ชีวิตรอบที่ 2 ของรุ่นพี่คาบูรากิ - ตอนที่ 7.2 คืนฝนตกกับรุ่นพี่คาบูรากิ
[ ฉันกลายเป็นฉันในตอนนี้ คือตอน ป.1 ]
รุ่นพี่พูดขึ้นหลังจากที่นั่งลงบนโซฟา เหมือนกำลังพึมพำกับตัวเอง
[ ฉันนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล หลับตา… แล้วก็ตื่นขึ้นมาในร่างของตัวเองตอนเด็กๆ ตอนแรกฉันคิดว่า ฝันไป แต่พอนานๆ เข้า ฉันก็เริ่มกลัว ฉันคิดว่า ที่นี่อาจจะเป็นสวรรค์ ]
[ สวรรค์ที่น่ากลัวเหรอครับ? ]
[ ก็… ถ้าฉันไม่แก่ ใครจะรู้ว่า ฉันคือฉันล่ะ ถูกไหม? ]
จริงด้วย ถ้าเธอเป็นเด็ก ป.1 ผมก็คงจำเธอไม่ได้
ผมนึกภาพรุ่นพี่ตอนเด็กๆ ไม่ออกเลย
[ แปลกดีนะ… ถึงเรื่องการย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กประถมจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มชินกับการสะพายกระเป๋าไปโรงเรียน การถูกคนลูบหัว และการใช้ชีวิตแบบเด็ก ๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปเลย ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ฉันยังเป็นผู้ใหญ่อยู่เลยแท้ ๆ … แต่เหมือนกับว่าตัวฉันในอดีตที่เป็นผู้ใหญ่คนนั้นจะกลายเป็นเพียงความทรงจำ ส่วนตัวฉันที่เป็นเด็กคนนี้ต่างหากที่กลายเป็นความจริงในปัจจุบันไปแล้ว ]
รุ่นพี่เล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกเหงาๆ
[ จริงๆ แล้ว ตัวฉันในครั้งแรก กับฉันในตอนนี้ ใช้ชีวิตต่างกันโดยสิ้นเชิง ]
[ เอ๊ะ? ]
[ เมื่อกี้ฉันบอกว่า ห้องนี้ ปู่ให้มา ใช่ไหม? ]
[ เป็นของขวัญที่สอบเข้า ม.ปลายได้ แล้วก็ได้รางวัลจากการเขียนนิยาย ไม่ใช่เหรอครับ? ]
[ ใช่ แต่ฉันในครั้งแรกไม่ได้เก่งขนาดที่จะได้รางวัลตอน ม.ต้น ฉันเริ่มเป็นนักเขียนตอนอายุ 50 กว่าๆ ฉันในตอนนี้เลยได้รางวัลตั้งแต่ยังเด็ก เพราะมีประสบการณ์จากครั้งก่อน ]
[ แน่นอนว่า ฉันไม่ได้ลอกเลียนแบบใครหรอกนะ ] รุ่นพี่พูดพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
ผมไม่รู้เรื่องการเขียนนิยาย แต่ผมอ่านนิยายของเธอแล้ว
ถึงผมจะเป็นแค่นักเรียนม.ปลาย แต่ผมก็รู้สึกว่านิยายของเธอมีอะไรบางอย่าง…
มุมมอง ความคิดที่ผมคาดไม่ถึง สำนวนการเรียบเรียง การใช้ภาษาที่ดึงดูดผมที่เป็นมือใหม่ให้อินไปกับเรื่องราว
ในรีวิวก็มักจะพูดถึง [เป็นผลงานที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเขียนโดยนักเรียนม.ปลาย (ม.ต้น)] ผมเข้าใจ
มันสมเหตุสมผลที่นิยายของเธอจะมีความลึกซึ้ง เพราะเธอผ่านชีวิตการเป็นนักเขียนมาแล้วรอบหนึ่ง
[ เอ๋? แต่… ปู่ให้ห้องนี้ เพราะรุ่นพี่ได้รางวัล ไม่ใช่เหรอครับ? ถ้างั้น… ] ผมถามด้วยความสงสัย
[ สมเป็นโทโมกิคุง ช่างสังเกตจังนะ แน่นอนว่าฉันในครั้งแรกไม่ได้รางวัล ไม่ได้เขียนนิยายด้วยซ้ำ แล้วปู่ก็ไม่ใช่คนที่จะรักใครแค่เพราะเป็นครอบครัว ท่านยึดติดกับผลลัพธ์… ตั้งแต่เด็กๆ ท่านก็บอกให้ฉันเป็นคนที่คู่ควรกับตระกูลคาบูรากิ ]
เหมือนกับตระกูลในมังงะเลย
ก็นะ… การที่ให้ห้องในคอนโดหรูเป็นของขวัญได้ แสดงว่าพวกเขารวยมาก ผมนึกภาพไม่ออกเลย
[ ปู่บอกว่าฉันในครั้งแรก เป็นตัวถ่วงของตระกูลคาบูรากิ ] เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
[หา?]
