ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 71 ท่านอ๋องผู้ถูกลืม
ตอนที่ 71 ท่านอ๋องผู้ถูกลืม
ตอนที่ 71 ท่านอ๋องผู้ถูกลืม
ครั้นใกล้เที่ยง เกาจัวหยวนก็มาถึงพร้อมรถม้าอีกสองสามคัน บนนั้นมีเถามันเทศถูกมัดเป็นฟ่อนอย่างดีอยู่เต็มคันรถ กล้าพริกยังอยู่ในถาดเพาะกล้า แต่ละถาดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
พวกชาวบ้านได้ปรับปรุงถนนเรียบร้อยแล้ว เส้นทางที่เข้ามาในหมู่บ้านถูกรื้อถางจนกว้างขวางไม่น้อยจนรถม้าแล่นเข้ามาในหมู่บ้านได้สำเร็จ เฉียวเยี่ยนสั่งให้พวกเขาขนเถามันเทศกับต้นกล้าพริกลงมาไว้ที่ใต้ต้นไทรใหญ่ ต้นไทรใหญ่มีพุ่มใบหนาแน่น จึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกแดดส่อง
เมื่อรถม้าเข้ามาในหมู่บ้าน พวกชาวบ้านต่างมารวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่เพื่อช่วยขนลงจากรถ เฉียวเยี่ยนผลัดอาภรณ์ที่สะดวกต่อการทำงาน และพามู่ฉินเจินกับเด็ก ๆ ไปที่ต้นไทรใหญ่
ครั้นพวกชาวบ้านเห็นนางมา ทุกคนก็ยิ้มทักทายนางอย่างกระตือรือร้น ไม่คุกเข่าสั่นกลัวเหมือนอย่างคราแรกอีก
นางถือกรรไกรไว้ในมือ สาธิตวิธีตัดเถามันเทศให้กับชาวบ้าน ซึ่งทำตามได้ง่ายมาก กระทั่งเด็กมองแค่แวบเดียวก็ทำเป็นแล้ว
บรรดาสตรีกับเด็ก ๆ รีบกลับบ้านไปหยิบกรรไกรกับม้านั่งเล็ก ๆ มา นั่งตัดเถามันเทศอยู่ใต้ต้นไม้ไปด้วย คุยเล่นกันไปด้วย
เหล่าบุรุษตามเฉียวเยี่ยนไปในท้องนา เฉียวเยี่ยนหยิบจอบมาขุดดินอย่างชำนาญ จากนั้นก็ขึ้นแปลง และปักเถามันเทศทุกต้นห่างกันประมาณสิบห้ากงเฟิน
ส่วนการย้ายกล้าพริกนั้นง่ายที่สุด ขุดหลุมในแปลงให้เป็นระเบียบ นำต้นกล้าใส่เข้าไปก็เสร็จแล้ว แต่ต้นพริกต้องการน้ำกับปุ๋ยค่อนข้างสูง ก่อนย้ายเข้าแปลง ดินจะต้องชื้นแต่ไม่แฉะ และต้นกล้าพริกต้องแช่รากไว้ในน้ำ ในตอนที่ย้ายไปปลูกต้องเอาส่วนรากลงดิน พยายามอย่าทำให้รากเสียหาย หลังจากย้ายไปปลูกเสร็จก็ต้องรดน้ำทันที
แปลงพริกถูกเลือกให้อยู่ใกล้กับแม่น้ำ เพื่อให้พวกชาวบ้านสะดวกในการตักน้ำรดผัก
พวกชาวบ้านเป็นเกษตรกรมาครึ่งค่อนชีวิต หลังจากได้เห็นเฉียวเยี่ยนสาธิตมารอบหนึ่งก็ทำเป็นแล้ว และพาเด็ก ๆ ในบ้านมาแบกจอบขุดดินขึ้นแปลงอย่างดีใจ
หลังจากพักอยู่ในหมู่บ้านม่ายเซียงสองวัน พวกชาวบ้านก็เข้าใจกลวิธีการปลูกผักแล้ว ยามนี้ผืนดินถูกขึ้นแปลงไปไม่น้อย พวกผู้หญิงแบกเถามันเทศปักลงในดินทีละต้น ๆ และพวกเด็ก ๆ ก็รดน้ำตามหลังมา
ดวงตะวันส่องแสงเจิดจ้า ร้อนแรงจนเหงื่อผุดตรงหน้าผาก ไหลไปตามกรอบหน้าแต่ละคนและหยดลงไปพื้นดิน
ปลูกผักลำบากไหมน่ะหรือ?
