ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 89 อยู่กันพร้อมหน้า หอมอย่างไม่จริงจัง
ตอนที่ 89 อยู่กันพร้อมหน้า หอมอย่างไม่จริงจัง
ตอนที่ 89 อยู่กันพร้อมหน้า หอมอย่างไม่จริงจัง
เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋องซู่ พวกข้ารับใช้ทั้งตำหนักต่างมารอกันอยู่ที่หน้าประตู แม้แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็อยู่ด้วย เด็กน้อยทั้งสองถูกข้ารับใช้อุ้มขึ้นสูง ยื่นศีรษะน้อยมองไปยังที่ไกลตาปริบๆ
รถม้าเคลื่อนเข้ามาอยู่ในสายตา เด็กทั้งสองหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข พลางตะโกนเรียกท่านพ่อท่านแม่ ฮองเฮามองอยู่ข้างๆ จนกรรแสงออกมา
กลับมาได้ก็ดีแล้ว ดูสิทำให้เด็กทั้งสองคิดถึงเพียงนี้ หากยังไม่กลับมาอีก นางจะพาเด็กๆ ไปหาพวกเขาเองแล้ว
เมื่อเฉียวเยี่ยนได้ยินเสียงเด็กๆ ก็รู้สึกคัดจมูก อยากร้องไห้ออกมาเล็กน้อย นางแยกม่านออกยื่นศีรษะออกไป และโบกมือให้กับพวกเขา
ครั้นมาถึงหน้าประตูตำหนัก เฉียวเยี่ยนรีบกระโดดลงจากรถม้าทันที เด็กน้อยทั้งสองก็อ้าแขนออกอยากกอดจนทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อโอบรับเด็กทั้งสองเข้าสู่อ้อมกอด เด็กทั้งสองก็รีบกอดคอผู้เป็นแม่ไว้แน่นและร้องไห้ออกมา เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมา ทว่าร่างน้อยนั้นกำลังสะท้านไหว ทำให้คนรอบๆ ที่เห็นปวดใจยิ่งนัก แต่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เปิดปากร้องไห้ออกมาเสียงดัง ร้องไห้จนเจียนจะขาดใจ
ในขณะที่เฉียวเยี่ยนโอ๋พวกเขา ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป และกอดพวกเขาร้องไห้ออกมา ฮองเฮามีอัสสุชลนองพระเนตรไปนานแล้ว และใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ฮ่องเต้เฒ่าเองก็ขอบพระเนตรร้อนผ่าว เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ให้น้ำตามันไหลกลับไป
เขาเป็นฮ่องเต้ จะขายหน้าต่อหน้าทุกคนไม่ได้
ชายชราเย่อหยิ่งเสียใจจนเคราสั่นไหว แต่ทว่าก็รักในศักดิ์ศรี ซึ่งท่าทางเงยหน้าขึ้นนั้นดูน่าขบขันเป็นโดยเฉพาะ
มู่ฉินเจินถูกองครักษ์สองคนพยุงลงจากรถ ค้ำไม้ค้ำค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้กับฮองเฮา และก้มตัวทำความเคารพ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ลูกกลับมาแล้ว”
ความรู้สึกฮองเฮาในยามนี้ผสมปนเปกันไปหมด ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว นางร้องไห้พลางทุบมู่ฉินเจินไปสองครั้ง “เจ้าเด็กบ้า! โตเพียงนี้แล้วยังทำให้เป็นห่วงอีก หากไม่มีเสี่ยวเยี่ยน…”
นางร้องไห้ไม่เป็นภาษา และพูดต่อไม่ได้ หากครั้งนี้ลูกชายจากไปแล้วจริงๆ เช่นนั้นนางจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเช่นไร!
