊ะ นี่ทั้งคู่เป็นพ่อลูกกันเหรอ? ไม่รู้มาก่อนเลยแฮะ…แล้วพวกเขาก็อธิบายต่อ เพราะว่าแฟร์เสียครอบครัวแถมยังโดนขับไล่จากประเทศในฐานะผู้อพยพ
และไม่มีใครรับเธอไปดูแลต่อ บิลลี่ที่ตอนนั้นผ่านมาพอดีเลยอาสาเก็บแฟร์มาดูแล และเดินทางมาจนถึงตอนนี้นี่เอง
“ว่าแล้วหลังจากนี้คงไม่เจอกันง่าย ๆ สินะ งั้นเอางี้ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาเธอเดินดูร้านค้าของกองคาราวานเอง”
ตอนนี้แฟร์อาสามาส่งพวกเราที่บ้าน และเริ่มชวนคุยในขณะที่เดินไปตามทางที่เงียบสงบ เคียร่าเองก็ทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าให้
“เอาสิ”
ว่าแล้วแฟร์ก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แล้วพูดย้ำ ๆ ว่านัดกันแล้วนะ ห้ามเบี้ยวนะ อะไรทำนองนั้น ส่วนอิกนิสเองก็ร้องออกมาและกระโดดโลดเต้นตาม
ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรแท้ ๆ นะ ก็ยังจะทำตามแฟร์อยู่แฮะ แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันไป…
———— ————
“ไปก่อนนะคะ”
“รักษาตัวด้วยล่ะ…เคียร่า ริเกล”
วันเวลาผ่านพ้นไป เข้าสู่ศักราชวารุน 1,687 พวกเราเลือกช่วงเวลาที่หิมะเริ่มละลายในการย้ายไปอยู่กับดาริก เพราะว่าการเดินทางไกลค่อนข้างอันตราย
และวันนี้ก็เป็นวันที่เราจะออกเดินทางนั่นเอง หน้าบ้านที่พวกเราอยู่มาตลอดนั้นมีรถม้าจอดอยู่ พวกเราขนของที่จำเป็นซึ่งมีอันน้อยนิดขึ้นรถม้า
และบอกลาพ่อกับแม่ก่อนจะขึ้นรถไปทันที
“ฮะ ๆ ตื่นเต้นเหรอ ริเกล”
เคียร่าพูดกับฉันด้วยความเอ็นดู แต่ตาของฉันตอนนี้นั้นจดจ่อไปนอกหน้าต่างของรถม้าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้ขึ้นรถแบบนี้
ไม่สิ พึ่งเคยออกจากหมู่บ้านแล้วไปเมืองอื่นครั้งแรกเลย เพราะงั้นถึงเก็บความตื่นเต้นไม่อยู่แล้วชะโงกหัวออกไปด้านนอก แถมยังส่ายหางไปมาด้วยความสนุก
ถึงเคียร่าจะแสดงออกมาแบบนั้นแต่เธอเองก็มองออกไปข้างนอกเช่นกัน นั่นสินะ สำหรับเคียร่าเองก็เป็นครั้งแรกเช่นกัน
แต่ถึงจะบอกว่ารถม้าแต่ที่ลากอยู่ก็เป็นมังกรสายพันธุ์เดียวกับดีอาร์ และมันก็เคลื่อนที่เร็วมากจนคิดว่าอีกหน่อยคงพอ ๆ กับรถในโลกก่อนแล้ว
เห็นว่าเพราะไม่อยากให้อยู่ระหว่างการเดินทางมากนักเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นจึงใช้เป็นรถม้าด่วนที่เพียงไม่กี่วันก็คงถึง
และแล้วพวกเราก็ใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้นแม้จะไกลมากก็ตาม
“ว้า สุดยอดเลย”
‘โอ้!!’
