ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 80 ตู้เยว่หงขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 80 ตู้เยว่หงขอความช่วยเหลือ
ตอนที่ 80 ตู้เยว่หงขอความช่วยเหลือ
หลังเห็นว่าตนไม่จำเป็นต้องคอยจับตาดูป่าท้อด้วยตัวเองแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงไปตรวจดูสถานการณ์ปลูกผักของพวกชาวบ้านในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวกับหมู่บ้านม่ายเซียง
ตอนนี้ต้นพริกสูงจนถึงขาคนแล้วและเริ่มผลิดอกขาว มีบางส่วนได้เริ่มออกผลไปแล้ว การเจริญเติบโตดีมาก พวกชาวบ้านเองก็ใส่ปุ๋ย พรวนดินตามเวลาและคำขอที่นางกำหนด
ส่วนมันเทศที่ปลูกบนดินก็ได้เปลี่ยนจากท่อนเถามันเทศที่ปักเป็นแท่ง ๆ ตอนนั้นกลายเป็นสีเขียวชอุ่มไปทั่วทั้งผืน ซึ่งปลายยอดอ่อนของเถามันเทศสามารถเก็บกลับมาล้างและผัดกินได้ รสชาติดีอย่างมาก
เฉียวเยี่ยนเก็บมากำหนึ่งเตรียมจะชิมความสดใหม่ และถือโอกาสบอกพวกชาวบ้านว่าสิ่งนี้สามารถรับประทานได้ เพราะถึงอย่างไรการเก็บใบอ่อนและยอดอ่อนของมันเทศไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของมันอยู่แล้ว
พวกชาวบ้านต่างก็สงสัย จึงเก็บกลับบ้านไปกำมือหนึ่ง และผัดตามที่หวางเฟยบอก ทั้งอ่อน ทั้งลื่น รสชาติดีกว่าผักส่วนใหญ่เสียอีก
หลังจากตรวจดูในหมู่บ้านจิ่วหลีพัวกับหมู่บ้านม่ายเซียงเสร็จแล้ว เฉียวเยี่ยนก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวง ฮ่องเต้ได้ส่งคนมาส่งจดหมายเร่งรัดให้มู่ฉินเจินกลับไปหลายคราแล้ว ฮองเฮาเองก็บอกว่าคิดถึงนางกับลูกทั้งสอง จึงขอให้พวกเขารีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว
หลังจากรู้ว่าหวางเฟยเหนียงเหนียงกับท่านอ๋องจะกลับเมืองหลวงเช้าวันพรุ่งแล้ว พวกชาวบ้านก็นำของมาส่งให้บ้านที่พวกเฉียวเยี่ยนพัก ไข่ไก่ตะกร้าแล้วตะกร้าเล่า ไส้กรอกเนื้อรมควันหลายชิ้น ผักที่บ้านตัวเองปลูก และผักแห้งที่ตากแดด จนลานบ้านเล็ก ๆ มีแต่ข้าวของที่เต็มไปด้วยความตั้งใจจริงเหล่านี้
เฉียวเยี่ยนไม่มีทางเลือก นางรู้หากส่งของพวกนี้กลับไปพวกชาวบ้านคงไม่ยอมรับกลับไปแน่ จึงส่งองครักษ์นำเหรียญทองแดงไปให้ทุกครัวเรือนในยามวิกาล และให้ส่งแบบเงียบ ๆ นำไหวพริบการระแวดระวังในยามทำภารกิจของพวกเขาออกมา นำเหรียญทองแดงพวงหนึ่งไปไว้ในห้องเจ้าของบ้านโดยไม่ให้ใครรู้
เหล่าองครักษ์ได้รับภารกิจนี้ต่างก็พูดไม่ออก เมื่อก่อนรู้แค่ว่าเป็นขโมยต้องระมัดระวัง ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ก็ต้องส่งเงินเช่นนี้ด้วย
ทว่าโชคดีที่พวกเขามีฝีมือเก่งกาจ ยามฟ้ามืดลมแรงแอบย่องเข้าไปในบ้านพวกชาวบ้าน ส่งเงินให้พวกเขาเสร็จก็ไม่ถูกค้นพบ
เช้าวันรุ่งขึ้น บ้านเล็ก ๆ ที่พวกเฉียวเยี่ยนพักอยู่ก็เริ่มคึกคักขึ้นมา จัดเก็บสัมภาระขึ้นรถ เตรียมออกเดินทาง
