ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 16: สิ่งที่ฉันอยากทำ
หลังจากวันที่เราโดนโจมตีก็ผ่านไปได้ 1 สัปดาห์ คนต่างเมืองที่เคลื่อนไหลวตามข่าวลือก็มาถึง ทุกคนแสดงจุดประสงค์ชัดเจนว่าอยากเจอกับฉัน หรือแม้แต่ร่องรอยการโจมตีของไคซารัส
ถามจริง ของแบบนั้นมีอะไรให้น่าสนใจกัน แถมยังมีคนที่ท่าทางเหมือนเป็นนักบวชมาอีก เห็นพูดอย่างปลื้มปีติว่าได้เห็นร่องรอยของพระเจ้าแหนะ…
ก็นะ สำหรับศาสนาวารุนแล้วไคซารัสถือว่าเป็นเทพสูงสุดนี่นา แต่พวกนักบวชน่ะไม่เท่าไหร่หรอก ที่กวนใจจริง ๆ น่ะ…
“โอ้!ไม่น่าเชื่อ ช่างเป็นมังกรที่สง่างามอะไรเช่นนี้”
มีขุนนางหน้าตาไม่น่าเชื่อถือเดินวนพูดรอบตัวฉัน พร้อมทั้งสีหน้าชื่นชม โดยที่ในห้องตอนนี้มีแค่ฉันกับเคียร่าที่อยู่ด้วย เพราะคุณโรเวิร์ตนั้นมีงานกะทันหัน
และชายคนนี้ก็ค่อนข้างเสียมารยาท เห็นได้จากตอนที่โรเวิร์ตพยายามบอกให้รอก่อน เขาก็ยังดึงดันจะพบกับฉัน แถมยังเมินเคียร่าอีก น่าหงุดหงิดจริง
“ถ้าได้เจ้ามาครอบครอง จะต้องได้ยศและชื่อเสียงอีกเป็นเท่าตัวแน่”
“คุณจะทำอะไรน่ะ!”
ชายขุนนางพูดด้วยสีหน้าที่กระหายอำนาจ พลางยื่นมือทำท่าจะจับฉัน ซึ่งแน่นอนว่าเคียร่านั้นเข้ามาขวางเอาไว้ ทำให้ชายคนนั้นหันหน้าไปมองเธอด้วยความไม่พอใจ
“บังอาจนัก! ไม่รู้รึว่าฉันเป็นใคร หัดเจียมตัวซะบ้างเจ้าสามัญชน!!”
เมื่อโดนต้อนด้วยคำพูดแบบนั้น เคียร่าก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้วแสดงสีหน้าเจ็บใจออกมา ก่อนจะนิ่งเงียบและบอกว่า ขอโทษค่ะ อย่างแผ่วเบา
ฮึ่ม หงุดหงิดจริง
‘อย่ามายุ่งกับเคียร่านะ!!’
ฉันคำรามออกไปอย่างดุดันเพื่อไล่เขาให้ออกห่างจากตัว และรีบวิ่งไปหาเคียร่าก่อนจะตั้งท่าขวางเอาไว้ ก่อนจะแยกเขี้ยวขู่ออกมาอย่างชัดเจน
เมื่อเจอท่าทีต่อต้านอย่าง ชัดเจน พร้อมทั้งร่างที่ค่อนข้างน่าเกรงขามแบบนี้ อีกฝ่ายเลยแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“กะ- แก!! รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป! หันคมเขี้ยวใส่ขุนนางก็เท่ากับว่าเป็นกบฏ นะ!!”
