ทุกคนมองเจียงจิ่วโจวราวกับกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว
เจิ้งจื่อหรุก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน
"ฮึ่ม นี่มันเวลาไหนแล้ว คุณยังกล้ามาพูดจาอวดดีแบบนี้อีก วันนี้ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณจะจัดการพวกเราทีเดียวยังไง"
เจียงจิ่วโจวมองไปทางเจิ้งจื่อหรุด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูด "ถ้าหากผมไม่มั่นใจ คุณคิดว่าผมจะกลับมาหรือเปล่า?"
หลังจากที่พูดจบ เจียงจิ่วโจวปรบมือ เห็นเพียงชายชุดดำคนหนึ่งก้าวลงมาจากบันไดอย่างเชื่องช้า ชุดคลุมสีดำสนิทของเขาในช่วงฤดูร้อนแบบนี้แต่กลับให้ความรู้สึกที่ไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
ใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม หนวดเครายาว และยังมีรอยแผลเป็นจากมีดให้ความรู้สึกเหมือนกับมีเกาะอยู่บนใบหน้า
ทันทีที่ผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศภายในร้านขายของเก่าเงียบขรึมลงทันที แม้กระทั่งเจียงจิ่วโจวก็ไปยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ
ทันทีที่เฟิงเซียนหรุเห็นชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น ความรู้สึกแบบนี้มันแตกต่างจากพวกเขาที่ใช้ชีวิตอยู่บนปลายมีดไปโดยสิ้นเชิง
มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับกลิ่นอายของภูเขาลูกใหญ่ ราวกับว่าสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าของพวกเขาไม่มีวันพังทลาย
เจิ้งจื่อหรุมองชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจัง แต่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เพราะเขาก็มีไพ่ตายของเขาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไพ่ตายของเขาเป็นแค่ไพ่ตายชั่วคราว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยเหลือหรือเปล่า
"เจียงจิ่วโจว คุณคิดจะอาศัยคนแค่คนเดียวมาจัดการพวกเราทั้งหมดเหรอ? คุณไม่รู้สึกว่าคุณมั่นใจเกินไปหน่อยเหรอ?"
เจียงจิ่วโจวมองไปทางเจิ้งจื่อหรุด้วยสายตาที่ดูถูกแล้วพูด "เหอเหอ เขาแค่คนเดียวก็พอแล้ว และบางทีพวกคุณถึงขั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องให้เขาออกแรงทั้งหมดก็ได้ เป็นยังไง? คุณอยากลองดูหรือเปล่า?"
หลังจากที่พูดจบ สายตาของชายชุดดำจับจ้องไปที่เจิ้งจื่อหรุ สายตาของเขาลึกซึ้งยากที่จะหยั่งถึงเหมือนกับจักรวาล ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าสายตาของเขาเป็นเหมือนกับหลุมดำขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถหยั่งถึง เพียงแค่มองก็ให้ความรู้สึกเหมือนจะโดนกลืนกินเข้าไป
เจิ้งจื่อหรุไม่รู้ว่าความสามารถของอีกฝ่ายเป็นยังไง แต่เขากลับอยากจะลอง ถึงแม้จะไม่ได้ออกโรงมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงมีฝีมือติดตัว ยากที่จะให้เขายอมจำนน
"เหอเหอ ลองดูก็ลองดู ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขามีฝีมือแค่ไหน"
"เหล่าเจิ้ง ไม่ได้ ผมรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ได้เหมือนกับพวกเราที่มีแค่ทักษะการต่อสู้ผิวเผิน ผมรู้สึกถึงตัวตนของเขาที่ลึกจนไม่อาจหยั่งถึง"
เฟิงเซียนหรุเดินอ้อมมาขวางอยู่ตรงหน้าของเจิ้งจื่อหรุ เขาเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตัวเองมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นลางสังหรณ์ของเขาไม่เคยผิดพลาด มีความเป็นไปได้เมื่อไหร่ที่เจิ้งจื่อหรุลงมือที่นี่จะเป็นสถานที่ครั้งสุดท้ายที่เขาได้ต่อสู้
เมื่อเห็นท่าทางที่ประหม่าของเฟิงเซียนหรุ เจิ้งจื่อหรุขมวดคิ้วแน่น
ชายชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเจียงจิ่วโจวเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ดูถูก
"ถ้าหากว่าคุณยอมแพ้ก็ส่งธุรกิจที่อยู่ในมือออกมาเถอะ ผมจะให้เขาจ่ายราคาให้กับพวกคุณอย่างยุติธรรม"
คำพูดประโยคนี้ของชายชุดดำทำให้เฟิงเซียนหรุ เจิ้งจื่อหรุและจั่วจวินซั่งถึงกับตกตะลึง
เจิ้งจื่อหรุพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก "คนอย่างเขา? คิดจะกลืนกินพวกเราทั้งหมด? ไม่กลัวท้องแตกตายเหรอ?"