เฉียวเยี่ยนกำลังย่างแป้งย่างจำนวนหนึ่งอยู่ในห้องครัว เพื่อเตรียมเป็นเสบียงแห้ง ไว้กินระหว่างเดินทาง และมู่ฉินเจินก็พาลูก ๆ ออกกำลังกายยามเช้าอยู่ในลานหน้าบ้าน
เด็กน้อยทั้งสองที่แขนขาสั้นกำลังทำท่านั่งควบม้า ท่าทางจริงจังสุดขีด เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ลุกขึ้นมาเด็ดขาด หลังทำท่านั่งควบม้าเสร็จ ก็ออกหมัดมวยตามผู้เป็นพ่อ
มู่ฉินเจินสอนลูก ๆ มาระยะหนึ่งแล้ว กระทั่งบัดนี้ เด็กทั้งสองได้เรียนวิชาหมัดพื้นฐานสุดเป็นแล้ว กำปั้นน้อยเน้น ๆ นั้นชกออกมาได้อย่างฮึกเหิมมาก ท่าทางก็แม่นยำอย่างยิ่ง
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ในยามเข้าเรียนได้เปลี่ยนเป็นเจ้าปลาอ้วนที่จำได้เพียงเจ็ดวินาทีเท่านั้น อาจารย์เข้าสอนนางก็ฟุบหลับ พอเสียงดังน่ารำคาญหน่อยก็แอบล้วงขนมจากกระเป๋าหนังสือออกมากิน นางเรียนมาแล้วหลายเดือนก็ไม่มีความพัฒนาใด ๆ ทว่ากลับมีสหายตัวเล็กไม่น้อยเลย
แต่พรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์ของเด็กน้อยกลับหาใช่คนทั่วไปจะเทียบได้ ในสำนักศึกษาเปิดสอนวิชาการต่อสู้ นางเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนมาโดยตลอด
หลังเฉียวเยี่ยนย่างขนมเสร็จก็มานั่งดูสามพ่อลูกฝึกวรยุทธ์อยู่หน้าประตู เด็กน้อยน่ารักทั้งสองอยู่ด้านหลังท่านอ๋องผู้สง่างาม ภาพนั้นช่างดูน่ารักยิ่ง เฉียวเยี่ยนไม่ชอบใจเลยที่ตัวเองไม่มีกล้องถ่ายรูป นางอยากบันทึกภาพในเวลานี้ไว้จริง ๆ
เมื่อรับประทานข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมออกเดินทาง ทว่านอกลานบ้านกลับมีสตรีผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา เป็นตู้เยว่หงนั่นเองที่อุ้มสาวน้อยคนหนึ่งอยู่พร้อมแบกสัมภาระไว้บนตัว ท่าทางดูหวาดกลัวสุดขีด
บนใบหน้านางมีบาดแผลเพิ่มมากขึ้น ซีกหน้าครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยรอยช้ำ มองดูแล้วน่าสะเทือนใจนัก ส่วนสาวน้อยในอ้อมแขนมีรอยปูดบวมบนหน้าผาก เดิมทีร่างเล็กนั้นก็ซูบผอมอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูน่าสงสารเพิ่มไปอีก
ตู้เยว่หงพุ่งเข้าไปหาเฉียวเยี่ยน คุกเข่าคำนับศีรษะติดพื้น ร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นทาง พลางตะโกนเสียงแหบแห้ง “หวางเฟยเหนียงเหนียง ได้โปรดช่วยพวกเราสองแม่ลูกด้วยเพคะ หม่อมฉันอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
เฉียวเยี่ยนเห็นสภาพนางเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าต้องถูกเถาซานเหลียงทุบตีมาอีกเป็นแน่ จึงก้มตัวไปพยุงนางขึ้นมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องร้อนรน ค่อย ๆ พูด”
ตู้เยว่หงไม่ยอมลุกขึ้น นางร้องไห้เอาแต่พูดเรื่องสองสามวันมานี้ต่อ ขณะที่สาวน้อยในอ้อมแขนนางส่งเสียงร้องไห้ออกมาเหมือนแมวน้อย