เมื่อได้ยินคำขู่แบบนั้น เคียร่าก็แสดงสีหน้าวิตกออกมาอย่างชัดเจน…ต่างจากฉันที่จ้องไปที่ดวงตาขุนนางไม่ปล่อย และกางปีกกันไม่ให้เคียร่ามาขวาง
และเหลือบไปมองเธอ ดวงตาของเราทั้งคู่ประสานจับจ้องหากัน และฉันก็พยักหน้าให้เป็นการส่งสัญญาณเล็ก ๆ ที่มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้
เคียร่าก็ดึงสติตัวเองกลับมาเล็กน้อย ก่อนจะตั้งมั่นมองกลับไปที่ขุนนาง ฉันเองก็แสร้งว่าจะทำท่าโจมตีเขาเช่นกัน
“ขออภัยในความหยาบคายค่ะ แต่ว่าฉันไม่ได้ออกคำสั่งริเกล…มังกรตัวนี้เลยแม้แต่น้อยค่ะ เธอเคลื่อนไหวด้วยความต้องการของตนเอง…ถ้าข่าวที่ท่านทำให้ ‘ว่าที่มังกรศักดิ์สิทธิ์’ โกรธเข้าแพร่สะพัดไปล่ะก็…คงลำบากไม่น้อยเลยนะคะ”
เมื่อฉันเป็นคนเคลื่อนไหว สถานการณ์ก็ต่างออกไปอย่างชัดเจน กลายเป็นว่าทางนั้นโดนปั่นหัวและขู่ให้กลัวซะแทน
และใช่…ตอนนี้ฉันได้ชื่อ ‘ว่าที่มังกรศักดิ์สิทธิ์’ มาจากทางศาสนาวารุน เพราะต่อให้หาเหตุผลของไคซารัสไม่ได้ ว่าทำไปเพื่ออะไร และต้องการอะไร
แต่ความจริงที่ฉันเป็นเป้าหมายของมังกรพิภพ เฟรริเคีย ก็เป็นความจริง แถมยังมีคนเล่าไปว่าฉันได้พูดคุยทั้งยังไล่อีกฝ่ายกลับไปได้อีก จึงมีข่าวลือว่าฉันเกี่ยวข้องกระจายไปทั่ว
และในที่สุดก็ได้ชื่อนี้มา…ดังนั้นสถานะตอนนี้ของฉันถึงจะพูดยากและซับซ้อนนิดหน่อย แต่ก็ถือว่ามีอำนาจพอควร
มีมากพอที่จะทำให้ขุนนางที่หวังผลประโยชน์อย่างเขาหวาดกลัว และหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย…นั่นทำให้พวกเราได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และฉันก็ผ่อนคลายลง
“เหนื่อยหน่อยนะ…”
‘เธอนั่นแหละ…’
เราสองคนได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กันแม้จะไม่มีทางได้ยินสิ่งที่อยากบอกก็เถอะ แต่ฉันก็เริ่มเข้าใจที่ดีอาร์เคยบอก ว่าพวกเราจะสื่อใจถึงกันได้อยู่ดี
แต่นั่นก็ไม่ใช่กับคนอื่น ฉันไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือบอกอะไรกับใครได้ และต้องพึ่งการกระทำของเคียร่าช่วยสื่อแทน
แต่อย่างกับว่าเล่นตลก เพราะพอมันออกมาจากปากของเคียร่าดันแทบไม่มีค่าอะไรเลย ไม่มีใครให้ค่ากับคำพูดของเคียร่า อย่างชายเมื่อกี้พูด
เธอเป็นแค่สามัญชนอีกฝ่ายเป็นขุนนาง ค่านิยมโลกนี้ยังไงอย่างเคียร่าก็ไม่มีปากเสียงอะไรทั้งนั้น…เพราะงั้นฉันต้องคอยเป็นตัวปกป้องเธอ
ว่าไงดี เป็นเรื่องที่พออธิบายแล้วยุ่งยากกว่าที่คิดแฮะ
“พอได้ยินเรื่องมาคร่าว ๆ แล้วล่ะ ต้องขอโทษด้วยนะ”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่ความผิดของโรเวิร์ตหรอกค่ะ”
เมื่อคุณโรเวิร์ตกลับมาก็ขอโทษสิ่งที่ชายคนเมื่อกี้ทำไปในทันที ถึงใจจริงจะรู้ก็เถอะ ว่าขอโทษในหลาย ๆ เรื่อง ถึงอาจจะไม่ได้ออกหน้าเหมือนฉัน แต่คุณโรเวิร์ตก็ช่วยเธออยู่ในเงามืด
ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอก ต่างฝ่ายต่างก็พยายามทำสิ่งที่ทำได้กันเต็มที่แล้ว…ใช่เต็มที่แล้ว
“แล้วก็นะเคียร่า อาจจะกะทันหันไปหน่อยแต่มีเรื่องที่ต้องบอกเธอเอาไว้”
“…ค่ะ”
เมื่อจู่ ๆ เขาก็ทำสีหน้าจริงจังและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม เคียร่าก็ตั้งใจฟังทันที ชวนให้บรรยากาศในห้องมันอึดอัดขึ้นกะทันหัน
