ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 35 ลูกทั้งสองไปเยือนค่ายทหาร (รีไรท์)
ตอนที่ 35 ลูกทั้งสองไปเยือนค่ายทหาร (รีไรท์)
ตอนที่ 35 ลูกทั้งสองไปเยือนค่ายทหาร (รีไรท์)
ช่วงนี้เฉียวเยี่ยนยุ่งมาก ต้องวิ่งไปมาระหว่างตำหนักและหมู่บ้านลวี่หลัวทุกวัน จึงไม่ค่อยได้ดูแลเด็กทั้งสอง
หากปล่อยให้เด็ก ๆ อยู่ในตำหนักเพียงลำพัง เด็กทั้งสองก็จะโวยวายให้พาพวกเขาไปด้วย แต่เส้นทางนั้นลำบากมาก นางจะปล่อยให้พวกเขาต้องไปเหนื่อยลำบากไม่ลง
ตอนนี้เฉียวเยี่ยนกำลังกลัดกลุ้ม เพราะมู่ฉินเจินที่เป็นบิดาของเด็กพวกนี้แสดงจุดประสงค์อย่างชัดเจนว่าจะพาเด็กทั้งสองไปที่ค่ายทหาร
ถึงอย่างไรในค่ายทหาร ถ้าเขาไม่สั่งลูกน้องให้ฝึกทหารก็จัดการงานทหารอยู่ในกระโจม ให้พวกลูก ๆ อยู่ด้วยก็ไม่มีปัญหาอะไร
ครั้นเด็กทั้งสองได้ยินว่าจะได้ไปค่ายทหารกับท่านพ่อก็แสดงท่าทางตื่นเต้นและมีความสุข ออดอ้อนให้เฉียวเยี่ยนเปลี่ยนชุดพวกตนเป็นชุดขี่ม้า
ชุดขี่ม้าสีน้ำเงินหนึ่งแดงหนึ่งยามอยู่บนตัวเด็ก ๆ ก็ดูมีชีวิตชีวาและน่ารักมาก การออกแบบที่รัดรูปทำให้ท้องที่ป่องนูนของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยื่นออกมา
เฉียวเยี่ยนกังวลว่าเด็กทั้งสองจะเบื่ออยู่ในค่ายทหารและสร้างปัญหาให้มู่ฉินเจิน นางจึงหยิบกระเป๋าสัมภาระมาหนึ่งใบและบรรจุข้าวของมากมายให้เด็ก ๆ
ในนี้มีขวดนมสองขวด ข้างในใส่นมผงไว้เสร็จสรรพ ถึงเวลานั้นใช้น้ำอุ่นชงก็ดื่มได้แล้ว นอกจากขวดนมแล้วยังมีเนยแข็งแท่ง ขนมอบชิ้นเล็ก ๆ และผลไม้ให้พวกเขาด้วย
ก่อนที่มู่ฉินเจินจะอุ้มเด็ก ๆ ออกไป เฉียวเยี่ยนยังมิวายกำชับหลายครั้งว่านมผงต้องใช้น้ำอุ่นในการชง ไม่ต้องซื้อของกินจากริมถนนให้พวกเขามากเกินไป
จวบจนมู่ฉินเจินท่องจำคำพูดนางได้ขึ้นใจแล้ว นางถึงได้ปล่อยสามพ่อลูกจากไป
ปกติแล้วมู่ฉินเจินมักจะขี่ม้าไปค่ายทหาร แต่วันนี้มีเด็ก ๆ ไปด้วย จึงให้ลุงฉูเตรียมรถม้า ทว่าเด็กทั้งสองกลับมองม้าอย่างไม่ละสายตา และออดอ้อนอยากจะขี่ม้า
มู่ฉินเจินที่มีลูกเป็นข้อยกเว้นทุกอย่างตอบรับคำขอของลูกทันที พลางโยนสัมภาระในมือให้เกาจัวหยวนผู้เป็นองครักษ์ติดตาม และอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นบนหลังม้า
เด็กทั้งสองถูกโอบอยู่ในอ้อมแขนเขาคนละข้าง ดูมั่นคงและปลอดภัยมาก
ม้าเริ่มขยับแล้ว เด็กน้อยทั้งสองประหลาดใจจนตาลุกวาว ปากน้อย ๆ กรีดร้องออกมาอย่างมีความสุข
วันนี้มีเด็ก ๆ ไปด้วย มู่ฉินเจินจึงขี่ม้าช้าลงมาก แทบจะเหมือนเดินไปค่ายทหาร สามพ่อลูกเดินทางผ่านถนน ดึงดูดให้ผู้คนเงยหน้าขึ้นมามอง
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่ไม่หวาดกลัวใด ๆ โบกมือน้อยให้กับพวกคนที่เดินไปมาบนถนน
“สวัสดีจ้าพี่ป้าน้าอา”
“เห็นหรือยัง ข้ากำลังขี่ม้าอยู่!”