"เหอเหอ จะท้องแตกตายหรือเปล่าพวกคุณไม่จำเป็นต้องห่วง คุณแค่ยอมขายให้ผมก็พอ เห็นแก่ที่เมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกคุณในเมืองจวินไช ผมจะไม่บีบคั้นพวกคุณจนไม่มีทางเลือก ขอแค่พวกคุณกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนอกอย่างเชื่อฟัง ผมก็จะไม่ยุ่งกับพวกคุณอีก"
คำพูดประโยคนี้ของเจียงจิ่วโจวทำให้เจิ้งจื่อหรุรู้สึกโกรธมาก
"วันนี้ฉันขอดูหน่อยละกันว่าไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังแกจะมีความสามารถอะไรถึงกล้าพูดจาแบบนี้"
หลังจากที่พูดจบ เขายื่นมือออกไปหยิบกระบองเหล็กของคนที่อยู่ด้านข้างแล้วพุ่งออกไปทันที
เผชิญหน้ากับเจิ้งจื่อหรุที่กำลังพุ่งเข้ามา เจียงจิ่วโจวไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด บนใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว
เจิ้งจื่อหรุพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นพร้อมกับหวดกระบองเหล็กตรงไปที่กบาลของเจียงจิ่วโจว ถ้าฟาดลงไปโดนหัวของเจียงจิ่วโจวไม่ตายก็ต้องพิการอย่างแน่นอน
ปัง……..
เสียงดังสนั่นปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
แต่เสียงนี้ไม่ใช่เสียงที่กระบองเหล็กที่อยู่ในมือของเจิ้งจื่อหรุฟาดใส่กบาลของเจียงจิ่วโจว แต่เป็นเสียงของเจิ้งจื่อหรุโดนชายชุดดำถีบจนล้มลงไปกองกับพื้น
เจิ้งจื่อหรุมือกุมหน้าอก ลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบากเล็กน้อย ในแววตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความตกใจ
"แค๊กๆ……."
"แกเป็นคนในยุทธภพ?"
หลังจากที่เจิ้งจื่อหรุพูดคำพูดประโยคนี้ ในที่สุดสีหน้าที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยของชายชุดดำก็เปลี่ยนไป
"คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้จักยุทธภพด้วย? ดูเหมือนยุทธภพจะไม่ใช่ความลับอะไรอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อรู้ว่าผมเป็นคนในยุทธภพ แล้วคุณยังคิดที่จะต่อต้านอย่างไร้ประโยชน์อีกหรือเปล่า?"
ชายชุดดำพูดพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
ทุกย่างก้าวของเขาราวกับเหยียบลงกลางใจของทุกคน สร้างแรงกดดันให้กับทุกคนอย่างมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่จั่วจวินซั่งได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าคนในยุทธภพ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังเคลือบคลานเข้ามา
"เหอเหอ เมืองจวินไชฉันเป็นคนบุกน้ำลุยไฟรวบรวมมันกับมือตัวเอง อาศัยคำพูดประโยคเดียวของแกคิดจะให้พวกเรายอมเหรอ? ถึงแม้แกจะเป็นคนในยุทธภพ แต่แกก็มั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า?"