[ ฉันในตอนนั้นขี้อายกว่าตอนนี้มาก ฉันไม่มั่นใจในตัวเองเลย ฉันได้เรียนพิเศษหลายอย่าง แต่พอถึงเวลาสำคัญ ฉันก็ประหม่าจนทำไม่ได้ สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ]
ไม่เหมือนกับรุ่นพี่ ที่ดูมั่นใจในตัวเองเลย
แต่พอนึกถึงตอนที่เธอทำความสะอาดไม่ได้ แล้วก็เสียใจ ผมก็พอนึกภาพออก
เธอชอบโทษตัวเอง… เหมือนกับ [รุ่นพี่คาบูรากิในครั้งแรก] ที่เธอเล่า
[ พ่อแม่เป็นห่วงฉัน แต่… ปู่ก็เสียไปโดยที่ไม่ได้ยอมรับฉัน ฉันเสียใจมาก หลังจากนั้น ฉันก็กลายเป็นนักเขียน เริ่มมั่นใจในตัวเอง แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวกับปู่แล้ว ความรู้สึกเสียใจมันฝังใจฉันมาตลอด เพราะงั้น ตอนที่ฉันย้อนเวลากลับมาตอนเป็นเด็ก แล้วก็รู้ว่ามันคือเรื่องจริง… ฉันคิดว่ามันเป็นโอกาส ] น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ
[ โอกาสที่จะแก้ตัวกับปู่? ] ผมถามอย่างระมัดระวัง
[ ใช่ ฉันมีความรู้และประสบการณ์จากชีวิตในครั้งแรก แล้วก็… พรสวรรค์ที่ปู่ภาคภูมิใจ ที่สืบทอดมาในตระกูลคาบูรากิ มันทำงานร่วมกัน ฉันเลยประสบความสำเร็จมากกว่าที่คาดไว้ ]
การที่เธอได้รางวัลตอน ม.ต้น ได้ออกหนังสือ และยังเป็นนางแบบเด็ก… คงเป็นเพราะแบบนั้น
มันจริงอย่างที่เขาว่า ประสบการณ์ตอนเด็กๆ สามารถส่งผลต่อชีวิตใน
อนาคต เช่น การเรียนรู้ภาษาในช่วง “Golden Age” ที่เด็กๆ จะสามารถซึมซับได้ดีกว่า
[ ปู่ดีใจมาก ท่านตามใจฉัน รักฉัน… เหมือนเป็นคนละคนเลย ]
[ ดีแล้วนี่ครับ ] ผมพูดพลางยิ้มให้
[ ใช่… มั้ง… ] รุ่นพี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจ
ผมตัดสินใจไม่สนใจว่ามันสมเหตุสมผลรึเปล่า การที่เธอได้รับการยอมรับจากปู่ในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ครั้งแรกเธอไม่ได้รับการยอมรับ มันก็น่าจะถือว่าเป็นความสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?
