ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 88 คิดถึงลูก เตรียมกลับเมืองหลวง
ตอนที่ 88 คิดถึงลูก เตรียมกลับเมืองหลวง
ตอนที่ 88 คิดถึงลูก เตรียมกลับเมืองหลวง
มู่ฉินเจินเห็นท่าทางหมดสภาพขององครักษ์สองสามคน ก็เอ่ยอย่างจนใจ “เป็นถึงลูกผู้ชาย จะร้องไห้ทำไม! ขายหน้าเปิ่นหวางหมด!”
แม้จะเป็นคำด่า แต่กลับฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาอ่อนลงไปมาก
พวกเกาจัวหยวนปาดน้ำตา และคำนับเฉียวเยี่ยนอย่างจริงจัง พวกเขานับถือหวางเฟยจริงๆ พวกตนหามาหกวันก็หาไม่เจอ ทว่าหวางเฟยมาเพียงวันเดียวก็หาเจอแล้ว หากหวางเฟยไม่ออกจากเมืองหลวงมา เกรงว่าพวกเขาจะยังหาไม่เจอไปอีกนาน
…..
ภูมิประเทศริมตลิ่งค่อนข้างซับซ้อน รถม้ามิอาจขับเข้ามาได้ มู่ฉินเจินจึงถูกเหล่าองครักษ์ผลัดกันแบกกลับไปที่พัก ส่วนเฉียวเยี่ยนเดินเท้ามาพร้อมกับเหล่าองครักษ์ จนกระทั่งถึงที่หมายนางก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากขยับ ฝ่าเท้าข้างใต้ปวดเมื่อยเป็นระลอกๆ
ที่ที่พวกเขาพักอยู่เป็นกระโจมของค่ายทหารกู้ภัย หลังจากแผ่นดินไหว บ้านเรือนส่วนใหญ่ในอำเภอฉีหมิงล้วนพังยับเยิน ส่วนที่เหลืออยู่ก็โคลงเคลงไม่มั่นคง จึงมิอาจเข้าพักได้
ทันทีที่มู่ฉินเจินมาถึงกระโจม ก็มีท่านหมอแบกกล่องยามารักษาอาการบาดเจ็บของเขาแล้ว สถานการณ์กระดูกหักนั้นค่อนข้างสาหัส อีกทั้งปล่อยทิ้งไว้มาหลายวัน อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษานานกว่าจะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
ทว่าเมื่อเทียบกับชีวิตแล้ว แม้ขาจะหักไปหนึ่งข้าง ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก
หลังจากท่านหมอพันแผลที่ขาของมู่ฉินเจินเสร็จแล้ว ก็จ่ายยาแล้วเตรียมจะจากไป แต่กลับถูกเขาเรียกเอาไว้
“ช่วยจ่ายยาคลายเครียดให้ฮูหยินข้าหน่อยเถิด”
มู่ฉินเจินเห็นท่าทางเซื่องซึมของเฉียวเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็รู้สึกเจ็บปวดใจ เขาได้ยินเกาจัวหยวนบอกว่า ตั้งแต่นางเดินทางมาจากเมืองหลวงก็เอาแต่หาเขาอย่างไม่หยุดพัก ทั้งปีนเข้าลงห้วย ต่อให้ร่างกายจะทนเหมือนเหล็กกล้าแค่ไหนก็ทนไม่ไหวหรอก
เฉียวเยี่ยนดูออกว่าเขาเป็นห่วง จึงยิ้มให้แก่เขา แม้จะเหนื่อยล้า แต่กลับฝืนปลอบโยนออกมา “ไม่เป็นไร ข้าพักสักหน่อยก็หายดีแล้ว”
“ไม่เป็นไรได้อย่างไร เจ้าดูสิตาเจ้าแดงหมดแล้ว ไม่ได้นอนมากี่ว้นแล้วเล่า!”
มู่ฉินเจินเห็นดวงตานางแดงก่ำ จึงรู้ว่านางรีบร้อนเดินทาง ไม่ได้พักผ่อนเลย
ท่านหมอที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนรู้สึกเหมือนได้กินอาหารสุนัขอย่างไรไม่รู้ อยากจะสำลักเหลือเกิน!