คำพูดประโยคนี้ของเจิ้งจื่อหรุทำให้สีหน้าของชายชุดดำดูน่าเกลียดมาก
"มั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของคุณ"
หลังจากที่พูดจบ ชายชุดดำพุ่งตรงเข้าไปพร้อมกับเหวี่ยงหมัดตรงไปที่ขมับของเจิ้งจื่อหรุโดยที่ไม่มีความปราณีแม้แต่นิดเดียว
ปัง………
ชายชุดดำมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างของเจิ้งจื่อหรุด้วยความตกใจ เขารู้ดีว่าหมัดเมื่อกี้ของตัวเองมันเต็มเปี่ยมไปด้วยพละพลังมากแค่ไหน แต่ว่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างของกลับสามารถรับหมัดของชายชุดดำเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
"คุณเป็นใคร"
ชายชุดดำเริ่มดูระมัดระวังตัวมากขึ้น คนที่สามารถปะมือกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ด้อยไปกว่าเขาด้วย เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่เด็กรุ่นหลังไร้ชื่ออย่างแน่นอน
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างของเจิ้งจื่อหรุ ปรบมือ หลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นอย่างใจเย็นแล้วถอดหน้ากากที่อยู่บนใบหน้าออก
ทันทีที่ชายชุดดำเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นเขาถึงกับตกใจ ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนกับเทพแห่งสายลม ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเฉยเมย แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเขากลับให้ความรู้สึกเหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่สดชื่นและเย็นสบาย
"คราวนี้รู้หรือยังว่าผมเป็นใคร? คนในยุทธภพสนใจแต่เรื่องของยุทธภพ ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยเข้าใจกฎของยุทธภพสักเท่าไหร่"
หลังจากที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ บนหน้าผากของชายชุดดำปรากฏให้เห็นเม็ดเหงื่อทันที
"ในเมื่อคุณว่าผมแบบนี้ แล้วทำไมคุณถึงไปแฝงตัวอยู่ข้างกายของเขา คุณก็ไม่ต่างอะไรจากผมไม่ใช่เหรอ?"
"นั่นมันเป็นเพราะผมมีภารกิจ ยิ่งไปกว่านั้นผมก็ไม่เคยยื่นมือไปยุ่งเรื่องของพวกเขา ผมแค่ปกป้องคนคนเดียวก็เท่านั้น เหมือนกับคุณที่ปกป้องอีกฝ่าย แต่ว่าสิ่งที่คุณทำมันเกินไปหน่อย คุณจะลงมือเองหรือให้ผมลงมือ?"
ชายชุดดำมองไปทางชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามด้วยสายตาที่สับสนอย่างเห็นได้ชัด
"เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะให้ผมลงมือเอง ผมก็อยากจะเห็นความร้ายกาจวิชามีดบินของคุณเฉินเฟยหลงจะเป็นเหมือนกับที่คนอื่นเขาพูดหรือเปล่า"
หลังจากที่พูดจบ ชายชุดดำหยิบมีดสั้นออกมาสองเล่มจากแขนเสื้อของตัวเองแล้วพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยตรง
"ฮึ่ม ไม่รู้จักคำว่าตาย ในเมื่อคุณยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง งั้นก็รับการลงโทษขั้นพื้นฐานไปเถอะ"
มีดบินเล่มหนุึ่งบินตรงออกไปจากระหว่างนิ้วทั้งสอง พุ่งเข้าไปหาชายชุดดำที่กำลังพุ่งเข้ามาโดยตรง
ติงตัง……..
ชายชุดดำหลบอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาสามารถหลบมีดบินของเฉินเฟยหลงพ้น และถึงขั้นยังสามารถใช้มีดสั้นปัดมีดบินทิ้งไปหนึ่งเล่ม
"เหอเหอ ก็ไม่เท่าไหร่ ไปตายซะเถอะ"
ทันทีที่เพิ่งสิ้นเสียง ชายชุดดำพุ่งเข้าไปโดยตรง
"เหอเหอ คุณนี่มันไร้เดียงสาอะไรขนาดนี้"
ฉึก……..