แต่เธอกลับดูไม่มีความสุข สีหน้าของเธอยังคงแฝงไปด้วยความเศร้า
[ ฉันดีใจที่ปู่ดีใจ… แต่ชีวิตของฉันมันเปลี่ยนไปจากเดิม… ] เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
[ ฉันเสียใจที่ปู่ไม่ยอมรับฉันในครั้งแรก แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าชีวิตของฉันมันแย่อะไร ตรงกันข้าม ฉันมีความสุขมาก… ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ ฉันก็อยากใช้ชีวิตแบบเดิม ]
คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดลึกๆ ที่เธอกำลังแบกรับอยู่ บางสิ่งในชีวิตของเธออาจเปลี่ยนไปจนเธอไม่สามารถหวนคืนสู่สิ่งที่เคยทำให้เธอมีความสุขในอดีตได้อีกแล้ว
[ เพราะอะไรเหรอครับ…? ] ผมถามด้วยน้ำเสียงกังวล
[ ก็เพราะ… โทโมกิคุงไงล่ะ ] รุ่นพี่สบตาผม
[ เธอคอยมอง และสนับสนุนฉันมาตลอด เวลาที่ฉันอยู่กับเธอ ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ ไม่ว่าจะยุ่งหรือเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็อยากทำให้เธอมีความสุข ต่อให้ไม่มีใครอ่านนิยายของฉัน แต่ถ้าเธออ่านแล้วบอกว่า “สนุก” ฉันก็มีความสุขแล้ว… เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น ]
คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความจริงใจ
ผมพูดไม่ออก ได้แต่มองเธอ
ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดกับผม… หรือคนในอนาคตของผม
[ ฉันไม่เคยลืมเธอเลย แม้แต่วันเดียว ฉันอยากเจอเธอ แต่… ฉันกลัว ฉันกลัวว่า… การย้อนเวลา เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ อาจจะเกิดขึ้นแค่กับฉัน… เธออาจจะจำไม่ได้ ] เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ผมจำชีวิตในครั้งแรกไม่ได้
เเละผมก็ไม่รู้จักตัวผมในอนาคตที่เธอพูดถึง
[ …ขอโทษครับ ]
ผมเผลอขอโทษเธอ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการแบบนั้น แต่ผมก็ไม่มีความทรงจำร่วมกับเธอ ผมไม่เชื่อเรื่องที่เธอเล่า
[ ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก คนที่ผิดคือ… ]
รุ่นพี่พูดไม่ออก แล้วก็ส่ายหัวเบาๆ
[ …โทโมกิคุง เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม? ]
[ เอ๊ะ? พรหมลิขิต? ]
[ ใช่ เหมือนกับบันทึกอาคาชิค ที่บันทึกทุกอย่าง ตั้งแต่กำเนิดโลกจนถึง
จุดจบ ชีวิตของฉันและเธอถูกกำหนดไว้แล้วรึเปล่า? ]
[ เอ่อ… ไม่รู้สิครับ… ผมไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นจริงจังเลย ]
คนที่ใช้ชีวิตโลดโผนเหมือนในละคร อาจจะเชื่อเรื่องพรหมลิขิต
แต่สำหรับผม ที่ใช้ชีวิตธรรมดาๆ… ผมไม่ค่อยเชื่อ
แต่ผมไม่กล้าพูดแบบนั้น มันเหมือนดูถูกตัวเอง รุ่นพี่คงไม่ชอบ
[ หรือว่า…กำลังพูดเอาใจฉันอยู่หรือเปล่า? ]
[ เอ๋? ]
