ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 377 ลักลอบเข้าสถานที่ตั้งค่าย
ตอนที่ 377 ลักลอบเข้าสถานที่ตั้งค่าย
ตอนที่ 377 ลักลอบเข้าสถานที่ตั้งค่าย
เหล่าทหารแคว้นเป่ยไม่ได้เข้าต่อแถว กลับเดินไปข้างหน้าแล้วล้อมแผงขายไว้ จากนั้นเจ้าหนวดผู้เป็นหัวหน้าก็ปักดาบลงบนแผงขาย
ลูกค้าด้านหลังเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีก็แยกย้ายกันจากไป ไม่กล้ายั่วยุพวกเขา
เฉียวเยี่ยนแสร้งทำเป็นกลัวและเอนตัวไปทางมู่ฉินเจิน รูม่านตาหดเกร็ง แสดงให้ความเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง
ส่วนมู่ฉินเจินมีสีหน้าไร้อารมณ์ ปกป้องภรรยาและลูก ๆ ของเขาที่อยู่ข้างหลัง พลางหยิบมีดทำครัวขึ้นมาทำโร่วเจียโหมวแล้วส่งให้พวกเขา
“พวกเรามาที่นี่ครั้งแรก เลยไม่รู้กฎที่นี่ ดังนั้นข้าขอมอบโร่วเจียโหมวเหล่านี้ให้พวกท่านได้ลองชิมรส”
แม้คำพูดของเขาจะมีเจตนาประจบประแจงแฝงอยู่ แต่การแสดงออกและลักษณะท่าทางของเขาดูไม่เกรงกลัวเอาเสียเลย ทำให้เหล่าทหารแคว้นเป่ยที่ล้อมอยู่มองเขาอย่างประหลาดใจ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหมือนตอไม้แข็งทื่อ พวกเขาก็ไม่ได้ยั่วยุต่อ แล้วรับเอาโร่วเจียโหมวไปกิน
คนแคว้นเป่ยแข็งแกร่งเป็นธรรมดา ชาวบ้านทั่วไปบางคนยังรู้จักการต่อสู้ ดังนั้นชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จึงไม่ใช่คนที่รังแกได้ง่าย ๆ
แม้พวกเขาจะเป็นทหาร แต่ก็ไม่อยากทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้น
ชายหนวดร่างใหญ่ท่าทางขึงขังสีหน้าเคร่งขรึมพลันเปลี่ยนสีหน้าทันทีหลังกัดโร่วเจียโหมวไปเพียงคำเดียว
ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีผู้คนมากมายเข้าแถวหน้าแผงขายนี้ ช่างอร่อยยิ่งนัก!
เขาไม่เคยลิ้มรสเนื้อแกะตุ๋นเช่นนี้มาก่อนในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกน้ำมันที่ราดบนเนื้อ มันทั้งหอมและเผ็ด หลังจากกินโร่วเจียโหมวจนหมดชิ้นแล้ว ร่างกายก็รู้สึกอุ่นขึ้น
ในแคว้นเป่ยของพวกเขาไม่มีการปลูกพริก ก่อนมีการทำสงครามกับเทียนลี่ มีกองคาราวานจากเทียนลี่มาค้าขายแลกเปลี่ยนพริก และตอนนี้คนส่วนใหญ่ในแคว้นเป่ยก็ได้ลิ้มรสเครื่องปรุงรสแปลกใหม่นี้
โร่วเจียโหมวขนาดเท่าผ่ามือนี้กัดเพียงสองสามคำก็กินหมดแล้ว หลังจากกินเสร็จ พวกเขาก็ยังคงไม่อิ่ม สายตาจับจ้องไปที่หม้อเนื้อแกะตุ๋นที่กำลังเดือด
หัวหน้าหนวดคนนั้นที่ดูไม่ใช่คนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ควักเงินหนึ่งพวงออกมาซื้อโร่วเจียโหมวไปสิบชิ้นเต็ม
หลายวันมานี้อาหารในค่ายล้วนยากที่จะกลืนลงไป และเป็นเรื่องยากมากที่จะพบของอร่อยเช่นนี้ ดังนั้นต้องกินดี ๆ สักมื้อ
ทหารคนอื่นอื่นต่างควักเงินออกมา แต่ละคนซื้ออยู่หลายชิ้น
หลังทหารแคว้นเป่ยกลุ่มแรกผละจากไป ก็มีทหารแคว้นเป่ยคนอื่นตามมาเรื่อย ๆ
ถ้าไม่ใช่ได้กลิ่นหอมหวนก็คงได้ยินคนอื่นพูดถึงรสชาติของโร่วเจียโหมวนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงวิ่งมาลิ้มรส
เพิ่งเปิดร้านวันแรก ร้านโร่วเจียโหมวของเฉียวเยี่ยนก็มีชื่อเสียงขึ้นมา เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่พวกเขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่ก็มีเรื่องที่เกินความคาดหมายของพวกเขาเกิดขึ้นด้วย