ทั้งฉันทั้งเคียร่าต่างก็แสดงความตกตะลึงออกมาอย่างชัดเจนพลางเอาหน้าจ่อกับกระจก เพราะว่าภาพด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยไร่จำนวนมาก
แล้วเคียร่าก็เป็นคนอธิบายให้ฟัง
“ดยุคคาสทอร์ เป็นหนึ่งในตระกูลที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนหนึ่งก็เพราะอาณาเขตติดอยู่กับทะเลสาบทำให้ผืนดินมีความอุดมสมบูรณ์ และเมืองนี้ก็เป็นเมืองเก่าแก่ที่อยู่มาหลายร้อยปี”
ว่าแล้วเคียร่าก็เอาแผนที่แผ่นเล็กซึ่งเป็นของปัจจุบันออกมา ที่บ้านของคุณโรเวิร์ตนั้นมีแค่แผนที่จากเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ดังนั้นจึงไม่ค่อยละเอียดมากนัก
แต่แผนที่นี้ถึงจะมองเห็นแค่ในส่วนของฟาเรเรีย แต่ก็ค่อนข้างละเอียดเลย งี้นี่เอง จำได้แล้วในแผนที่เก่าจะมีเมืองหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ แสดงว่าที่อยู่ด้านนอกตอนนี้ก็คือเมืองนั้นที่ยังอยู่มาถึงสินะ
แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันสังเกตเห็น แม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลไปทั่วทั้งเมือง ไม่สิ ต้องบอกว่าเมืองสร้างขึ้นมาล้อมรอบแม่น้ำเหล่านั้นมากกว่า นี่เองก็เป็นสิ่งที่เพิ่มมาจากแผนที่เก่า
พวกเราลัดเลาะแม่น้ำไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงคฤหาสน์หลังยักษ์ ทำเอาของคุณโรเวิร์ตเป็นของเด็กเล่นไปเลย และการที่รถของเราหยุดเคลื่อนที่ก็หมายความว่านี่คือที่อยู่ของดาริก ซึ่งก็จะเป็นที่อยู่ของพวกเราเช่นกัน
และเขาก็เดินมารับพวกเราถึงหน้าทางเข้าด้วยตนเองเลย
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่คฤหาสน์อันเก่าแก่แห่งตระกูลคาสทอร์ ลูกศิษย์ของฉัน”
คิดไปเองรึเปล่าว่ามันดูยิ่งใหญ่แปลก ๆ …ตอนนี้มีทั้งเมดและพ่อบ้านยืนเรียงแถวยาวตั้งแต่รั้วคฤหาสน์ไปจนถึงหน้าประตู ทั้งยังโค้งหัวให้อย่างเคารพ
เหมือนว่าไม่ใช่แค่ฉันที่รู้สึก เคียร่าเองก็เหมือนกัน เลยกลายเป็นภาพที่พวกเรานิ่งเงียบมองเขาด้วยความตกตะลึง นั่นทำให้ดาริกลดความตื่นเต้นลงและทำท่าทางครุ่นคิด
“หรือว่ายังไม่พอเหรอ…ดูไม่ตื่นเต้นเลยนะ”
“มากเกินไปต่างหากครับท่าน…”
ในขณะที่เขากำลังคิดหนักอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงหนึ่งเรียกเข้าจากด้านหลัง เป็นเสียงของชายแก้ที่ดูมีอายุมาก เมื่อหันไปมองก็เจอกับชายใส่ชุดพ่อบ้าน ซึ่งมีผมและเคราสีขาวแสดงให้ถึงความอาวุโส
เขานั้นถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจให้กับดาริก
“ต้องขออภัยแทนนายท่านด้วยนะครับ เขาค่อนข้างที่จะตื่นเต้นกับการมีลูกศิษย์เป็นของตนเอง”
ว่าแล้วชายคนนั้นก็เข้ามาพูดกับพวกเรา ซึ่งเคียร่าเกร็งร่างของตัวเองขึ้นมาทันที
“มะ- ไม่เลยค่ะ การที่ได้รับการต้อนรับแบบนี้ก็…น่ายินดีจริง ๆ ค่ะ”
ทันใดนั้นดาริกก็กลับมายิ้มอย่างร่าเริง แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ ตอนนี้เขาเหมือนกับเด็กไม่มีผิด ถ้าดีดแล้วก็โวยวายอีกหน่อยน่าจะเหมือนกับแฟร์เลย