ฉันเองก็ตั้งใจฟังทุกคำพูดเหมือนกัน
“ช่วงนี้…พยายามอย่าออกไปนอกหมู่บ้านนะ ไม่สิ ถ้าให้ดีทั้งครอบครัวเจ้าอย่าออกจากบ้านเลยดีกว่า”
“เอ๊ะ ทำไมเหรอคะ”
เมื่อได้ยินคำที่ไม่คาดฝันทั้งฉันทั้งเคียร่าก็ทำสีหน้างงทันที แล้วก็เอียงคอมองด้วยความสงสัย แต่สีหน้าของเขายิ่งตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ตอนนี้ถึงจะไม่ได้สังเกต แต่รอบหมู่บ้านนี้มีกองกำลังซุ่มอยู่เต็มไปหมด ข้าเองก็ส่งทหารในสังกัดคอยคุ้มกันไว้แล้ว แต่นับวันสถานการณ์ยิ่งแย่ อาจเกิดการปะทะกันขึ้นเร็ว ๆ นี้”
สีหน้าของคุณโรเวิร์ตนั้นน่ากลัวอย่างเห็นได้ชัด เคียร่าเองก็เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หยุดไปและทำสีหน้าหลากหลาย
ในตอนแรกก็ตกใจจนเปิดตากว้าง ก่อนจะหลบตาไปอีกทางราวกับจะร้องไห้ และสุดท้ายก็กัดฟันกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ
ส่วนฉัน…ทำได้แค่สีหน้าเป็นห่วงเธออยู่ห่าง ๆ นี่ฉัน…ทำเต็มที่ที่สุดแล้วเหรอ? ถ้าฉันทำดีที่สุดแล้ว…ทำไมทั้งคุณโรเวิร์ตทั้งเคียร่ายังต้องลำบากโดยมีฉันเป็นสาเหตุ
ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้เลยเหรอ…สุดท้ายถึงจะเป็นมังกร แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของมนุษย์สินะ
“เพราะงั้นกลับไปอยู่ที่บ้านเถอะ ความปลอดภัยของพวกเจ้าในหมู่บ้านสำคัญที่สุด ข้าสัญญา”
คุณโรเวิร์ตที่ลุกขึ้นก็เดินเข้ามาจับไหล่ของเคียร่าแน่น เป็นการให้สัญญาอย่างง่ายสำหรับเขา และหลังจากนั้นพวกเราก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ของคุณโรเวิร์ต
ที่ก่อนหน้านี้ใช้เป็นห้องสมุดเข้าได้ตลอดเวลา แต่ว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ที่มีทหารเฝ้าอย่างหนาแน่น กลายเป็นที่สำคัญไปโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว
…พอออกมาข้างนอกก็ได้กลิ่นแปลกจริง ๆ รู้สึกได้เลยว่ามีคนจ้องตัวเองอยู่ เคียร่าไม่รู้สึกตัวเลยสินะเพราะเธอดูไม่ระวังตัวแม้แต่น้อยเลย
ไม่มีอะไรที่ฉันทำได้จริงเหรอ ไม่สิ ฉันอยากทำอะไรสักอย่างมากกว่า…อา!! ไอ้ที่เคยมีชีวิตแล้วก็เรียนมาตลอดในชาติก่อนเอามาใช้ในตอนนี้ไม่ได้เลยรึไงนะ!!
และพวกเราก็เข้านอนโดยที่ยังคงคิดเรื่องนั้นอยู่ กลิ่นตุที่หมายถึงความมุ่งร้ายยิ่งแรงยิ่งขึ้น ความรู้สึกไม่สบายตัวก็มากยิ่งขึ้นจนนอนไม่ลง
ได้ยินเสียงหายใจเบา ๆ มาจากเคียร่า หลับไปซะแล้วเหรอ ปกติเธอจะหลับที่หลังฉันแท้ ๆ แต่วันนี้มันกลับกันอย่างแปลก ๆ แฮะ
อ๊ะ หน้าเคียร่าตอนหลับน่ารักดีแฮะ
‘พรึบ’
ร่างกายของฉันสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมีเสียงดังเข้ามาในหู แต่เสียงมันเบามากจนไม่มีใครรู้สึกตัวเลย มาจากในป่าสินะ…
ฉันลุกขึ้นให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เคียร่าตื่น และมองไปนอกหน้าต่าง…เมื่อเพ่งมองออกไปดี ๆ ก็พบกับเปลวไฟสีส้ม เป็นทางยาวในป่า
ดูท่าไม่ได้ไหม้ถ้างั้นก็คงเดาว่าเป็นคบเพลิง เวลาป่านนี้มีคนถือคบเพลิงเยอะจังแฮะทำอะไรกันนะ…
‘อาจจะเกิดการปะทะเร็ว ๆ นี้’
และคำพูดของคุณโรเวิร์ตก็ย้อนกลับมาในหัว ทำให้ฉันสลัดความมึนงงปนง่วงเล็กน้อยออกไปทันที และเปิดตากว้าง อย่าบอกนะว่า!!