พวกเขาตั้งแผงขายอาหารเพียงต้องการดึงดูดความสนใจของทหารแคว้นเป่ย คิดไม่ถึงว่าจะดึงดูดเหล่าชาวบ้านรอบรอบมาด้วย เพียงเช้าวันเดียวก็ขายโร่วเจียโหมวสามร้อยกว่าชิ้นหมด แม้กระทั่งเนื้อแกะตุ๋นหม้อใหญ่ก็เหลือติดก้นหม้อแทบมองไม่เห็น
ในสองวันถัดมา ครอบครัวเฉียวเยี่ยนก็ยังคงตั้งแผงขายอยู่นอกสถานที่ก่อสร้างเพื่อขายโร่วเจียโหมวต่อไป ทหารแคว้นเป่ยบางกลุ่มก็ได้สนิทกับพวกเขาขึ้นมา
มู่ฉินเจินถือโอกาสนี้พูดคุยกับพวกเขา ผูกมิตรกับทหารแคว้นเป่ยคนหนึ่ง จากการพูดคุยก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับตัวประกันมา
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ และมีสัญญาณของหิมะที่ตกลงมาบนท้องฟ้า วันนี้ ครอบครัวของเฉียวเยี่ยนไม่ได้ออกไปตั้งแผงขายของ ทำให้เหล่าทหารแคว้นเป่ยทรมานใจที่ต้องอดกินอาหารถูกปากไปหนึ่งวัน นั่นหมายถึงโอกาสที่พวกเขาแทรกซึมเข้าค่ายกักกันอยู่ไม่ไกลแล้ว
แน่นอนว่าทหารแคว้นเป่ยที่รีบวิ่งออกมาซื้อโร่วเจียโหมวในตอนเช้าต่างต้องตกตะลึงเมื่อเห็นแผงขายว่างเปล่า
เดิมทีคิดว่าครอบครัวของเฉียวเยี่ยนเพียงตื่นสาย แต่หลังจากที่รอมาทั้งเช้าแล้วไม่เห็นแม้แต่เงา ถึงรู้ว่าเช้าวันนี้พวกเขาไม่ตั้งแผง
ไม่กี่วันมานี้ได้กินโร่วเจียโหมวเปลี่ยนรสชาติ เช้าวันนี้กลับต้องไปกินอาหารหมูอันยากจะกลืนลงที่เหล่าพ่อครัวทหารทำ ทำให้เหล่าทหารแคว้นเป่ยบางกลุ่มมีความคิดขึ้นในใจ
แม่นางร้านโร่วเจียโหมวมีฝีมือทำอาหารดียิ่งนัก ถ้าเกิดว่าเชิญนางมาเป็นแม่ครัวทำอาหารได้นั้นคงจะดี
นายพลหนุ่มที่ผูกมิตรกับมู่ฉินเจินมีหน้าที่ดูแลคนหลายร้อยคน หลังจากได้ยินคำแนะนำของพวกเขาที่ว่าจะเชิญแม่หญิงร้านโร่วเจียโหมวมาทำอาหาร เขาก็รายงานเรื่องนี้ต่อแม่ทัพผู้รับผิดชอบการจัดการทีมผู้คุ้มกันตัวประกัน
แม่ทัพเองก็เคยกินโร่วเจียโหมวมาแล้ว รสชาติอร่อยจนไม่อาจสรรหาคำใดมาบรรยายได้ แต่การจะหาคนเข้ามาทำอาหารทำให้ในใจของเขายังคงกังวลเล็กน้อย
เขาเคยได้ยินว่าค่ายทหารต้องสูญเสียอาหารและม้าไปเพราะสายลับ 2 คนที่ลอบเข้ามา เขาไม่กล้าที่จะเสี่ยง หากตัวประกันได้รับการช่วยเหลือ ชีวิตของเขาคงถึงจุดจบ
ทหารแคว้นเป่ยทนหิวโหยมาสองวัน ในที่สุดก็ได้กินโร่วเจียโหมวของเฉียวเยี่ยน ไม่ว่าจะแพงหรือไม่พวกเขาก็ซื้อสองสามชิ้นเพื่อสนองความหิว
เมื่อพลทหารหนุ่มได้ยินว่าพวกเฉียวเยี่ยนมาตั้งร้านแล้ว เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะรีบออกไป เมื่อเห็นมู่ฉินเจินก็บ่นเล็กน้อย “ทำไมสองวันมานี้พวกเจ้าไม่มาขายของ? พวกข้าจะหิวตายกันหมดแล้ว”
เขาพูดโดยไม่รอให้มู่ฉินเจินตอบ รับโร่วเจียโหมวมากัดคำหนึ่ง รอจนกลืนคำแรกลงท้องก็รู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
มู่ฉินเจินช่วยย่างแผ่นแป้งให้เฉียวเยี่ยนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ตอบกลับ “อากาศหนาวเกินไปเลยขี้เกียจออกมา”
คำพูดนี้ทำให้พลทหารที่กำลังกัดโร่วเจียโหมวอยู่ถึงกับสำลักเล็กน้อย แบบนี้ก็ทำได้ด้วยหรือ?
พวกเขาต้องเฝ้าดูกลุ่มตัวประกันท่ามกลางความหนาวเย็น แต่เขามีภรรยาและลูกที่เพรียบพร้อมอบอุ่น แม้แต่การตั้งแผงขายของก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา คนเราจะมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ได้อย่างไร!
