ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 63 หอบผ้าห่มเข้ามาในห้อง
ตอนที่ 63 หอบผ้าห่มเข้ามาในห้อง
ตอนที่ 63 หอบผ้าห่มเข้ามาในห้อง
เฉียวเยี่ยนบังคับร่างกายให้มั่นคง รู้สึกอับอายเล็กน้อย และเอ่ยขอบคุณมู่ฉินเจินเสียงเบา
“ขอบคุณ ข้าไม่เห็นว่ามันมีก้อนหิน”
มู่ฉินเจินไม่พูดอะไร เคลื่อนมือใหญ่ที่จับแขนนางไว้ไปผสานกับมือนาง กุมมือนางเอาไว้
“มันค่อนข้างมืดแล้ว ข้าจะจูงมือเจ้าเดิน”
เฉียวเยี่ยนร่างแข็งทื่อ รู้สึกแปลกเล็กน้อย เดิมทีจะบอกว่าไม่ต้อง แต่มู่ฉินเจินจูงมือนางเดินไปข้างหน้าต่อแล้ว ไม่ให้โอกาสนางได้ปฏิเสธเลย
มือใหญ่กุมมือเล็ก บนฝ่ามือแผ่ไออุ่นออกมาเป็นระลอก ปลายหูเฉียวเยี่ยนร้อนฉ่าเล็กน้อย ปฏิกิริยานี้ทำให้นางไม่ชอบตัวเอง แค่จูงมือเองจะเขินอายอะไร แม้แต่ลูกเจ้าก็คลอดมาให้เขาแล้ว!
ทว่าเมื่อหวนนึกอีกครั้ง นางก็ยังเป็นคนโสดคนหนึ่ง จะถูกผู้ชายจูงมือได้อย่างไร?
แม้ชายคนนี้จะเคยแนบชิดสนิทสนมกับนางมาแล้ว แต่วิญญาณที่อยู่ในร่างตอนเกิดเรื่องนั้นขึ้นหาใช่นางไม่ ดังนั้นนางก็ถือว่ายังเป็นสาวโสดคนหนึ่งอยู่
ในระหว่างที่เฉียวเยี่ยนคิดฟุ้งซ่านอยู่ในหัว นางก็รู้สึกหวั่นกลัว แต่ก็ปล่อยให้มู่ฉินเจินจูงมือไป ทว่านับแต่วินาทีที่มู่ฉินเจินจูงมือนาง เขาก็ยกยิ้มไม่หุบมาตลอดทาง
พอพวกเขามาถึงลานบ้านเล็ก ก็มีหัวหน้าหมู่บ้านมารออยู่ในลานบ้านแล้ว ครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านได้ทำความสะอาดบ้านหลังนี้เรียบร้อย และภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านยังทำอาหารรอท่าท่านอ๋องกับซู่หวางเฟยด้วย
หัวหน้าหมู่บ้านมีแซ่ว่าหวัง เป็นชายชราอายุห้าสิบกว่าปี เส้นผมหนวดเคราล้วนเป็นสีขาวไปหมดแล้ว ครั้งแรกที่ได้เห็นบุคคลสูงศักดิ์อย่างท่านอ่องกับหวางเฟย ทั้งร่างพลันสั่นสะท้าน พาครอบครัวคุกเข่าลงคำนับเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจิน
เฉียวเยี่ยนห้ามพวกเขาไว้ และยิ้มอย่างเป็นมิตร “ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องมากพิธี เป็นพวกข้าเองที่มารบกวน”
หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับอึ้งงัน รู้สึกตกตะลึงกับรอยยิ้มของเฉียวเยี่ยน เหตุใดซู่หวางเฟยถึงได้ใจดีเช่นนี้?
หลายปีก่อน พวกเขาเข้าไปในเมืองและเคยพบใต้เท้าผู้ตรวจการที่มาสังเกตการณ์ ทั่วทั้งบริเวณนั้นเอิกเกริกมาก ผู้คนตามท้องถนนต่างคุกเข่าต้อนรับ แล้วท่านอ๋องกับหวางเฟยไม่ต้องมีพิธีที่ใหญ่กว่านี้หรือ?