ในตอนนั้นเองฉันก็ตัดสินใจ เปิดหน้าต่างออกและจะปีนออกไปด้านนอก ในตอนนั้นเองร่างของเคียร่าที่อยู่ในผ้าห่มก็ขยับ
“อืม…ริเกล…”
เธอนอนละเมอแล้วพลิกตัวเรียกหาฉัน และเพราะไม่มีร่างที่หาอยู่ในตอนนี้สีหน้าเธอแม้จะหลับแต่ก็กังวล แถมยังดิ้นจนผ้าห่มหลุดออก…
โธ่ แบบนั้นเดี๋ยวก็ไข้ขึ้นหรอก เด็กน่ะร่างกายอ่อนแอมากนะรู้ไหม ฉันคิดแบบนั้นในใจแล้วไม่เปล่งเสียงออกมา แต่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
รู้สึกหัวใจสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันเดินมุ่งไปหาเธอและใช้ปากคาบผ้าห่มให้ขึ้นมาห่มตัวเธอไว้ สีหน้าของเคียร่าสงบขึ้นและผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน ฉันเองก็เช่นกัน
‘เดี๋ยวกลับมานะ…ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากทำเหมือนกัน’
ฉันใช้หัวเข้าไปถูแก้มของเคียร่าและพึมพำเบา ๆ เพื่อให้เธอไม่ตื่น เธอเองก็งึมงำราวกับกำลังจมอยู่ฝันหวาน แน่นอนว่าฉันเองก็ผละร่างออกมาและโดดออกนอกหน้าต่างไป
โดยได้ยินเสียงพึมพำที่แผ่วเบาไล่หลังมา
“จะรอนะคะ…พี่”
พี่? เคียร่าเป็นลูกคนเดียวหนิ นั่นหมายความว่าไง? แต่แน่นอนว่าฉันในตอนนี้นั้นยังไม่สนใจ และมุ่งหน้าไปหาจุดที่เห็นคบเพลิงทันที
ถึงจะมองเห็นได้จากในบ้าน แต่นั่นก็เป็นสายตาของมังกร ที่จริงแล้วมันอยู่ในป่าลึกด้วยซ้ำเลยต้องลุยป่าไป เป็นครั้งแรกเลยที่เข้ามาในป่านตอนมืด ๆ
แต่ช่วงเวลาปีนึงทำให้ค่อนข้างชินทางในป่า แล้ววิ่งไปได้อย่างไม่มีปัญหาแต่เมื่อเข้าใกล้ในระดับนึงก็ต้องหยุดชะงักลง…กลิ่นเลือด
เริ่มปะทะกันแล้วเหรอ!?
“โอ้!!”
‘เกร๊ง’
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตัดสินใจอะไร ก็ได้ยินเสียงคนโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม เสียงของโลหะปะทะกัน และกลิ่นของเลือดกับของไหม้ที่ยิ่งโหมกระหน่ำ
เหมือนว่าจะมาไม่ทันฉันจึงหาที่ซ่อนและเข้าไปโดยไม่ให้คนอื่นรู้สึกตัว จนในที่สุดก็เข้าใกล้เสียงเอะอะโวยวายมากขึ้นจึงได้เห็น…สนามรบ
ไม่รู้ว่าสนามรบของจริงจะหนักกว่านี้รึเปล่า แต่ฉันก็อยากจะเรียกภาพตรงหน้าว่าสนามรบ
มีคนจำนวนมากกำลังปะทะกันอยู่ เพราะสนามเป็นในป่าจึงจะมองเห็นไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ได้เลยว่าจำนวนค่อนข้างเยอะ…ที่เยอะกว่าจะเป็นคนใส่ชุดเพราะอย่างดี คงเป็นทหารส่วนตัวของคุณโรเวิร์ต
อีกฝ่ายที่ถือคบเพลิงไว้ในมือนั้นใส่ชุดที่ดูเก่า จะว่าชาวบ้านชุดก็ดูแย่เกินไปคงจะเป็นโจรล่ะมั้ง แต่ถึงกระนั้นพวกอาวุธและอุปกรณ์ก็ดูดีจนน่าสงสัย
แต่ดูท่าทางฝั่งทหารก็กำลังได้เปรียบและไล่ต้อนอีกฝ่ายกลับไป ก็แหงล่ะ ทุกอย่างพร้อมที่ก็คุ้น แถมยังจำนวนเยอะกว่าอีก ถ้าเจอกันซึ่ง ๆ หน้าก็คงชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถอย! ถอยยย!!”