เขาเขียนใบสั่งยาแผ่นหนึ่งส่งให้กับเกาจัวหยวนที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็แบกกระเป๋าหมอออกจากกระโจมไป ยังมีผู้บาดเจ็บอีกมากรอเขาอยู่ เขาจะอยู่ที่นี่มองหนุ่มสาวพูดบอกรักกันไปทำไม!
เกาจัวหยวนพบว่าความสัมพันธ์ของท่านอ๋องกับหวางเฟยดูคลุมเครือกว่าตอนอยู่ในตำหนักอ๋องมาก จึงถือใบสั่งยาไปรับยามาต้มอย่างรู้งาน
ที่ประจำการของพวกเขาตั้งอยู่ใกล้โรงหมอ ซึ่งรักษาผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นพิเศษ และในนั้นมีสมุนไพรไม่น้อยเลย
หลังจากเกาจวนหยวนต้มยาแล้ว ก็ไปขอให้ท่านป้าคนหนึ่งช่วยต้มโจ๊กให้ ฝีมือของเขาถือว่าไม่เสียข้าวสุก แต่ก็กลัวว่าท่านอ๋องที่ไม่เป็นไรจะมาล้มเพราะโจ๊กที่เขาต้ม
มีองครักษ์นำน้ำร้อนเข้ามา เฉียวเยี่ยนจึงอาบน้ำ พลางนอนริมเตียงและหลับไป ในกระโจมมีเพียงเตียงเดียว คืนนี้นางจำต้องนอนกับมู่ฉินเจิน
แม้จะเคยนอนร่วมเตียงเดียวกัน แต่เมื่อก่อนมีเด็กอยู่ด้วย คืนนี้จึงนับว่าพวกเขานอนร่วมเตียงเดียวกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ทีแรกเฉียวเยี่ยนยังรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย แต่หลังจากพิงอยู่บนเตียงก็ง่วงงุน ความเขินอายถูกสลัดทิ้งไปจนหมด
ในตอนที่เกาจัวหยวนยกโจ๊กกับยามาให้ เฉียวเยี่ยนก็นอนขดตัวเป็นก้อนอยู่บนเตียงแล้ว
เนื่องจากขาขวาของมู่ฉินเจินบาดเจ็บ นางจึงนอนอยู่ทางด้านซ้ายของเขา และนอนขดตัวประหนึ่งเด็กน้อยก็ไม่ปาน
มู่ฉินเจินจ้องใบหน้าที่หลับสนิทของนางอยู่ มองอย่างไรก็มองไม่พอ ทั้งหัวใจอ่อนยวบราวกับจะเหลวเป็นน้ำ เหตุใดถึงได้มีสตรีดีเช่นนี้ ดีจนเขายกทั้งชีวิตให้นางก็ไม่พอ
เกาจัวหยวนทำตัวให้เงียบ นำโจ๊กมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วก็ออกไปจากกระโจม มู่ฉินเจินเขย่าร่างเฉียวเยี่ยนเบาๆ ปลุกนางให้ตื่น “อาเยี่ยน คนดี ลุกขึ้นมากินอะไรก่อนแล้วค่อยนอนอีกที”
น้ำเสียงเขาอ่อนโยนมาก อ่อนโยนกว่าตอนกล่อมเจ้าปลาอ้วนนอนหลับเสียอีก เฉียวเยี่ยนที่ง่วงงุนมากถูกรบกวน จึงครางออกมาสองครั้งอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยังลุกขึ้นมากินข้าวอย่างสลึมสลือ นางไม่เพียงแต่ง่วง แต่ยังหิวด้วย
ตอนนี้มู่ฉินเจินฟื้นตัวขึ้นมากแล้ว เขาย้ายร่างตัวเองจะยกโจ๊กมาให้นาง เฉียวเยี่ยนเห็นท่าทางลำบากของเขา ก็ตื่นขึ้นทันที และจับเขาเอาไว้ “ท่านอย่าขยับ ข้าจะทำเอง”
เขาอยากจะบอกว่าเขาทำได้ แต่เฉียวเยี่ยนไม่ยอมให้เขาคัดค้าน นางลงจากเตียง ตักโจ๊กให้เขาหนึ่งชาม ก่อนจะตักโจ๊กให้ตัวเองชามใหญ่ แล้วก็รับประทาน