[ ฮิๆ ไม่เป็นไร ]
รุ่นพี่ยิ้มเหมือนรู้ทัน
[ ฉันชอบคำว่า “พรหมลิขิต” ทุกอย่างมันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นพลังลึกลับบางอย่างที่กำหนดเอาไว้ ไม่ว่าเราจะเลือกอะไร เดินไปทางไหน เราก็จะมาบรรจบกัน ถ้าเราได้เจอคนที่ใช่ เพราะพรหมลิขิต… มันคงโรแมนติกน่าดู จริงไหม? ]
เธอพูดพร้อมรอยยิ้มอันงดงาม
[ …แต่ว่านะ ]
แต่ทำไม…
[ เรื่องพรหมลิขิตอะไรนั่น ฉันไม่เชื่อหรอก ]
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า คล้ายกำลังจะร้องไห้
[ ในสายตาของเธอ ฉันเป็นแบบไหน? คาบูรากิ มิฮารุเป็นคนยังไง? ]
[ เอ๋…? ]
[ สำหรับฉัน ตอนนี้ฉันเหมือนใบไม้ที่ลอยไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก ถ้าแม่น้ำไม่กว้างขนาดนี้ ฉันคงหนีไปได้ แต่… ฉันคิดว่าฉันหนีได้ทุกเมื่อ เพราะงั้นตอนนี้ฉันจะพยายามต่อไป ต่อให้ล้มเหลว ฉันก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม… เพราะฉันในอดีตที่ไม่มีใครคาดหวัง ฉันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ]
เธอยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนเเอ
รุ่นพี่ดูเหมือนกำลังเจ็บปวด แต่ก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า [ไม่เป็นไร]
แต่เธอไม่ได้ “ไม่เป็นไร” เลย
ผมรู้สึกอยากพูดอะไรสักอย่างกับเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
[ ตอนที่ฉันสอบเข้าม.ปลาย ฉันเลือกโรงเรียนเซ็นเมย์แบบไม่ได้คิดอะไร ทั้งๆ ที่ในครั้งแรก ฉันเรียนโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่อยู่ไกลๆ เพื่อหนีจากปู่… แต่การเลือกนั้นมันคือความผิดพลาด ]
[ ผิดพลาด…? ]
[ พอขึ้นม.5 ฉันก็ต้องขึ้นไปพูดในพิธีปฐมนิเทศ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นประธานนักเรียน ฉันเป็นแค่ตัวแทนรุ่นพี่ ฉันก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันเขียนสคริปต์ธรรมดาๆ แล้วก็ขึ้นไปพูดแบบไม่ประหม่า… แล้วฉันก็เห็นเธอในกลุ่มนักเรียนใหม่ ]
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ผมสะดุดใจ
สุนทรพจน์ของรุ่นพี่ในพิธีปฐมนิเทศ… ผมจำได้
ตอนนั้น ผมเพิ่งรู้จักรุ่นพี่คาบูรากิ แล้วก็รู้สึกทึ่งที่มีคนที่คู่ควรกับคำว่า “พิเศษ” แบบนี้อยู่บนโลก
แต่…
[ เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่ชื่นชม ]
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวัง
เหมือนกับโดนหักหลัง ผมรู้สึกเจ็บปวด
[ ฉันเลือกโรงเรียนเซ็นเมย์ เพราะอาจารย์ชวน แต่… ฉันควรจะจำได้ว่าเธอเรียนที่นี่ ฉันน่าจะคิดให้ดีกว่านี้ ]
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอิจฉา
ผมที่มองเธออยู่ท่ามกลางผู้คน ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ถูกมองจะรู้สึกยังไง