จากนั้นเขาก็พาพวกเราเดินให้ทั่วคฤหาสน์ โดยมีพ่อบ้านคนเมื่อกี้คอยเดินตามโดยกุมหัวด้วยความเหนื่อยใจ อ๊ะ เมื่อกี้พึ่งนำตัวว่ามีชื่อ โมบิล เป็นพ่อบ้านที่รับใช้ตระกูลนี้มานานมาก
แล้วพวกเราก็ใช้เวลาอย่างมากในการเดินในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่ โดยรวมแล้วฉันก็จำได้แค่ห้องที่พวกเราต้องอยู่ ซึ่งใหญ่มากกกก
น่าจะใหญ่กว่าห้องรับรองในบ้านหลังเก่าซะอีก แถมยังมีเตียงขนาดใหญ่…แต่ก็แอบทำให้ฉันยิ้มนิดหน่อย เพราะว่าพอตัวโตขึ้นฉันก็นอนบนเตียงกับเคียร่าไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าเป็นเตียงนี้ละก็สบายหายห่วง!! ต่อมาก็คือสวนในคฤหาสน์ เป็นสวนที่มีต้นไม้และดอกไม้ตกแต่งอยู่อย่างสวยงาม และกว้างขวางพอที่จะให้ไปวิ่งเล่นได้
และสุดท้ายคือห้องทานอาหาร ที่นี่มีประเพณีทานข้าวร่วมกันบนโต๊ะขนาดยาวที่สามารถนั่งได้หลายคน แต่พูดถึงแล้วสมกับเป็นคฤหาสน์ของขุนนางเก่าแก่
ทั้งสวยแล้วก็ดูแข็งแรงมากเลย แต่ว่าคงต้องใช้เวลาสักหน่อยถึงจะชินและทำตัวตามสบายได้ และสิ่งแรกที่พวกเราต้องเผชิญเลยก็คือ…
การทานข้าวร่วมกับดาริกนั่นเอง
“ว่าแล้วก็ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือครอบครัวของฉัน เริ่มจากภรรยา วาริเคีย แล้วก็ลูกสาว คลิฟ”
ว่าแล้วพวกเราที่ได้เจอกันครั้งแรกก็ทำความเคารพ ยกเว้นฉันที่ไม่รู้จะทำยังไงจึงยืนมองอยู่เฉย ๆ วาริเคียเป็นสาวสวยแบบผู้ใหญ่ที่รวบผมกลัดไว้ด้านหลังอย่างสวยงาม
ในขณะที่คลิฟผู้เป็นลูกสาวนั้นหน้าตาน่ารักและตัวเล็กกว่าเคียร่าซะอีก มีผมสีทองตรงยาวดวงตากลมสีฟ้าแผ่ออร่าผู้ดี แต่ก็ยังดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนัก จึงจ้องพวกเราด้วยความสนอกสนใจ โดยเฉพาะเวลามองมาที่ฉัน
“ยินดีที่ได้รู้จัก เคียร่าค่ะ ส่วนเด็กคนนี้ริเกล”
ว่าแล้วการแนะนำตัวอย่างง่ายก็เป็นไปได้โดยไม่มีปัญหา แล้วพวกเราก็ร่วมโต๊ะอาหารกัน…ตอนแรกแอบกังวลว่าเคียร่าจะเป็นอะไรรึเปล่า ถ้าหากเธอที่ไม่เคยร่วมโต๊ะกับขุนนางมาก่อนจะรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารรึเปล่า
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ฉันกังวลไปเอง เคียร่าสามารถแสดงท่าทีเรียบร้อยได้อย่างสง่างาม ว้าว สุดยอดแล้วสมกับที่เป็นเคียร่า
ตอนนี้ฉันก็เผลอยืดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจอีกครั้ง เพราะในตอนนี้แม้แต่ดาริกและวาริเคียก็ตกใจกับเคียร่า คงเป็นเรื่องคาดไม่ถึงที่เคียร่าจะเรียบร้อยได้ขนาดนี้
แม้แต่คลิฟก็ยังจ้องและตาเป็นประกาย ก่อนจะพยายามเลียนแบบเคียร่า ซึ่งไปได้ไม่สวยนักทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ดูเหมือนว่าบททดสอบแรกที่ดาริกต้องการให้เคียร่าแสดงให้ดูก็ผ่านไปได้อย่างสบาย และพวกเราก็ให้พักผ่อนอยู่ในห้อง รอให้ฟื้นความเหนื่อยจากการเดินทางก่อนค่อยคุยกันเรื่องต่อจากนี้
“ดูท่าจะเป็นได้สวยเนอะ”
‘อื้ม! สมกับที่เป็นเคียร่า!’