มันเป็นโจ๊กธรรมดามาก ทว่ากลับต้มได้อย่างเข้มข้น ทั้งสองที่หิวโหยไม่ได้รู้สึกว่ามันจืดชืดอะไร จึงกินโจ๊กครึ่งหม้อจนหมด
หลังจากกินโจ๊กเสร็จ เฉียวเยี่ยนหยิบถ้วยยาคลายเครียดดื่มตามลงไป รู้สึกขมจนสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา
เมื่ออิ่มท้อง ดื่มยาเสร็จแล้ว นางก็ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม และนอนอย่างสบายใจ พลางหาวออกมาวอดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับมู่ฉินเจินอย่างสลึมสลือ “ตอนดึกมีเรื่องอะไรก็เรียกข้านะ ข้าขอหลับก่อน”
มู่ฉินเจินเอนตัวพิงหัวเตียง พลางวางถ้วยในมือลง และห่มผ้าห่มให้นางเบาๆ
“นอนเถิด”
น้ำเสียงเขาแผ่วเบามาก ทั้งทุ้มต่ำทั้งหลงใหล เฉียวเยี่ยนฟังจนยิ้มอย่างโง่ทึ่ม ก่อนจะสูญเสียสติ และหลับใหลไป
วันรุ่งขึ้นในตอนที่เฉียวเยี่ยนตื่นก็เป็นยามเฉินแล้ว ด้านนอกแสงแดดเจิดจ้า แล้วก็ยังมีเสียงฝีเท้าที่วุ่นกันของพวกทหารด้วย
นางเด้งตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที คิดว่าตัวเองยังอยู่ในเมืองหลวงอย่างลืมตัว ดวงตาทั้งสองจ้องมองด้านนอกกระโจมอย่างนิ่งอึ้ง เส้นผมยุ่งเหยิงจากการนอนหลับ ท่าทางตะลึงงันนั้นทำให้มู่ฉินเจินหัวเราะออกมา
เขาแตะมือนาง เรียกนางคืนสติกลับมา “นอนอีกหน่อยสิ ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย”
เฉียวเยี่ยนหันมามองเขาอย่างเหม่อลอย หลังจากมึนไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา นางส่ายหน้า นอนไม่หลับอีกแล้ว หากนอนอีก กระดูกคงอ่อนปวกเปียกไปหมด
หลังจากตื่นนอนล้างหน้าได้ไม่นาน เกาจัวหยวนก็ยกอาหารเช้าเข้ามา และมู่ฉินเจินก็ส่งเขาไปตรวจสอบเรื่องราว
เขารู้สึกว่าการที่เขาตกลงไปในแม่น้ำนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ มันเหมือนมีคนวางแผนเอาไว้แล้ว พอพวกเขาเหยียบลงบนเขื่อนนั้นมันก็เกิดพังลงมา มีทหารอีกหลายคนที่ตกลงไปในแม่น้ำพร้อมกับเขาด้วย ซึ่งมีคนตายไปสองคน ส่วนที่เหลือถูกช่วยเอาไว้ได้
หลังจากที่เขาขึ้นฝั่งมาได้ก็ยังมีชายชุดดำไล่ตามฆ่าอีก ซึ่งเพิ่มความชัดเจนว่าเรื่องนี้มันไม่ธรรมดา อีกฝ่ายอาจใช้ประโยชน์จากแผ่นดินไหวครั้งนี้ ให้ตัวเองอยู่ที่นี่แล้วเอาอุบัติเหตุมาบังหน้าเอาไว้
เฉียวเยี่ยนไม่คิดเลยว่าอุบัติเหตุของเขาในครั้งนี้จะมีความไม่ชอบมาพากลแอบแฝงมากมายอยู่ในนั้นด้วย จึงอดรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสการขัดแข้งขัดขากันในยุคโบราณ
…..