ว่าแล้วก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากฝั่งโจร และโจรก็วิ่งหนีกันแตกกระจาย ทางฝั่งทหารเองก็ไม่รอช้า
“อย่าไปให้พวกมันหนีไปได้ ตามไป!!”
“โอ้!!”
เสียงดังฮึกเหิมของทางทหารเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจ สถานการณ์กำลังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว้าวุ่น
รู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น อยากจะตะโกนออกไปว่าอย่าตามไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำจนต้องรู้สึกเสียใจจริง ๆ เพราะว่าในวินาทีต่อมานั่นเอง…
“จุดไฟ!!”
“โอ้!!”
ฉันเบิกตากว้างและตกตะลึงกับสิ่งที่พวกนั้นทำ จริงสิ ฉันรู้สึกตัวเพราะเสียงไฟ ฉันมองเห็นคนถือคบไฟ แล้วทำไมฉันไม่คิดนะ…ว่าคบไฟจำนวนมากขนาดนั้นมันหายไปไหน?
ตอนปะทะกันไม่มีคนไหนถือคบไฟเลยด้วยซ้ำ และใช่ ตอนนี้พวกที่ถือคบไฟกำลังล้อมพวกทหารที่ตามล่าพวกเขาอยู่ ก่อนจะโยนลงบนพื้นที่เปียกชุ่ม…
วิต่อมาเพลิงสีแดงฉานก็โหมกระหน่ำอย่างน่ากลัว น้ำมัน? อย่างนี้นี่เอง ที่เปียกอยู่นั่นคือราดน้ำมันเอาไว้สินะ นี่กะจะเผาป่าให้ราบเป็นหน้ากลองเลยรึไง!!
ความรู้สึกร้อนใจที่เห็นป่าอันคุ้นเคยกำลังลุกไหม้ ถึงความเสียหายจะไม่เท่าลมหายใจของไคซารัส แต่การได้เห็นภาพตรงหน้าค่อย ๆ ไหม้หายไปมันก็เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
ทหารที่ใส่ชุดเกาะเริ่มไอและร้องอย่างทรมาน ก็นะ ถึงจะไม่ได้ใส่เพราะหนามากแต่ถ้าอยู่ท่ามกลางไฟแบบนี้ เหล็กก็คงร้อนจนรู้สึกอึดอัด
กลับกัน อีกฝ่ายที่ใส่เสื้อผ้าโทรม ๆ ก็หนีออกจากกองไฟได้อย่างรวดเร็วเพราะว่าคล่องตัวกว่า และก็มีคำสั่งต่อไป
“ไปที่หมู่บ้าน!เป้าหมายคือมังกรไม่ว่ายังไงก็ต้องจับเป็น ส่วนที่เหลือ…”
ฉันเปิดตากว้างเมื่อได้ยินว่าที่พวกนั้นทำทั้งหมดก็เพื่อฉันที่เป็นเป้าหมาย มีคนต้องตายไปเพราะมีฉันอยู่ที่นี่ เหนือสิ่งอื่นใด…
คำสั่งต่อมาทำให้ฉันโกรธจนแทบคลั่ง นั่นก็เพราะ…
“ฆ่าทิ้งซะ”
‘อย่านะ!!’
ในที่สุดฉันก็เผยตัวออกมา…พร้อมกับเสียงคำรามที่แผดดังราวกับอสูร ไม่ใช่เสียงร้องแบบเด็กเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฉัน
มีสิ่งที่อยากทำมากที่สุดแล้ว