ตั้งแต่ที่เฉียวเยี่ยนจากมาในวันนั้น นางก็ได้พิจารณาเรื่อง ‘หย่าขาดกัน’ อย่างจริงจัง นางไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับเถาซานเหลียง อยากให้เขาตายไปเสียใจแทบขาด แต่นางก็ยังไม่เห็นอนาคตของชีวิตหลังการหย่าขาด และไม่รู้ว่าตนจะไปทำอะไรได้
หลังเถาซานเหลียงถูกเตะจนสลบเหมือดไปหนึ่งวัน เมื่อตื่นขึ้นมาได้เขาก็เริ่มทุบตีนางกับลูกอีกครั้ง สาวน้อยถูกเขาผลักไปชนมุมโต๊ะ จนหน้าผากปูดโนออกมา
วินาทีนั้นเองนางก็เริ่มคิดได้ ตัวนางสามารถถูกทุบตีได้ ทว่าลูกน้อยนั้นตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ใช้ชีวิตดี ๆ แม้แต่สักวินาที มีแต่ถูกทุบตีด่าทอ ช่างน่าปวดใจนัก!
เด็กไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เหตุใดต้องมารับโทษเช่นนี้ด้วย! หากจะเอ่ยถึงความผิด คงจะเป็นการมาจุติในครรภ์ของนาง
นางรวบรวมความกล้า ตัดสินใจหย่าขาดกับเถาซานเหลียง ทรัพย์สินเงินทองอะไรนางไม่เอาก็ได้ ขอแค่ให้นางพาลูกไปด้วยได้ก็เพียงพอแล้ว
เดิมทีนางคิดว่าเถาซานเหลียงผู้ชิงชังนางกับลูกเช่นนี้น่าจะตกลงเห็นด้วย แต่ไม่คิดเลยว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่ตกลง แต่ยังจะทุบตีนางกับลูกอีก
นางทนไม่ไหวแล้ว จึงถือโอกาสในตอนที่เถาซานเหลียงหลับเมื่อคืน แอบขโมยเงินที่เขาซ่อนเอาไว้ออกมา และแบกสัมภาระพาลูกหลบหนีในเช้าวันนี้
ทว่าเถาซานเหลียงกลับปวดปัสสาวะตื่นตั้งแต่เช้า นางเพิ่งออกจากบ้านมาได้ไม่นาน ก็โดนเขาจับได้และไล่ตามมา ตอนนั้นนางสมองขาวโพลนไปหมด จึงวิ่งมายังที่พักของเฉียวเยี่ยนอย่างสุดกำลัง
นางรู้ หวางเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนดี ต้องช่วยนางแน่นอน!
เฉียวเยี่ยนฟังนางพูดก็ยิ่งเกลียดชังเถาซานเหลียงมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับตู้เยว่หง นางสามารถก้าวออกมาหนึ่งขั้นได้ ก็แสดงว่าความคิดของนางได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว
ตู้เยว่หงเข้ามาในลานบ้านได้ไม่นาน เถาซานเหลียงก็ตามมาทัน เขาก้าวเข้ามาพร้อมบ่นด่าทอ จนดึงดูความสนใจของชาวบ้านมากมาย ครั้นเห็นเขาวิ่งไปทางบ้านหวางเฟยเหนียงเหนียงก็วิ่งตามชายคนนั้นไป
เถาซานเหลียงเป็นคนเช่นไร พวกเขาในหมู่บ้านย่อมรู้ดี เขาเป็นคนประเภทที่ทำตัวเหมือนสุนัข ช่างน่าเสียดายภรรยาที่มีความสามารถอย่างตู้เยว่หงนัก
ปกติเมื่อพวกเขาเห็นตู้เยว่หงถูกทุบตี ก็จะพยายามช่วยแล้วก็ช่วยได้เพียงรอบเดียว แต่ก็จนปัญญากับเถาซานเหลียง เพราะนั่นคือเรื่องในครอบครัวของเขา พวกเขายื่นมือเข้าไปแทรกแซงมากไม่ได้
แต่หากเขาริอาจรังแกมาถึงหวางเฟยเหนียงเหนียง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเขากำจัดคนชั่วออกจากหมู่บ้านแล้วกัน!