สองสามวันต่อมา เกาจัวหยวนพาองครักษ์คนอื่นๆ ไปตรวบสอบทุกที่ เฉียวเยี่ยนอยู่พักฟื้นกับมู่ฉินเจิน และฮ่องเต้ก็ได้ส่งข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ชุดใหม่มาที่รัฐฉู่แล้ว จึงไม่ต้องให้ท่านอ๋องไปจัดการเองทุกเรื่อง
ข่าวมู่ฉินเจินได้รับการช่วยเหลือได้แพร่ไปถึงเมืองหลวงแล้ว บางบ้านปิติยินดีบางบ้านก็กลุ้มใจ หลังจากที่ฮ่องเต้กับฮองเฮารู้ว่าหาพระโอรสเจอแล้วก้ดีใจจนอัสสุชลไหล และก็ยิ่งสงสารเฉียวเยี่ยน โชคดีจริงๆ ที่มีนาง ไม่เช่นนั้นพระโอรสคงไม่ได้กลับมาจริงๆ แน่
ส่วนที่กลุ้มใจก็เป็นพวกที่ขัดขวางอยู่ในความมืด มู่ฉินเจินยังไม่ตาย เช่นนั้นพวกเขาก็จัดการได้ยากแล้ว!
ที่ประสบภัยในรัฐฉู่ได้สงบลงแล้ว และไม่นานเขื่อนก็จะซ่อมแซมเสร็จ ฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการให้มู่ฉินเจินกับเฉียวเยี่ยนกลับเมืองหลวง เรื่องที่เหลือก็มอบให้เป็นหน้าที่ข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ชุดใหม่ไป
วันที่สี่ต้นเดือนแปด มู่ฉินเจินจากเมืองหลวงไปสองเดือนแล้ว เฉียวเยี่ยนเองก็ออกมาแล้วสิบกว่าวัน สองสามีภรรยาคิดถึงลูกน้อยทั้งสองที่บ้านจะแย่แล้ว
ฮองเฮามักจะให้คนส่งจดหมายมา บนจดหมายนั้นล้วนเป็นเรื่องราวของลูกทั้งสอง พอถึงตอนเย็นเจ้าปลาอ้วนจะร้องไห้งอแง ต้องกอดเสื้อผ้าของเฉียวเยี่ยนไว้ถึงจะนอนหลับ ตอนแรกเริ่มเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ยังเข้มแข็งมาก แต่สองสามวันมานี้เข้มแข็งไม่ไหวแล้ว จึงแอบร้องไห้ตอนดึกดื่น
ในขณะที่เฉียวเยี่ยนอ่านจดหมาย ในใจนางก็รู้สึกปวดร้าวยิ่งนัก มู่ฉินเจินเองก็รับไม่ไหว เมื่อพระราชโองการมาถึงในวันที่สอง สองสามีภรรยาก็รีบออกเดินทางกลับเมืองหลวง
ขาของมู่ฉินเจินฟื้นตัวได้เร็วมาก สามารถเดินบนพื้นได้แล้ว แต่กล้ามเนื้อและกระดูกบาดเจ็บมาเป็นร้อยวัน กล้ามเนื้อกับกระดูกที่อยู่ข้างในจึงยังไม่หายดี ดังนั้นตอนที่เดินทางกลับ พวกเขาจึงนั่งรถม้าไป
ความเร็วของรถม้านั้นช้ากว่าขี่ม้าอยู่มากโข แต่เดิมเดินทางสามวัน ทว่ายามนี้ใช้เวลาไปหกวันถึงจะถึงเมืองหลวง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
แน่ล่ะสิ ช่วยเหลือขนาดนี้ จะไม่เป็นสตรีที่ดีได้อย่างไร
เด็กๆ คิดถึงพ่อกับแม่แย่แล้ว เอ็นดู
ไหหม่า(海馬)