ก่อนที่พวกเฉียวเยี่ยนจะมาถึง ครอบครัวพวกเขาซ้อมคุกเข่าคำนับกันตั้งหลายครั้ง ด้วยกลัวว่าพวกตนจะไม่ระวังไปล่วงเกินผู้สูงส่งเข้าจนโดนบั่นศีรษะ
ชายชราผู้สำรวมตนเชิญพวกเฉียวเยี่ยนเข้าไปในบ้าน ก่อนลูกชายทั้งสองของหัวหน้าหมู่บ้านจะยกอาหารมารับหน้า
อาหารยังร้อนกรุ่นอยู่ มีข้าวอบเมล็ดข้าวโพดสีเหลืองทองหนึ่งถาดใหญ่ กับข้าวทุกอย่างล้วนเป็นอาหารพื้นบ้าน มีผัดหมูรมควัน ผักดองเค็ม ยำผักป่า แล้วก็แกงไก่หม้อใหญ่
หน้าตาอาหารดูธรรมดา แต่ดูออกว่าเป็นของดีที่สุดที่พวกเขาหามาได้แล้ว พวกชาวบ้านยากจนกินแต่รำข้าวกล้องจนแทบสำลัก ยากนักที่จะทำกับข้าวน้ำมันเยิ้มเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแกงไก่หม้อใหญ่เลย ไม่แน่ว่าชายชราคนนี้อาจจะเชือดแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้ออกไข่ของตัวเองมาทำอาหารก็เป็นได้
เฉียวเยี่ยนรู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งหัวใจ และเอ่ยขอบคุณหัวหน้าหมู่บ้าน “ขอบคุณครอบครัวท่านผู้เฒ่าที่ให้การต้อนรับ…”
เด็กทั้งสองคุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก ครั้นได้ยินท่านแม่ขอบคุณ ก็พูดขอบคุณคุณปู่อย่างปากหวาน
หัวหน้าหมู่บ้านมึนงง ในหัวอื้ออึง ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ หวางเฟยดีแค่ไหน ลูกก็ดีแค่นั้น
เฉียวเยี่ยนคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านอีกสองสามประโยค ให้เขาเรียกพวกชาวบ้านมารวมตัวกันในเช้าวันพรุ่ง หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าขานรับ และพาครอบครัวจากไป
หลังจากครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านจากไปแล้ว มู่ฉินเจินก็ส่งสายตาให้เกาจัวหยวน เกาจัวหยวนเข้าใจทันที และตามพวกเขาไป หยิบแท่งเงินออกมาจากเอวแล้วยัดใส่มือหัวหน้าหมู่บ้าน
หัวหน้าหมู่บ้านยังไม่ทันได้เข้าใจ ในมือก็มีเงินเพิ่มมาอีก เขาเผยอปากเล็กน้อย มองไปทางเกาจัวหยวนด้วยสายตาว่างเปล่า เกาจัวหยวนจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รางวัลจากท่านอ๋องกับหวางเฟย ท่านรับไปเถิด”
หลังมองเกาจัวหยวนกลับบ้านจนลับสายตาไปแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็หยิบแท่งเงินขึ้นมากัด เมื่อพบว่าเป็นของจริง ภรรยากับลูกทั้งสองของเขาก็มองมาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
เงินหนึ่งแท่งอย่างน้อยก็มีค่าสี่ห้าตำลึง พวกเขาฆ่าไก่เพียงหนึ่งตัวซึ่งมีราคาไม่เท่าใด ท่านอ๋องกับหวางเฟยช่างใจกว้างเหลือเกิน!