เมื่อเถาซานเหลียงเข้าไปในบ้านเห็นตู้เยว่หงหลบอยู่หลังเฉียวเยี่ยน ก็ด่าทอและจะเข้ามาลากตัวนาง องครักษ์สองคนรีบชักกระบี่ออกมาขวางทางเขาไว้ทันที
เขาก็แค่ไอ้เลวคนหนึ่งที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่กลัวคนที่แข็งแรงกว่า เมื่อเห็นกระบี่สะท้อนเงาวาววับก็ถอยหลังออกไปหลายก้าว แต่ยังคงคิดว่าตัวเองมีเหตุผล จึงร้องตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ ข้ามาหาภรรยาข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า หลีกทางให้ข้า!”
องครักษ์ทั้งสองไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาที่มิอาจเข้าใกล้ได้จึงแผดร้องโวยวายอยู่หน้าประตูบ้าน
เฉียวเยี่ยนส่งสัญญาณให้ฮุ่ยเซียงพาตู้เยว่หงกับสาวน้อยเข้าไปในบ้าน และนางก็เดินไปหาเถาซานเหลียงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“จงเสนอราคามา เจ้าต้องการเท่าใดถึงจะยอมหย่ากับนาง?”
น้ำเสียงนางแฝงไปด้วยความเย็นชา ดวงตาวาวโรจน์คู่นั้นในเวลานี้ทำให้คนพบเห็นรู้สึกหนาวเยือก
เถาซานเหลียงตกใจจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเฉียวเยี่ยน ก็รู้สึกว่ามันน่าหลงใหลมาก ดวงตาสามเหลี่ยมน่าเกลียดคู่นั้นทอประกายออกมา พลางเอ่ยความต้องการที่สูงอย่างองอาจ “ร้อยตำลึง! ขาดตัว นังเด็กคนนั้นข้าไม่เอาแล้ว ให้เป็นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแล้วกัน แถมให้เจ้า! ”
เฉียวเยี่ยนส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา ช่างขี้ขลาดและน่ารังเกียจเสียจริง ไอ้คนทุเรศ!
ครั้นตู้เยว่หงที่อยู่ในห้องได้ยินความต้องการที่สูงของเขา ก็พุ่งออกมาข้างนอก และเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้า “เถาซานเหลียง ไอ้คนจิตใจโฉดชั่ว ข้าไม่หย่าแล้ว! ข้าจะอยู่ที่บ้านตระกูลเถาไปตลอดชีวิต และลากเจ้าไปตายด้วยกัน”
หนึ่งร้อยตำลึงเลยนะ เขาบังอาจเอ่ยออกมาได้อย่างไร!
หวางเฟยเป็นคนดี ยอมช่วยเหลือนาง ทว่านางก็มิอาจปล่อยให้หวางเฟยถูกเอาเปรียบจากไอ้คนไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ไม่ได้
เถาซานเหลียงจะปล่อยโอกาสหาเงินได้มากขนาดนี้ไปได้เช่นไร เมื่อมีเงินหนึ่งร้อยตำลึง เขาก็จะหาเด็กสาวงดงามมากเท่าใดก็ได้ เหตุใดต้องเกาะติดอยู่กับหญิงแก่หน้าเหลืองเช่นนี้ด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันสุดทนแล้วจริง ๆ สินะ สนับสนุนให้หย่าค่ะ เห็นแก่ลูกเถอะ อย่าให้เด็กต้องโตมาในครอบครัวที่เป็นพิษเช่นนี้เลย ขาดพ่อชั่วนี่ไปคนนึงก็ใช่ว่าจะอยู่กันไม่ได้ ส่วนไอ้ผัวเลวนี่ก็อย่าให้มันได้อะไรไปเลย ลองเฉือนไอ้นั่นทิ้งให้เป็ดกินสักหน่อยดูซิว่าจะยังมั่นหน้าขอร้อยตำลึงอยู่อีกไหม
ไหหม่า (海馬)