ฮ่องเต้เองก็ทุบเขาสองครั้ง ขอบตาแดงก่ำ “กลับมาครานี้ไม่ช่วยเราพิจารณาสาส์นสองวัน คอยดูว่าเราจะไม่ลงโทษเจ้า!”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ฟุบอยู่ในอ้อมแขนแม่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ ดวงหน้าน้อยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ครั้นเห็นบิดาถูกตี ก็ยื่นมือน้อยจะปกป้องเขา
“ไม่ตี…ไม่ตีท่านพ่อ…”
นางร้องไห้สะอึกสะอื้นจนพูดจาไม่ชัดเจน มองเสด็จปู่กับเสด็จย่าไม่ให้ตีผู้เป็นพ่ออย่างน่าสงสาร
มู่ฉินเจินรู้สึกแค่ว่าใจใกล้จะละลายกลายเป็นแม่น้ำแล้ว ก่อนจะรับเด็กน้อยจากอ้อมกอดเฉียวเยี่ยนมาอุ้มอยู่ในอ้อมแขน และตบหลังนางเบา ๆ “อวี๋เอ๋อร์ไม่ต้องร้องแล้วนะ เด็กดี”
เมื่อฮองเฮาเห็นเด็กน้อยเช่นนี้ นางจะตีได้ลงคออย่างไร ก่อนจะเช็ดน้ำตาและเอ่ยขึ้นมา “ไม่ตีแล้ว ย่าไม่ตีแล้ว”
ครั้นเด็กน้อยได้รับการรับรองจากเสด็จย่า ก็มองไปยังเสด็จปู่ ฮ่องเต้เฒ่าเอ่ยรับปากว่าเขาก็จะไม่ตีซ้ำๆ นางถึงได้เบาใจ
ครอบครัวรักใคร่กอดกันหลั่งน้ำตา พวกข้ารับใช้บริเวณรอบๆ ต่างก็ซาบซึ้งใจจนร้องไห้สะอื้นอยู่ในใจ
หลังจากเศร้าโศกที่พบกันหลังไม่ได้เจอกันมานานก็มีความสุขอย่างไม่รู้จบ ทุกคนหยุดร้องไห้ และแทนที่ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม พร้อมกับเดินเข้าไปในตำหนักอ๋อง
ลุงฉู่ให้คนไปยกน้ำออกมาสองอ่าง และตั้งใจหากิ่งต้นหลิวมาพรมน้ำและสาดใส่เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจิน เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
เมื่อกลับถึงตำหนัก ทั้งครอบครัวกำลังนั่งคุยเรื่องภัยพิบัติครั้งนี้อยู่ในห้องหลัก นักฆ่าที่ทำร้ายมู่ฉินเจินกำลังอยู่ในการตรวจสอบ แต่ก็มีเบาะแสบางอย่างแล้ว และไม่นานก็จะได้ผลออกมา
เมื่อฝ่าบาทรู้ว่าที่พระโอรสประสบอุบัติเหตุอันตรายหาใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการทำร้าย ก็โกรธกริ้วทันใด แถมยังด่าสาปแช่ง ทว่าฮองเฮาเตือนว่าพวกเด็กๆ อยู่ด้วย เขาถึงได้เก็บอาการ
เด็กทั้งสองต่างซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นแม่ ไม่อยากแยกจากแม้แต่วินาทีเดียว เดิมทีพวกเขาอยากให้ผู้เป็นพ่อมากอดด้วย แต่มารดาบอกว่าบิดาบาดเจ็บที่ขา ถึงได้ล้มเลิกไป
พ่อครัวในตำหนักวุ่นแทบบ้า ท่านอ๋องกับหวางเฟยจากตำหนักไปนานเช่นนี้ พวกเขาต้องทำอาหารดีๆ มาเลี้ยงต้อนรับ อีกทั้งฝ่าบาทกับฮองเฮาก็อยู่ด้วย พวกเขายิ่งมิบังอาจทำลวกๆ เพราะนั่นคือบุคคลที่รับประทานอาหารชาววังทุกวัน!