เมื่อครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้านจากไป พวกเฉียวเยี่ยนก็เริ่มรับประทานข้าว แค่ครอบครัวพวกเขาสี่คนย่อมรับประทานไม่หมดอยู่แล้ว นางจึงให้ผู้ติดตามสองสามคนนั่งลงกินข้าวด้วย แต่คนเหล่านี้ดื้อรั้นนัก ไม่ยอมร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้านาย นางจึงหมดปัญญา ได้แต่แบ่งอาหารออกเป็นสองส่วน และให้พวกเขาไปรับประทานกันเองส่วนหนึ่ง
ฝีมือการทำอาหารของภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านดีมาก แกงไก่หนึ่งหม้อทั้งอร่อยทั้งเข้มข้นและไม่มีกลิ่นคาว เฉียวเยี่ยนตักแกงไก่ให้เด็กทั้งสอง และคดข้าวอบข้าวโพดแช่ลงในน้ำแกง เด็กทั้งสองถือช้อนโต๊ะ ตักเข้าปากเอา ๆ รับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
ไก่บ้านที่เลี้ยงแบบปล่อยในชนบทนั้นรสชาติดีมาก แม้เนื้อจะค่อนข้างเหนียว แต่รสชาติดีกว่าไก่ที่ล้อมคอกเลี้ยงเสียอีก
หลังกินข้าวเสร็จ ฮุ่ยเซียงก็ได้ต้มน้ำหม้อหนึ่งมาให้เจ้านายล้างหน้าบ้วนปาก เด็กทั้งสองเดินทางมาทั้งวันรู้สึกง่วงนานแล้ว หลังจากกินข้าวอิ่มก็นั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ มุมปากของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยังมีเศษข้าวติดอยู่ แล้วนางก็หลับไปพร้อมกับกอดถ้วยข้าว
เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขันมาก ก่อนจะอุ้มเด็ก ๆ เข้าไปในห้อง เช็ดหน้าให้พวกเขาอย่างง่าย ๆ จากนั้นก็อุ้มพวกเขาซุกเข้าไปนอนใต้ผ้าห่ม
หลังจากนางล้างหน้าอาบน้ำทุกอย่างเสร็จกำลังเตรียมจะเข้านอน มู่ฉินเจินก็มาเคาะประตู นางเปิดประตูอย่างงุนงง แล้วก็เห็นมู่ฉินเจินกอดผ้าห่มเหมือนสุนัขตัวใหญ่ที่ไม่มีใครเลี้ยง มองมาที่นางด้วยสายตาน้อยใจและน่าสงสาร
เฉียวเยี่ยนหัวเราะออกมา และรู้สึกว่าท่านอ๋องน่ารักมาก “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
มู่ฉินเจินรู้สึกอายเล็กน้อยที่ถูกนางหัวเราะใส่ แต่ก็ยังคงรักษาท่าทางไม่มีใครต้องการเอาไว้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าไม่มีที่ให้นอน”
เฉียวเยี่ยน “?”
แล้วอย่างไร? จะมานอนกับนางรึ?
ระบบตัวน้อยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ผิวปากเหมือนพวกนักเลงน้อย พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
[ว้าว ท่านโฮสต์ ระบบขอให้ท่านท้องวันท้องคืน ]
เฉียวเยี่ยนรู้สึกเอือมระอา อยากหิ้วเด็กน้อยขึ้นมาตีก้นสักสองป้าบจริง ๆ
“อ่านหนังสือให้มันเยอะ ๆ แล้วอ่านเรื่องไร้สาระบนอินเทอร์เน็ตให้น้อย ๆ หน่อย ข้าว่าเจ้าอย่าใส่ชุดองค์หญิงสีชมพูเลย เปลี่ยนไปใส่ชุดมินเนี่ยนดีกว่านะ”
ระบบตัวน้อยที่ถูกท่านโฮสต์สั่งสอนก็เชิดหน้าน้อยขึ้น หมุนตัวหันก้นมาให้นาง
[ฮึ่ม! ระบบหาใช่มินเนี่ยนเสียหน่อย!]