แล้วสายตาของผมก็ทำร้ายรุ่นพี่
[ การเจอกันแบบนั้นมันเปลี่ยนทุกอย่าง ทำให้รู้ว่าฉันไม่มีวันได้รับสายตาที่อบอุ่นอ่อนโยนแบบนั้นจากเธออีกแล้ว ]
คำพูดของรุ่นพี่สะท้อนในใจผม
สำหรับผม รุ่นพี่คาบูรากิคือคนที่ดูสูงส่ง เป็นรุ่นพี่ที่อายุมากกว่า
ถึงจะต่างกันแค่ปีเดียว แต่ผมก็รู้สึกว่ามันต่างกันมาก
แต่สำหรับผู้ใหญ่ ความแตกต่างแค่ 1 ปี มันเล็กน้อย
พ่อแม่ผมอายุห่างกัน 3 ปี แต่พวกท่านก็ไม่ได้สนใจอะไร
รุ่นพี่บอกว่า เราจะได้เจอกันในงานดูตัว
ถ้าเป็นแบบนั้น คงไม่มีคำว่า รุ่นพี่ หรือ รุ่นน้อง
[ การพบกันของเรา… มันหายไปแล้ว ฉันทำลายอนาคตที่ฉันต้องการ… ทำลายพรหมลิขิตที่ฉันเฝ้ารอ… เพราะงั้น… ทุกอย่างเป็นความผิดของฉัน ]
นั่นคือคำพูดที่รุ่นพี่พูดไม่ออกเมื่อกี้
แต่ถึงผมจะได้ยินแล้ว ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอ
ผมรับไม่ได้ ผมทำเป็นไม่สนใจไม่ได้
รุ่นพี่เป็นผู้ใหญ่ สำหรับผมเธออยู่สูงเกินเอื้อม
โลกของเราต่างกัน มุมมองของเธอกว้างเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ… เวลาที่เราใช้ด้วยกันมันอาจจะจบลงได้ง่ายๆ ตามอารมณ์ของเธอ
แล้วสักวัน ผมก็คงเอาเรื่องราวของผมกับรุ่นพี่ไปเล่าเหมือนเรื่องเล่าที่น่าประทับใจ
มันจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ…
(ผมยกย่องเธอเกินไป โดยไม่รู้ตัว ผมไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยว)
ผมไม่ใช่โทโมกิที่เธอต้องการอีกต่อไปแล้ว
ผมไม่คู่ควรที่จะอยู่เคียงข้างเธอ…
(แต่…)
หัวใจผมเต้นแรง
การที่ผมได้เจอรุ่นพี่ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
ผมไม่รู้ว่าเรื่องพรหมลิขิตที่เธอเล่า มันคือเรื่องจริงรึเปล่า
ความสัมพันธ์ของเราอาจจะเปราะบางอย่างที่ผมคิด
แต่… ตอนที่ผมมาที่นี่… ตอนที่รุ่นพี่หยุดเรียน ไม่ตอบข้อความ ไม่อ่านข้อความ ผมเป็นห่วงเธอจนต้องมาหาเธอที่นี่
ผมไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น
ผมไม่ใช่หมอ การที่ผมมาที่นี่อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย
แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น… ผมแค่เป็นห่วงเธอ ผมคิดว่าผมช่วยเธอได้ ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้
แล้วก็… ตอนนี้
ผมทนเห็นเธอไม่มีความสุขไม่ได้
[ รุ่นพี่ครับ ]
ผมพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด
[ รุ่นพี่ไม่ได้ผิดอะไรหรอกครับ ]
[ อึก… ]
[ ต่อให้ในอนาคต ผมกับรุ่นพี่จะได้เจอกันในเเบบที่ต่างออกไป… ผมก็ไม่คิดว่ารุ่นพี่ทำอะไรผิดครับ! ]
[ แต่… ]
[ ถ้ารุ่นพี่ใช้ชีวิตแบบเดิม เหมือนในครั้งแรก ปู่ก็คงไม่ยอมรับรุ่นพี่ รุ่นพี่ก็คงเสียใจเหมือนเดิม ไม่ใช่เหรอครับ? ]