ชายชุดดำมองเฉินเฟยหลงอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา ในขณะเดียวกันก็มองดูมีดบินที่อยู่ตรงข้อมือทั้งสองข้างของตัวเอง
"คุณ…….คุณลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ตอนที่คุณกำลังพูด ในขณะที่จิตใจของคุณหันไปให้ความสนใจอย่างอื่น ตอนนั้นจึงเหมาะที่จะเป็นโอกาสในการลงมือของผม ก่อนหน้านี้เป็นแค่วิชาภาพลวงตาก็เท่านั้น ถึงแม้มีดบินจะแทงโดนข้อมือของคุณ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เส้นเอ็นของคุณได้รับความเสียหาย ทางที่ดีทำตัวให้มันดีหน่อยจะดีกว่า"
หลังจากที่พูดจบ สองนิ้วของเฉินเฟยหลงขยับ ทันใดนั้นมีดบินที่ปักอยู่บนข้อมือของชายชุดดำบินออกมาแล้วกลับไปอยู่ที่มือของเขา
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับตกตะลึง มีดบินที่ขว้างออกไปแล้วยังสามารถเรียกกลับคืนมาได้ นี่มันเป็นเหมือนกับในเทพนิยายเลย
รวมไปถึงชายชุดดำก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่ว่าในไม่ช้าเขาก็เข้าใจทุกอย่างจากการเคลื่อนไหวที่เฉินเฟยหลงเรียกมีดบินกลับ
"ผมแพ้แล้ว ถึงแม้ผมจะแหกกฎ แต่คุณก็ไม่ได้ทำตามกฎระเบียบทุกอย่างเหมือนกับที่คนอื่นพูด เจียงจิ่วโจวเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของผม ผมต้องการให้เขากลับไปอย่างปลอดภัย ถ้าหากว่าพวกคุณทำไม่ได้ ถึงแม้ผมจะต้องแลกด้วยชีวิตก็จะพาพวกคุณไปด้วยสองสามคน"
เฉินเฟยหลงที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้มองไปทางชายชุดดำด้วยสายตาที่เย็นชาแล้วพูด "คุณคิดว่าคุณมีโอกาสเหรอ?"
"ถึงจะไม่มีโอกาสแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่านั่งรอความตาย"
เฉินเฟยหลงได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองไปทางเจิ้งจื่อหรุและเฟิงเซียนหรุ ส่วนจั่วจวินซั่งเขาไม่คิดที่จะหันไปมอง
"ก็คุณพูดมาเลย จะให้ฆ่าหรือปล่อยไป"
"ปล่อยไปเถอะ เมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยปล่อยเขาแล้ว อย่างมากก็แค่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครั้ง"
เจิ้งจื่อหรุยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หลังจากที่เห็นสายตาของเฟิงเซียนหรุรู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ควรจะปล่อยไป
"ได้ ผมก็มีความคิดเห็นเหมือนกับเหล่าเฟิง ขอเพียงแค่ต่อไปอย่ากลับมาอีกก็พอ ถ้ากลับมาอีกผมก็ไม่รับประกันว่าอารมณ์ของผมจะดีเหมือนครั้งนี้หรือเปล่า"
ชายชุดดำที่ได้ยินคำพูดของเจิ้งจื่อหรุ เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ลึกซึ้งแว๊บหนึ่ง หลังจากนั้นหันไปมองเจียงจิ่วโจวแล้วพูด "ไปเถอะ พวกเราไม่สามารถรับมือกับที่นี่ได้"
เจียงจิ่วโจวก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขารู้สึกว่าการที่มีชีวิตรอดออกไปจากเมืองเมืองจวินไชก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
เดินตามหลังชายชุดดำ เจียงจิ่วโจวยังคงเดินผ่านตรงหน้าของเฟิงเซียนหรุด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ส่วนสีหน้าของเฟิงเซียนหรุก็ดูไร้อารมณ์เช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
ว่านเจี๋ยที่เห็นภาพนี้ รีบเดินตามหลังของเจียงจิ่วโจวด้วยความกระวนกระวายคิดจะออกจากเมืองจวินไชไปด้วย
แต่ครั้งนี้เฟิงเซียนหรุกลับเอ่ยปากพูดขึ้นแล้ว
"ว่านเจี๋ยเป็นคนของผม คุณพาไปไม่ได้"
เจียงจิ่วโจวที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้รู้สึกอึ้ง หันกลับไปมองว่านเจี๋ยที่อยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า ยิ้มแล้วพูด "คืนให้คุณก็ได้ คนประเภทนี้เก็บไว้ที่ข้างกายก็เหมือนกับเป็นระเบิดเวลา ฮ่าฮ่า…….."