เฉียวเยี่ยนไม่สนใจระบบตัวน้อยที่อารมณ์ไม่ดี นางมองมู่ฉินเจินอย่างจำใจ “ห้องนี้เตียงค่อนข้างเล็ก น่าจะ…”
นอนสี่คนไม่ได้…
แต่ทว่า นางยังไม่ทันพูดจบ มู่ฉินเจินที่หอบผ้าห่มอยู่ก็แทรกเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าสดชื่นรื่นรมย์ “ไม่เป็นไร ข้าใช้พื้นที่ไม่มาก นอนได้”
เฉียวเยี่ยนงงงัน ในใจแอบอุทานว่าบ้าเอ๊ยออกมา เช่นนี้ก็ได้รึ? แล้วศักดิ์ศรีท่านอ๋องของท่านล่ะ?
ทว่าท่านอ๋องหน้าด้านผู้นี้ได้จัดแจงที่นอนเรียบร้อยแล้ว เขาย้ายลูกไปไว้ด้านในสุดอย่างเป็นธรรมชาติ ให้เฉียวเยี่ยนนอนตรงกลาง และตัวเองนอนด้านนอกสุด
เฉียวเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู และรวบรวมคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่งั้น…ท่านไปนอนกับเหล่าองครักษ์ไหม?”
มู่ฉินเจินหน้าขรึมลง ประหนึ่งเด็กน้อยงอแง “ไม่เอา พวกเขาเท้าเหม็น แถมยังกรนด้วย”
เกาจัวหยวน “…”
เอื๊อก…ท่านอ๋อง ในตอนที่ท่านพูดประโยคนี้ออกมา ท่านไม่เจ็บปวดใจบ้างหรือ?
เฉียวเยี่ยนหมดคำพูด ในใจต่อสู้กันวุ่นวายไปหมด ทว่าสุดท้ายก็ยอม
เอาเถิด ใช่ว่าจะไม่เคยนอนด้วยกัน แค่ห่มผ้านอนหลับก็เท่านั้น มีอะไรให้น่าเขินกัน!
เฉียวเยี่ยนคลานขึ้นเตียง คลี่ผ้าห่มออก และสอดตัวเข้าไปนอนตัวตรงเหมือนศพ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าตัวเอง
ในขณะที่นางไม่เห็นสิ่งใด มู่ฉินเจินก็คลี่ยิ้มออกมาบนใบหน้า รีบถอดชุดคลุมตัวเองออก นอนลงใกล้ ๆ เฉียวเยี่ยน
ด้านข้างมีร่างอบอุ่นมาเพิ่ม ทำให้ร่างเฉียวเยี่ยนหดเกร็งขึ้นมา เดิมทีเตียงนี้ก็เล็กอยู่แล้ว นอนสองคนก็แน่นขนัด ยามนี้อัดอยู่ด้วยกันสี่คน นางสัมผัสได้ว่าตัวนางใกล้ชิดมู่ฉินเจินอย่างแนบแน่น
หัวใจเต้นตึกตัก หัวที่ซุกอยู่ในผ้าห่ม ได้กลิ่นกายของบุรุษ มันเย็นสดชื่น และหอมมาก
พลันนึกถึงนิยายรักที่เคยอ่านเมื่อก่อน ในบรรดาพระเอกสิบคนมีพระเอกแล้วเก้าคนที่มีกลิ่นกายหอมสดชื่น ที่แท้มันก็เป็นความจริง!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โอ๊ย…หมั่นไส้อ๋องโบ้จริงๆ เลยค่ะ พอเจ้าท่อนไม้ยอมให้นอนด้วยก็ได้ใจใหญ่เลยนะ อยากจะเข้าไปกลั่นแกล้งให้ร้องเอ๋งจริงๆ
เฉียวเยี่ยนอย่าเพิ่งหวั่นไหวสิ แกล้งให้นานกว่านี้หน่อย เห็นโบ้ทรงแบดได้รับการให้อภัยง่ายๆ แล้วในใจมันคันยุบยิบ
ไหหม่า(海馬)