กลุ่มพ่อครัวแม่ครัวต่างระดมสมอง และใช้ทักษะแม่บ้านมาปรุงอาหารเต็มโต๊ะ หลังจากฮ่องเต้กับฮองเฮาเสวยจนพุงกาง พวกเขาถึงได้กลับวัง
เฉียวเยี่ยนหิวจะแย่แล้ว ในช่วงสองสามวันที่อยู่ในอำเภอฉีหมิงกินแต่น้ำแกงจืดชืด เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร ก็น้ำลายสอ และยังรับประทานข้าวเพิ่มอีกชาม
เด็กทั้งสองมีความอยากอาหารน้อยลงตั้งแต่บิดามารดาออกจากบ้านไป จึงผอมลงไปหลายชั่ง ทว่ายามนี้บิดามารดากลับมาแล้ว ความอยากอาหารก็เพิ่มขึ้น และทานอย่างตะกละตะกลาม
ตอนเย็น
มู่ฉินเจินตั้งใจนอนหลับอยู่ในห้องเฉียวเยี่ยน และเฉียวเยี่ยนเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร ถึงอย่างไรที่รัฐฉู่พวกเขาก็นอนร่วมเตียงเดียวกันมาหลายวัน หากตอนนี้บอกปัดไป นางจะไม่ดูไร้เหตุผลหรือ?
เฉียวเยี่ยนกำลังอาบน้ำให้เสี่ยวฉวนเอ๋อร์อยู่หลังม่านกั้นลม ส่วนเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อาบจนหอมฟุ้ง สวมชุดนอน ผมสยายหลวมๆ และกำลังกลิ้งอยู่บนเตียง
เมื่อเห็นขาของมู่ฉินเจินยังถูกยึดด้วยไม้กระดาน เด็กน้อยจึงคลานไปที่เท้าของเขาอย่างเป็นทุกข์ แล้วทำปากจู๋เป่าให้เขา
“ท่านพ่อ เป่าฟู่ๆ ก็จะไม่เจ็บแล้ว ลูกช่วยเป่าฟู่ๆ ให้ท่านนะเจ้าคะ”
ท่าทางน่ารักของเด็กน้อยทำให้มู่ฉินเจินรู้สึกสงสารจับใจ จึงเอื้อมมือไปลูบหัวเล็กกลมของนาง”อวี๋เอ๋อร์เด็กดี พ่อไม่เจ็บนานแล้ว มา พ่อจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง ”
เฉียวเยี่ยนอุ้มเสี่ยวฉวนเอ๋อร์เดินออกมาจากหลังม่านกั้นลม ก็เห็นเจ้าปลาอ้วนซุกตัวอยู่ในอ้อมอกมู่ฉินเจิน และฟังเขาเล่านิทานอย่างตั้งใจ
เจ้าปลาอ้วนไม่ชอบฟังนิทานเจ้าชายเจ้าหญิงที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาตั้งแต่นางยังเด็กแล้ว แต่กลับชอบมู่ฉินเจินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามรบให้ตัวเองฟัง
เจ้าก้อนแป้งที่น่ารักน่าเอ็นดูกลับมีความฝันว่าอยากเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ แถมยังประกาศอย่างกล้าหาญว่าอนาคตนางจะเป็นท่านแม่ทัพเหมือนบิดา
มู่ฉินเจินเองก็สนับสนุนความฝันนี้ของเด็กน้อย ครั้นเอ่ยถึงการต่อสู้ ยังบอกวิธีการใช้กำลังพลอย่างจริงจังกับนางด้วย เดิมทีคิดว่าเด็กน้อยคงจะรู้สึกเบื่อ แต่ไม่คิดเลยว่านางไม่เพียงแต่ตั้งใจฟังเท่านั้น แต่ยังสรุปจากเรื่องหนึ่งและสามารถอนุมานไปถึงเรื่องอื่นๆ ได้
คืนนี้มู่ฉินเจินเล่าเรื่องสงครามปกป้องเมืองที่ด่านเยี่ยนเหมิน จนเด็กน้อยที่ฟังรู้สึกเร้าร้อนฮึกเหิมขึ้นมา พลางกำหมัดน้อยแน่น แทบจะรบกับทหารข้าศึกสามร้อยนายอยู่บนเตียง