ว่านเจี๋ยที่ได้ยินคำพูดของเจียงจิ๋วโจวรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
"ลูกพี่เจียง คุณจะทำแบบนี้กับผมไม่ได้ ผมซื่อสัตย์กับคุณมาโดยตลอด คุณทำแบบนี้ไม่ได้"
"เหอเหอ อันที่จริงนายก็ถือว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่หรอก คิดจะแบ่งธุรกิจครึ่งหนึ่งไม่กลัวท้องตัวเองแตกตายหรือยังไง นายมีความสามารถก็ไปแย่งกับคนแซ่เฟิงเอง ถ้าไม่มีก็ทำตัวเป็นเด็กดีหน่อยจะดีกว่า"
หลังจากที่พูดจบ เจียงจิ่วโจวพาลูกน้องของตัวเองเดินตามหลังชายชุดดำออกจากร้านไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
เมื่อเห็นเจียงจิ่วโจวเดินจากไปแล้ว ว่านเจี๋ยรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
เฉินเฟยหลงมองไปทางเจิ้งจื่อหรุแล้วพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า "เถ้าแก่เจิ้ง ผมก็ควรไปแล้ว ในมือของเสี่ยวกังยังมีมีดบินของผมเล่มหนึ่ง จำเอาไว้เก็บรักษาไว้ให้ดี ไม่แน่ของสิ่งนั้นอาจจะสามารถช่วยชีวิตได้ในช่วงสถานการณ์ที่คับขัน แน่นอนว่าไม่แน่อาจจะทำร้ายเขาถึงขั้นตายโดยตรงเลยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับโชคของเขาแล้ว ส่วนเรื่องของเมืองเซียงหลิวบอกให้เขาไปจัดการเอง ผมทิ้งโอกาสที่จะแก้แค้นให้กับเขาแล้ว ถ้าหากเขาไม่สามารถแก้แค้นเองได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเดินออกจากหมู่บ้านบางจื่อแล้ว"
เฉินเฟยหลงพูดจบแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
งานที่จางฟู่กุ้ยสั่งให้มาทำเขาก็ทำเรียบร้อยหมดแล้ว เมืองจวินไชไม่ใช่ที่ของเขา เขายังมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านี้ต้องไปทำ
สำหรับจ้าวเสี่ยวกัง ภายในใจของเขาก็รู้สึกชอบนิสัยใจคอของจ้าวเสี่ยวกังเช่นกัน น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักทักษะการต่อสู้ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าทำไมจางฟู่กุ้ยถึงบอกว่าจ้าวเสี่ยวกังไม่เหมาะกับหน่วยของพวกเขา เพียงแค่นึกถึงเรื่องของหลี่ชุ่ยฮวา เฉินเฟยหลงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เมื่อเห็นเฉินเฟยหลงเดินไปไกลแล้ว เฟิงเซียนหรุรับเดินเข้าไปช่วยหวังลี่ที่ถูกมัดอยู่บนโต๊ะแก้มมัดอย่างรวดเร็ว
จั่วจวินซั่งเห็นหวังลี่ถูกประคองขึ้นมา เสื้อตรงหน้าอกที่ฉีกขาดเผยให้เห็นเนินอกที่ขาวเนียน ภายในใจรู้สึกหวั่นไหว เขาเดินเข้าไปจับมือหยกอันอ่อนนุ่มของหวังลี่ ในขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งอบเอวของเธอเพื่อช่วยประคอง
"จั่วจวินซั่ง ถ้าคุณไม่อยากตายก็รีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้ จ้าวเสี่ยวกังช่วยชีวิตผมเอาไว้ คุณน่าจะรู้จักนิสัยของผมดี"
น้ำเสียงที่เย็นชาของเฟิงเซียนเหลียนดังเข้าไปในหูของจั่วจวินซั่ง จั่วจวินซั่งสะดุ้ง เมื่อเห็นสีหน้าที่เย็นชาของเฟิงเซียนหรุ ภายในแววตาแทบจะลุกเป็นไฟ เขาก็ดึงมือของตัวเองกลับไปตามสัญชาตญาณ