ลำบากสิ! ต้องออกบ้านก่อนฟ้าสาง ตกเย็นเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็กลับบ้าน ขุดดินมาทั้งวัน เมื่อยเอวจนยืดขึ้นไม่ได้
เพื่อให้ทำงานได้ทันฤดูกาล บางครั้งก็ต้องกินข้าวกันกลางทุ่งนาแก้ขัดไปก่อน มิอาจตัดใจพักผ่อนได้ กินเสร็จแล้วก็ทำงานต่อไป
แต่ตอนนี้ แม้จะเหนื่อยเหมือนอย่างเมื่อก่อน แต่บนใบหน้าของพวกเขากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ทำไมน่ะรึ? ก็เพราะชีวิตมีความหวังนะสิ!
เงินสองตำลึงต่อที่ดินหนึ่งหมู่ ขอแค่พวกเขาขยันขันแข็ง ในหนึ่งเดือนพวกเขาก็จะหาเงินได้สิบสองตำลึง หากเก็บสะสมต่อไป ผ่านไปสองปีก็จะสามารถสร้างบ้านใหม่ได้
เรื่องสินสอดทองหมั้นของเด็ก ๆ ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คนแก่เจ็บป่วยก็ซื้อยาให้ได้ แค่คิดก็รู้สึกมีความสุข
ความสุขของพวกชาวนาช่างเรียบง่ายมาก แค่หมูในบ้านตกลูก พวกเขาก็มีความสุขได้นานแล้ว ปลูกแตงแล้วออกผลลูกใหญ่ พวกเขาก็โอ้อวดได้นานนม เฉกเช่นตอนนี้ มีงานหาเลี้ยงชีพ มีความหวัง บางครั้งที่กำลังเพ้อฝันก็ถูกเสียงหัวเราะปลุกให้ตื่น
ในท้องทุ่งกว้างใหญ่ พวกชาวบ้านหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินยุ่งอยู่ในทุ่งนา บางครั้งก็ตะโกนสองสามครั้ง เล่าเรื่องตลกให้กันและกัน เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินสวมหมวกไม้ไผ่เดินอยู่กลางทุ่ง ได้ยินพวกชาวนาหัวเราะเสียงดัง พวกเขาก็หัวเราะตามโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเยี่ยนกำลังเดินเล่นอยู่ในทุ่งกว้าง ตรวจสอบว่าทุกคนปลูกได้มาตรฐานหรือไม่ โดยมีมู่ฉินเจินเดินตามอยู่ข้าง ๆ นางอย่างเงียบ ๆ ไม่ว่านางจะทำอะไร ก็มักจะมีร่างเขาอยู่ด้านหลังด้วย
พวกชาวบ้านได้ค้นพบแล้วว่าท่านอ๋องซู่ผู้เย็นชาสูงส่งในข่าวลือ ความจริงแล้วเป็นคนกลัวเมียคนหนึ่ง
แค่หวางเฟยปรากฏตัวอยู่ที่ใด ก็ต้องมีท่านอ๋องตามมาอย่างเงียบ ๆ ที่นั่น ถ้าหวางเฟยไปทางตะวันออก เขาไม่มีวันไปทางตะวันตกแน่นอน
หลังจากสอนคนในหมู่บ้านม่ายเซียงจนเป็นงานแล้ว พวกเฉียวเยี่ยนก็เดินทางไปยังหมู่บ้านจิ่วหลีพัว ซึ่งชาวบ้านจากหมู่บ้านจิ่วหลีพัววิ่งมาสังเกตการณ์ที่หมู่บ้านม่ายเซียงนานแล้ว ไม่รอให้เฉียวเยี่ยนพูดอะไรมาก พวกเขาก็รู้แล้วว่าควรทำอย่างไร และทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