เขามองไปที่เฉียวเยี่ยน ในใจยิ่งขุ่นเคืองและอิจฉามู่ฉินเจินมากขึ้น แม้ว่าภรรยาของเขาจะผิวคล้ำเล็กน้อยและหน้าตาไม่ค่อยดีนัก แต่นางก็ทำอาหารเก่ง ในอนาคตเขาก็อยากจะหาภรรยาเช่นนี้เหมือนกัน
เปิดแผงลอยอีกหนึ่งวัน เตรียมขนมไว้สามร้อยชิ้นเช่นเดิม แต่ก่อนลูกค้าที่รอต่อแถวจะทันได้ซื้อ โร่วเจียโหมวก็ถูกขายจนหมดแล้ว
เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารของทหารแคว้นเป่ย ครอบครัวเฉียวเยี่ยนทั้งสามคน จึงทำตัวแบบสามวันจับปลาสองวันผึ่งแห[1] ซึ่งทำให้เหล่าทหารแคว้นเป่ยอยากอาหารจนน้ำลายไหล
ในท้ายที่สุด แม่ทัพก็ทนกับคำตำหนิกล่าวโทษของเหล่าทหารไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขอให้แม่ทัพหนุ่มที่มีความสัมพันธ์อันดีกับมู่ฉินเจินออกมาเชิญเฉียวเยี่ยนเข้ามาทำอาหาร
ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้พ่อครัวทหารทำอาหารไม่อร่อยจนกินไม่ได้ล่ะ
นายพลหนุ่มได้รับความยินยอมจากแม่ทัพ แบกรับความคาดหวังของทั้งกลุ่ม ครั้นสอบถามได้รู้ที่พักอาศัยของมู่ฉินเจิน ก็ได้เดินทางไปเชิญพวกเขาด้วยตัวเอง
เขาไปที่เรือนหลังเล็ก และพบว่าครอบครัวสามคนกำลังกินหม้อไฟบนเตา และกลิ่นก็อบอวลไปทั่วลาน
หม้อทองแดงใบเล็กตั้งบนเตาเล็ก ๆ น้ำแกงข้างในเดือดปุด ๆ ใส่เนื้อแกะแล่บาง ๆ ลงไปลวก คีบออกมาจิ้มน้ำจิ้ม น่าอร่อยยิ่งนัก
เฉียวเยี่ยนเชิญเขาไปรับประทานอาหารด้วยกันอย่างอบอุ่น และหลังจากกินอาหารเสร็จ นายพลหนุ่มแห่งแคว้นเป่ยก็เชิญเฉียวเยี่ยนมาทำอาหารในค่ายกักกันอย่างกระตือรือร้น
แต่ใครจะรู้เมื่อเขาเพิ่งเปิดปากพูด มู่ฉินเจินกลับปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี บอกไปว่าอากาศหนาวเกินไป ไม่อยากให้ภรรยาตนต้องทนทุกข์ลำบาก
แม่ทัพหนุ่มเรียบเรียงคำพูดอยู่นาน แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร
พูดว่าพวกเขาจะให้เงิน?
แต่ธุรกิจของพวกเขาดีขนาดนี้ ก็ไม่เหมือนว่าขาดเงินทอง
ตอนนี้ถึงตาของเฉียวเยี่ยนที่จะแสดงแล้ว ตัวละครของนางต้องแสดงเป็นใบ้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเขย่าแขนของมู่ฉินเจิน และทำท่าทางไปเรื่อยเปื่อยเพื่อแสดงถึงความต้องการของนาง
แต่มู่ฉินเจินที่แสดงเป็นสามีผู้เข้มขรึมก็ปฏิเสธข้อเสนอของนาง
สองสามีภรรยาร้องด้วยช่วยกันหลอกให้พลทหารแคว้นเป่ยงุนงงไปหมด
แม้จะดูไม่เข้าใจท่าทางที่ภรรยาผู้เป็นใบ้วาดมือว่าหมายถึงอะไร แต่ฟังจากคำพูดของสหายตนเขาก็พอเข้าใจ
ก็คือภรรยาสหายอยากจะไป แต่สหายไม่ให้ไป
จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
นายพลหนุ่มแคว้นเป่ยดูเหมือนจะเห็นความหวัง ช่วยเฉียวเยี่ยนคุยกับมู่ฉินเจิน
ในท้ายที่สุดมู่ฉินเจินก็ยอมประนีประนอม และตกลงที่จะให้เฉียวเยี่ยนไปทำอาหาร แต่ต้องให้เขาไปด้วยเท่านั้น มิฉะนั้นก็เลิกพูดเรื่องนี้ได้เลย
[1] สามวันจับปลาสองวันผึ่งแห (三天打鱼,两天晒网) เป็นสำนวน หมายถึงทำงานแบบไม่จริงจัง ทำแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นึกถึงตำรวจสายสืบบ้านเราเลย ทำอาหารเครื่องดื่มอร่อยมากบังหน้าจนกลายเป็นรวยจากการขายของเฉย
ไหหม่า(海馬)