ผมรู้สึกจุกในอก
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว เพราะความรู้สึกที่เอ่อล้น
ผมจับไหล่รุ่นพี่ สบตาเธอโดยไม่รู้ตัว
รุ่นพี่มองผมด้วยความตกใจ
[ รุ่นพี่ไม่ควรแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว แล้วก็รุ่นพี่ที่ไม่มีความสุขแบบนี้มันไม่ถูกต้องสำหรับผม ผมอาจจะไม่ใช่โทโมกิที่รุ่นพี่ต้องการ ผมอาจจะไม่สามารถเป็นโทโมกิแบบนั้นได้… แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะอยู่เคียงข้างรุ่นพี่ไม่ได้นะครับ ]
[ … ]
ผมคิดหลายครั้งว่าทำไมเราถึงอายุห่างกันแค่ปีเดียว
ความคาดหวังและความชื่นชมมากมายที่รุ่นพี่คาบูรากิได้รับ
ถ้าเป็นผม ผมคงทนไม่ไหว คงกลัว คงไม่มีทางยืนหยัดและยิ้มได้แบบนั้น
แต่ตอนนี้ ผมรู้จักเธอดีแล้ว คาบูรากิ มิฮารุ
ทั้งจิตใจของเธอ ความรู้สึกของเธอ ความทุกข์ของเธอ… และความสุขของเธอ
เพราะงั้น… ตอนนี้ผมคิดว่า
แค่ปีเดียวก็พอแล้ว
[ การต้องอยู่คนเดียวในห้องนี้ กับห้องชมรม มันคงเหนื่อย เพราะงั้น ถ้าผมพอจะช่วยให้รุ่นพี่รู้สึกดีขึ้นได้ ผมก็อยากอยู่เคียงข้างรุ่นพี่ รุ่นพี่ระบายกับผมได้เลย ผม… ฮิโนมิยะ โทโมกิคนนี้ ]
อนาคตที่รุ่นพี่วาดฝันไว้ พรหมลิขิตที่เธอเฝ้ารอ มันหายไปแล้ว… ไม่มีทางแก้ไขได้
รุ่นพี่ก็คือรุ่นพี่ ผมไม่มีทางลืมความสัมพันธ์ของเรา เเละผมก็ไม่อยากลืม
แต่ผมเชื่อว่าผมในตอนนี้แหละที่จะเป็นคนที่เธอต้องการได้ ถึงผมจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง… แต่ผมก็จะพยายาม
เพราะผมอายุห่างจากรุ่นพี่คาบูรากิแค่ปีเดียว
ต่อให้ผมจะรู้สึกว่าเธออยู่ไกลแค่ไหน มันก็ไม่มีวันเปลี่ยน
[ โทโมกิคุง… ]
รุ่นพี่เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
[ เธอ… เธอรู้ความหมายของคำพูดพวกนั้นจริงๆ ใช่ไหม? ]
[ เอ๋? ]
[ อึก… ฮือออออออออออออ! ]
รุ่นพี่ร้องไห้เสียงดัง แล้วก็กอดผมแน่น
กอดแน่นเหมือนไม่อยากปล่อยผมไป
[ ขอโทษนะ…! ฉันเอาแต่พูดเรื่องแย่ๆ ทำให้เธอลำบากใจ… แต่… ฉันดีใจ… ]
[ ถ้างั้นแค่ขอบคุณก็พอแล้ว ไม่ใช่เหรอครับ? ]
[ ฮึก… ทำไมเธอร้องไห้ล่ะ? ]
[ อึก… ]
ผมเผลอร้องไห้ตามเธอ อาจเป็นเพราะผมใช้อารมณ์มากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะเธอ…
ถึงจะรู้ว่าซ่อนไว้ก็เท่านั้น แต่พอโดนทัก ผมก็อาย
[ ฮิฮิ เธอนี่ใจดีจัง คงจะร้องไห้แทนฉันที่ร้องไห้ไม่หยุดสินะ? ]
ผมเผลอยิ้มเมื่อเห็นรุ่นพี่ยิ้ม ทั้งๆ ที่กำลังร้องไห้ ผมร้องไห้ไม่หยุดเหมือนกัน
[ ครับ อย่างที่รุ่นพี่พูดเลย ]
[ เย้! ถูกด้วย! ]
รุ่นพี่กอดผมแน่นกว่าเดิม
พวกเราหัวเราะทั้งน้ำตาอยู่พักหนึ่ง ผมรู้สึกเขิน แต่ผมดีใจ ที่รุ่นพี่ ไม่ลังเลที่จะพึ่งพาผม…
อ่านตอนใหม่ๆ ก่อนได้ทาง เพจ Suraの夜 ไปโหวตเรื่องถัดไปหลังจบเรื่องนี้ ได้ที่่หน้าถัดไป