ด้วยพื้นที่สองพันหมู่ พวกเกาจัวหยวนต้องลำเลียงต้นกล้ามาหลายครั้งกว่าจะปลูกทั้งแปลงเสร็จ
จวบจนปลูกมันเทศกับต้นพริกเข้าที่เข้าทางแล้ว พวกเฉียวเยี่ยนก็ออกเดินทางกลับเมืองหลวง และทิ้งคังฮวาไว้ที่หมู่บ้านม่ายเซียง รับผิดชอบรายงานสถานการณ์การปลูกผักของทั้งสองหมู่บ้าน
ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็ส่งคนออกจากวังหลวงมาหาเฉียวเยี่ยน บอกว่าคิดถึงเด็กทั้งสอง อยากให้นางพาเด็กทั้งสองเข้าวัง แต่เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่าชายชราอาจรอคอยให้นางมาจัดผังเรือนกระจกมากกว่า
เรือนกระจกสร้างได้พอประมาณแล้ว ชั้นเพาะกล้ากับถาดเพาะกล้าชุดแรกก็ทำออกมาเสร็จแล้ว ฮ่องเต้เฒ่าเอาแต่มองเรือนกระจกว่างเปล่าอย่างเหม่อลอยทุกวัน และคิดว่าเหตุใดเฉียวเยี่ยนถึงยังไม่กลับมา
ช่วยไม่ได้ เฉียวเยี่ยนจึงลากครอบครัวเข้าวังอีกครั้ง นางไม่ได้ไปหาฮองเฮาในทันที แต่ไปเดินเล่นในอุทยานอวี้ฮวา ซึ่งผืนดินที่เหลือได้ใช้ปลูกผักไปเกือบหมดแล้ว และมีบางส่วนที่งอกต้นกล้าออกมา ใบน้อยน่ารักสองใบกำลังลู่ไหวไปตามลม
ขันทีกับนางข้าหลวงหลายคนทำงานอยู่ท่ามกลางท้องทุ่ง รดน้ำ พรวนดิน ครั้นเห็นเฉียวเยี่ยนเข้ามาก็ยิ้มชื่นราวดอกไม้เบ่งบาน และทำความเคารพอย่างนอบน้อม ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความสนิทสนมกับนาง
พระนางกลับมาได้เสียที ไม่ได้เจอพระนางมาหลายวัน พวกบ่าวคิดถึงแล้ว
ไอ้หยา พระนางรีบมาดูผักที่บ่าวดูแลสิ พวกบ่าวดูแลปรนนิบัติพวกมันเหมือนปรนนิบัติบรรพบุรุษ ด้วยกลัวว่าไม่ระวังแล้วจะทำมันตายตั้งแต่เป็นต้นอ่อน
คิดถึงซาลาเปาที่พระนางทำมากเลย ตั้งแต่ที่รับประทานซาลาเปาที่พระนางทำ ก็รู้สึกว่าอาหารในวังไม่มีรสชาติเลย บ่าวหิวจนผอมโซแล้ว
กลุ่มขันทีและนางข้าหลวงล้อมรอบเฉียวเยี่ยนพร้อมพูดคุยกันเซ็งแซ่ นายไม่เหมือนนาย บ่าวไม่เหมือนบ่าว ออกนอกลู่นอกทาง แต่กลับกลมกลืนกันอย่างยิ่ง
ที่ไหนมีเฉียวเยี่ยน ใบหน้าอันเย็นชาของมู่ฉินเจินก็ดูไม่น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าท่านอ๋องเชื่อฟังหวางเฟย