ฉันตอบเธอกลับไปด้วยเสียงใสพลางสบายปีกอย่างร่าเริง เคียร่าเองก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะล้มตัวลงนอนกับเตียง ตอนนี้เธอไม่ได้ใส่ชุดแบบสามัญชนตามปกติ แต่ว่าเป็นชุดของพวกขุนนางที่พอดีตัวและขยับง่าย
ตอนนี้เคียร่าเองก็ดูน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง
“เมื่อกี้ลองถามคุณโมบิลมา เหมือนว่าการเรียนในฐานะศิษย์ของเขาจะเริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลย”
เคียร่าชวนฉันคุยแบบนั้นก่อนจะเล่าสิ่งที่เราต้องเจอกันต่อจากนี้ อย่างแรกเลยทั้งเคียร่าทั้งฉันจะต้องเรียนมารยาทสังคมของขุนนาง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญและพื้นฐานที่สุด
ฉันเองก็ต้องฝึกไว้ด้วยเช่นกัน ไม่งั้นถ้าฉันแสดงมารยาทไม่ดีคนที่จะโดนตำหนิคือเคียร่า เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เพราะว่าการดุมังกรไปก็ไร้ความหมาย พวกเขาจึงเลือกดุคนที่ดูแลแทน
ต่อมาเคียร่าก็ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ ชนชั้น สังคม และการปกครองไว้สักหน่อย พวกนี้จะจำเป็นในการใช้เรียนในโรงเรียนหลวง
ส่วนฉันก็ฟังพอผ่าน ๆ กับเคียร่าเหมือนเดิม แล้วก็ที่เพิ่มเติมคือการขี่มังกร คราวนี้พอได้ฟังแล้วฉันก็เบ้ปากทันที เพราะว่ามันต้องใส่อานและบังเหียนไว้คุมตอนขี่
ไม่อยากเลยง่ะ แค่คิดว่าต้องมีอะไรมาใส่เยอะ ๆ ก็รู้สึกเคืองแล้ว ฉันจึงได้แต่นอนดิ้นไปมาเพราะว่าไม่พอใจ แต่เคียร่าก็ทำเพียงหัวเราะแล้วบอกว่าทำใจเถอะ
โธ่ เคียร่าโหดร้าย…แล้วสุดท้ายพวกเราก็ทนความเหนื่อยล้าจากเดินทางไม่ไหว และหลับกันไปในที่นอนแสนสบาย…
————— —————–
(บทส่งท้าย)
“…ทราบแล้วค่ะ ถ้างั้นก็ขอตัวนะคะ”
เสียงของหญิงสาวพูดจบก็ตามด้วยเสียงของประตูที่ปิดลง ใบหน้าของผู้ที่ก้าวเท้าออกมานั้นเป็นเช่นไรกันนะ จะตกตะลึง เศร้าโศก หรือโกรธเกรี้ยวกัน
ตอนนี้ฉันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่นะ
“พี่เคียร่า!”
ฉันสะดุ้งอีกครั้งและส่ายหน้าเบา ๆ ให้กลับมายิ้มอย่างอ่อนโยนตามปกติ และหันไปมองต้นเสียงใสของเด็กสาว คลิฟลูกสาวของอาจารย์ที่อายุห่างจากฉันถึงห้าปี กำลังวิ่งเข้ามาหาฉันอย่างร่าเริง
พร้อมทั้งชูกระดาษที่มีรูปวาดอยู่ให้ดู เด็กคนนี้ชอบวาดรูปมากเป็นพิเศษเลยล่ะ
“สุดยอดไปเลย รูปของเธอมองกี่ทีก็สวยจริง ๆ ”
ฉันพูดชมออกไปจากใจจริงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน พร้อมทั้งยื่นมือที่ใส่ชุดเกราะไปลูบหัวของเธอ แค่การขยับตัวของฉันนั้นก็มีเสียงของโลหะดังกระทบกันไปหมด
เพราะต้องมาเพราะเรื่องที่ทางการจึงต้องใส่ชุดแบบเต็มยศ ชุดของอัศวินที่เป็นเกราะหนาคลุมแทบทั้งตัว มีเพียงแค่ต้นแขนและต้นขาเท่านั้นที่ไม่มีโลหะ หากแต่ก็มีเกราะโซ่อย่างง่ายคลุมไว้ด้านในอยู่ดี
มันคือชุดอัศวินของประเทศฟาเรเรีย ส่วนหมวกนั้นไม่ได้ใส่แต่ว่าถือไว้ด้านซ้ายมือของลำตัว
“อืม! แล้วพี่เคียร่ามีธุระกับท่านพ่อเหรอ?”
“นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปพักผ่อนก่อนได้ไหม”
“อือ เข้าใจแล้ว!”
ว่าแล้วคลิฟก็วิ่งกลับไปที่ทางเดิมอย่างร่าเริง พอเห็นเด็กที่มีรอยยิ้มร่าเริงและสดใสก็ชวนให้รู้สึกปวดใจขึ้นมา ฉันหันตัวไปคนละด้านกับเธอแล้วตรงไปที่ห้องพักของตนเองในคฤหาสน์คาสทอร์ ที่ไม่ได้อยู่บ่อยเหมือนเมื่อก่อน
สงครามเริ่มขึ้นแล้ว
‘เกร๊ง เกร๊ง’
ในขณะที่ฉันกำลังถอดเสื้อเกราะหนาเตอะภายในห้องนอน ก็มีเสียงกระจกถูกกระทบแทรกมากับเสียงถอดชุดเกาะ ฉันไม่แสดงความตกใจออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงความผ่อนคลายและสบายใจแสดงออกมา
ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างของห้องและเปิดผ้าม่านขึ้น
“กรร…”
เสียงคำรามเบา ๆ จากลำคอ พร้อมทั้งดวงตาที่หรี่ลงและคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทำให้รู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังแสดงความเป็นห่วงฉันอยู่
ฉันจึงยิ้มออกมาแต่ไม่ปิดบังความลำบากใจและเหนื่อยแม้แต่น้อย ก่อนจะเปิดหน้าต่างออกไปลูกหัวเจ้ามังกรตัวยักษ์ที่นิสัยยังคงเหมือนหมาน้อยเช่นเดิม ริเกลนั่นเอง
“ฉันไม่เป็นไร…แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ตอนนี้ริเกลตัวใหญ่ขึ้นมากจนไม่สามารถเข้ามาในอาคารด้วยกันได้อีกแล้ว ฉันบอกให้เธอไปพักผ่อนก่อน ริเกลจึงทำท่าไม่พอใจ แต่ก็ยอมถอยไปนอนขดตัวที่พื้นแต่โดยดี น่ารักไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ
“…”
ฉันที่ตัดสินใจไม่ปิดม่านเพื่อให้เธอมองเห็นนั้นหยิบจดหมายแผ่นหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่านซ้ำ เป็นจดหมายเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนจากแฟร์
เพียงแค่ตัวอักษรไม่กี่บรรทัดก็สามารถดึงให้ฉันอมยิ้มอย่างมีความสุขออกมา บนโลกนี้สิ่งที่จะทำให้ฉันผ่อนคลายได้คงมีความน่ารักของริเกลกับคลิฟ แล้วก็จดหมายจากแฟร์นี่แหละนะ
ถึงแม้จดหมายของแฟร์จะชวนให้รู้สึกดีอีกแบบที่ต่างออกไปก็เถอะ…
“แต่ว่าสงคราม…งั้นเหรอ”
ฉันทิ้งตัวลงนอนที่เตียงและใช้มือพาดหน้าผากของตัวเอง เป็นข่าวที่ชวนให้รู้สึกใจหายจริง ๆ หลังได้รับการยอมรับจากโบสถ์ก็เจอนี่เหรอ…
ไม่ปล่อยให้สบายเลยแฮะ…เจ้าชีวิตที่สองนี่
-ปีศักราชวารุนที่ 1,692 เดือนที่ 7 ของปี สงครามระหว่างประเทศฟัวกราและฟาเรเรีย อันเป็นหนึ่งในสงครามที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
———- ————
(มุมคนเขียน)
จบแล้วค่ะสำหรับน้องริเกลภาค 1!!แรกเริ่มเลยก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ แล้วก็ถ้าหลังจากนี้จะติดตามภาค 2 ต่อด้วยก็จะดีใจมาก ๆ ค่ะ!!