แต่ที่ปากของเขาก็ยังคงพูดด้วยความไม่พอใจ "เฟิงเซียนหรุ ผมกลัวว่าคุณจะไม่กล้าเสียมากกว่า มีปัญญาก็ลองดู"
เมื่อเห็นจั่วจวินซั่งยอมเอามือของตัวเองออกไป เฟิงเซียนหรุพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "ถ้าที่คุณพูดมาจริงจัง ผมก็ไม่ถือสาที่จะลองดู"
พูดจบ เฟิงเซียนหรุที่ประคองหวังลี่ไว้สั่งให้คนส่งเธอไปที่โรงพยาบาล ในขณะเดียวกันก็สั่งให้ลูกน้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หวังลี่ด้วย
หลังจากที่จัดการทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เฟิงเซียนหรุมองไปทางหว่านเจี๋ยด้วยสายตาที่เย็นชา
ว่านเจี๋ยก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขายังเป็นคนที่อยู่เหนือกว่า แต่วินาทีต่อมาเขากลับกลายเป็นฝ่ายที่ถูกไล่บี้
"ว่านเจี๋ย นายติดตามฉันอย่างน้อยก็ห้าปีแล้ว ภายในห้าปีที่ผ่านมาฉันปฏิบัติต่อนายยังไง?"
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฟิงเซียนหรุ ภายในใจของว่านเจี๋ยเกิดความรู้สึกที่สับสนเล็กน้อย
"บุญคุณของคุณที่มีต่อผมหนักดุจดั่งขุนเขา เป็นเพราะผมมันไม่รู้จักพอเอง"
"เหอเหอ ในเมื่อนายก็รู้แบบนี้แล้วทำไมยังต้องเสี่ยงอีก และผลกระทบที่ตามมาจะเป็นยังไงนายก็รู้ดี ดังนั้นนายเลือกเอาเอง นายรู้ดีอยู่แล้วว่ากฎของฉันเป็นยังไง"
ว่านเจี๋ยมองเฟิงเซียนหรุด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้เขาเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
"ลูกพี่เฟิง คุณอภัยให้ผมสักครั้งเถอะ ผมรับรองว่าจะไม่มีครั้งต่อไป ถ้าหากมีครั้งต่อไปคุณไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ผมจะเป็นคนจัดการตัวของผมเอง"
"เหอเหอ ที่ฉันไม่มีคำว่าโอกาสที่สองนายน่าจะรู้ดี คนที่คิดจะฆ่าฉัน จะให้ฉันให้โอกาสเขาเป็นครั้งที่สองเหรอ? จะหักแขนหรือว่าหักขา แล้วก็ตำแหน่งผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกแห่งก็ไม่ต้องหวังแล้ว หลายปีนี้บัญชีที่นายยักยอกเงินของฉันไปก็ยังไม่ได้คิด รอให้ฉันกลับไปคิดดูก่อน ทางที่ดีนายคืนเงินทั้งหมดมาจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นนายก็รู้จักนิสัยของฉันดี"
หลังจากที่พูดจบ เฟิงเซียนหรุหันไปพูดกับลูกน้องของว่านเจีย "พวกนายช่วยฉันตัดแขนของเขาลงมาก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นจุดจบของพวกนายจะต้องน่าอนาถยิ่งกว่าเขาแน่นอน"
ได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นของเฟิงเซียนหรุ ร่างกายของกลุ่มลูกน้องที่อยู่ด้านข้างว่านเจี๋ยสั่นสะท้านทันที
แต่เมื่อเห็นว่าเฟิงเซียนหรุไม่มีท่าทีที่จะไปจากที่นี่ สุดท้ายพวกเขาก็เลือกที่จะยอมจำนน เพราะจุดจบของการไม่ยอมจำนนจะต้องเป็นอย่างที่เฟิงเซียนหรุพูด พวกเขาต้องจบไม่สวยอย่างแน่นอน
ว่านเจี๋ยที่เห็นลูกน้องของตัวเองกำลังเดินตรงเข้ามา เขาส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ หยิบมีดของตัวเองขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปหาเฟิงเซียนหรุ
MANGA DISCUSSION