มู่ฉินเจินจูงมือลูกทั้งสองมองเฉียวเยี่ยนที่ถูกรายล้อมไปด้วยขันทีกับนางข้าหลวง ก็เผลอยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นางช่างเป็นที่นิยมจริง ๆ
เฉียวเยี่ยนถูกกลุ่มคนบ่นหาถึงจนหูอื้ออึ้ง หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยคก็ไปยังตำหนักคุนหนิงเพื่อหาฮองเฮา
เมื่อเข้าไปในตำหนักคุนหนิง เฉียวเยี่ยนก็พบว่าด้านในมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ในลานยังมีบ่อน้ำตกหิน ดอกไม้พุ่มไม้ แต่ตอนนี้กลับไร้วี่แวว เป็นลานโล่งทั้งผืน
ฮองเฮาสวมอาภรณ์ธรรมดากำลังพาเหล่าขันทีกับนางข้าหลวงปลูกผัก
กล้าผักเหล่านั้นถูกนำมาจากเรือนกระจกในตำหนักอ๋องซู่ ผักชนิดไหนล้วนมีหมด
ฮองเฮาถือจอบเล็กขุดอย่างขะมักเขม้น และพูดอย่างสนิทสนมเหมือนดูแลเด็กกับผักทุกต้นที่ปลูกเสร็จ
“โตมาดี ๆ นะ กินปุ๋ยให้มากหน่อย และดื่มน้ำให้มาก ๆ และพยายามเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงนะ”
ครั้นเห็นเฉียวเยี่ยนกับเด็ก ๆ เดินเข้ามา พระนางก็โยนจอบทิ้งทันที และรีบเดินออกมาจากแปลงผักอย่างรวดเร็ว
“ไอหยาเสี่ยวเยี่ยน เจ้ากลับมาได้เสียที รีบมาดูแปลงผักข้าหน่อยว่าใช้ได้หรือไม่ มีที่ไหนต้องแก้ไขหรือไม่?”
หลังจากตรัสจ้อเสร็จก็ทอดพระเนตรไปยังเด็กทั้งสอง พลางก้มตัวนั่งอ้าพระพาหาออกกว้าง “หลานรักของย่า ย่าคิดถึงจะแย่ รีบมาให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”
เด็กทั้งสองดึงมือออกจากมือบิดา วิ่งเข้าไปในอ้อมแขนเสด็จย่า พลางเรียกเสด็จย่าอย่างปากหวาน เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์หอมแก้มเสด็จย่าไปหลายฟอด จนมีน้ำลายเปรอะเปื้อนอยู่บนพระพักตร์ฮองเฮา
ฮองเฮากอดเด็กน้อยทั้งสอง ชอบอย่างไรก็ไม่เคยพอ ครั้นชอบเด็กแล้วก็เริ่มชอบพระสุณิสา จนพระโอรสรูปร่างสูงใหญ่ดุจภูเขาของพระนางแทบกลายเป็นอากาศธาตุ ตั้งแต่เข้าประตูมาไม่ได้รับการทักทายจากพระนางแม้แต่ประโยคเดียว
มู่ฉินเจินขมุบขมิบปากอย่างหมดปัญญา เขารู้แล้วว่าสถานะของเขาในใจเสด็จแม่ตอนนี้อาจจะอยู่ในอันดับหลังต่อจากผักเหล่านั้น และอีกไม่นานพระนางก็อาจจะลืมว่ายังมีพระโอรสอย่างตัวเองอยู่ด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีคนโดนแม่ทิ้งอะ ว้ายๆๆๆ กลายเป็นโบ้โดนทิ้งไปแล้วท่านอ๋อง
ไหหม่า(海馬)