รู้สึกเนื้อหามันไปไวอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ภาค 1 นี่จบไวขนาดนี้เชียว…ทำเอาแอบกังวลว่าตัวเองเผลอเร่งเนื้อหาไปจริง ๆ รึเปล่าเลยค่ะ (ฮา)
ถ้ารู้สึกตรงไหนเร่งไป ตามไม่ทัน หรือไม่เข้าสามารถบอกได้นะคะ แต่ว่าอาจจะไม่ได้ปรับแก้ในทันที แต่จะนำไปปรับปรุงตอนรวมเล่มค่ะ ซึ่งคงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้เนื่องด้วยธุระและหลายอย่างที่รุมเร้า…
ดังนั้นเพราะเหตุผลดังกล่าวที่ว่าไป นิยายเรื่องนี้ภาค 2 ก็อาจจะเว้นช่วงไปสักหน่อยนะคะ เพราะว่าจะมาเขียนต่อหลังจากที่จัดการหลาย ๆ อย่างให้เข้าที่เข้าทาง
และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเรื่องนี้อาจจะจบบริบูรณ์ในภาค 2 เลย ดังนั้นจะทำรวมเล่มทีเดียวหลังจากนั้นค่ะ อันนี้เป็นแผนคร่าว ๆ นะคะ แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ในอนาคต (ฮา)
แต่ว่าการเว้นช่วงไม่ได้มีแต่ข้อเสียหรอกค่ะ!! ถ้าคิดในแง่ดีแล้วเราก็จะได้มีเวลาเก็บเงินสำหรับจ้างออกแบบมังกรเพิ่มขึ้น แล้วก็มีมังกรที่หลากหลายยิ่งกว่านี้ค่ะ!!
มีมังกรในเนื้อเรื่องเยอะแต่ไม่มีภาพมันไม่จุใจนิเนอะ อืม ๆ …ต่อให้ทุกคนไม่อยากได้เราก็อยากได้ค่ะ!!ได้เห็นมังกรที่มีเฉพาะในเรื่องของเราเป็นเอกลักษณ์แบบนี้มันสุดยอดจริง ๆ ค่ะ ถึงจะแลกมาด้วยเงินในกระเป๋าที่แห้งก็ตาม (ฮา)
เพราะแต่เดิมก็ใช้แค่เงินเก็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อย ๆ จ้างเอา สมชื่อนิยายคลายเครียดจริง ๆ ค่ะ มีแต่อะไรที่เยียวยาจิตใจเราเต็มไปหมดเลย (ถ้าไม่นับเรื่องเงิน…)
อะ พอได้โม้แบบนี้แล้วก็เผลอไหลไปเรื่อยเลยค่ะ ขออภัย (ขำแห้ง) กลับมาที่เรื่องเดิม เราไม่คิดจะหายไปดื้อ ๆ หรอกค่ะ คิดว่าระหว่างที่ยังไม่ออกภาค 2 จะมีเขียนภาคพิเศษบ้างเป็นครั้งคราว
อาจจะไม่ได้ลงรัว ๆ แต่เขียนแค่ตอนว่าง ๆ เหงา ๆ แต่จะลงเพื่อกันไม่ให้ทุกคนลืมนิยายเรื่องนี้ค่ะ จะพยายาม…
ภาคพิเศษนี้นั้นเปลี่ยนตัวหลักเดินเรื่องค่ะ!! เป็นคนที่มีบทค่อนข้างสำคัญในเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็จะเป็นตัวละครสำคัญมาก ๆ ในอนาคตด้วย
จะเป็นเรื่องราวของใครนั้นก็รอลุ้นและติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาอ่านแล้วเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรายิ้มกับนิยายเรื่องนี้ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ!!
//ภาพริเกลตอนโต