เฉียวเยี่ยนรู้สึกจนใจกับสองพ่อลูกคู่นี้ จึงจับเจ้าปลาอ้วนที่กระโดดโลดเต้นไปมายัดเข้าไปในผ้าห่ม และบีบจมูกน้อยนางเบาๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรักสุดใจ “พอแล้ว แม่ทัพน้อยของแม่ รีบเข้านอนเถิด พ่อเจ้าเดินทางมาทั้งวันง่วงแล้ว”
มู่ฉินเจินที่ยังกระปรี้กระเป่ามองไปทางเฉียวเยี่ยน เห็นนางตีหน้าขรึมใส่ ก็รีบหลับตาแกล้งหลับทันที
เอาเถิด ในเมื่อภรรยาบอกว่าเขาง่วง เช่นนั้นเขาง่วงก็ได้
เจ้าปลาอ้วนเหลือบมองบิดาที่หลับตานอนก็ปิดปากน้อยอย่างน่ารัก เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองจะไม่โวยวายแล้ว
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็ชอบฟังบิดาเล่าเรื่องเช่นกัน ทว่าเขาเงียบมากๆ ยามดีใจก็แค่ยิ้มออกมาบางเบาครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นตั้งใจฟังอีกครั้ง
เด็กน้อยทั้งสองนอนอยู่ด้านในสุดอย่างเชื่อฟัง เฉียวเยี่ยนนอนอยู่ตรงกลาง ส่วนมู่ฉินเจินนอนอยู่ริมนอกสุด
นางหอมลูกน้อยคนละหนึ่งฟอด มู่ฉินเจินก็ลืมตาขึ้นมา และมองนางด้วยดวงตาที่คล้ายกับจะเปล่งแสงออกมา ความหมายนั้นชัดเจนมาก เขาก็ต้องการเหมือนกัน!
เฉียวเยี่ยนชำเลืองมองเขา โตจนปูนนี้แล้วยังทำเหมือนเด็กๆ !
แต่เมื่อเห็นสายตาน่าสงสารของเขา เหมือนกับเจ้าหมาน้อยที่มาขออาหารกินกับนาง จึงทนไม่ไหวเล็กน้อย เลยหอมไปบนแก้มเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ซุกศีรษะเข้าไปในผ้าห่ม แสร้งทำเป็นคนโง่งมกลบเกลื่อนเพราะอาย
สัมผัสอบอุ่นนุ่มนวลหายวับไปพริบตาเดียว มู่ฉินเจินตะลึงงันไปชั่วขณะ และสัมผัสแก้มที่ถูกหอมอย่างโง่เขลาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเฉียวเยี่ยนจะเป็นคนเริ่มหอมเขาก่อน!
เขาหมุนตัวอยากยืนยันกับเฉียวเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับเห็นเด็กน้อยทั้งสองจ้องเขาด้วยดวงตากลมโตแวววาว
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าถูกภรรยาหอมครั้งแรกจะอยู่ในสายตาของเด็กๆ
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์รู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจแล้ว เหตุใดท่านแม่หอมท่านพ่อต้องเขินอายด้วย แล้วพอหอมนางกับพี่ชายเหตุใดถึงไม่เขินอายล่ะ?
เด็กทั้งสองเอนศีรษะเข้าใกล้กัน ใช้ภาษาเด็กในการสื่อสาร สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งออกมาว่าแก้มของบิดาอาจจะไม่เหมือนของพวกเขา
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เสี่ยวเยี่ยน เธอมันตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดา ถึงขั้นหอมอ๋องโบ้แล้ว
ไหหม่า(海馬)