……
เด็กน้อยคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุดมาตลอดทาง เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่ตีหน้าขรึมปากกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าน้องสาวตนช่างเก่งกล้าจริง ๆ
และมู่ฉินเจินที่มีความหลงใหลในตัวลูก ๆ พลันรู้สึกว่าลูกสาวตัวเองทำอะไรก็น่ารักไปเสียหมด
เหล่านายทหารระดับสูงที่พาพวกทหารซ้อมหนักกลางแดดเปรี้ยงอยู่ในค่ายทหารต่างตกใจกับเรื่องนี้ ไม่นึกเลยว่าท่านอ๋องของพวกเขาจะมาสาย!
ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเห็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดน้อยกว่าราหูอมจันทร์เช่นนี้!
พวกเขาพบว่า ตั้งแต่ที่ท่านอ๋องไปรับหวางเฟยเหนียงเหนียงกลับมาเมืองหลวง เขาก็กลับบ้านเร็วขึ้นทุกวัน พอถามผู้บัญชาการเกาถึงได้รู้ว่าท่านอ๋องรีบกลับบ้านไปรับประทานอาหารกับหวางเฟยเหนียงเหนียง
หรือว่าหมู่นี้เขามัวหมกมุ่นอยู่กับหญิงงาม แม้แต่งานราชการก็ไม่เป็นอันทำแล้ว?
เหล่าคนตัวโตต่างใส่สีตีไข่เรื่องราวอยู่ในหัว แต่ละคนยักคิ้วหลิ่วตา และหัวเราะขึ้นมาอย่างสัปดน
ครั้นเหล่มองเกาจัวหยวนที่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูค่าย แววตาทหารกลุ่มหนึ่งก็ฉายความอยากรู้ออกมา จึงวิ่งไปหาเกาจัวหยวนเพื่อสอบถามสถานการณ์
เกาจัวหยวนมองพวกสมองอุดมไปด้วยขี้เลื่อยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง แจกมะเหงกให้พวกเขาเป็นรางวัลทันที
“วันนี้ท่านอ๋องพาท่านชายน้อยท่านหญิงน้อยมาที่ค่ายทหาร กำลังขี่ม้ามาช้า ๆ และตอนนี้ก็อยู่ระหว่างทาง”
“ข้าขอบอกพวกเจ้า อีกเดี๋ยวจงแสดงกิริยาดี ๆ หน่อย หากทำให้ท่านชายท่านหญิงน้อยตกใจ ท่านอ๋องได้ถลกหนังพวกเจ้าแน่!”
ครั้นเหล่าทหารได้ยินว่าท่านชายท่านหญิงน้อยมา แต่ละคนก็ดีใจจนฉีกยิ้มกว้าง แม้จะถูกเขกมะเหงกก็ไม่โกรธ
พวกเขาหลายคนเคยตามท่านอ๋องไปออกรบ นอกสนามรบเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ในสนามรบคือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย พอคิดได้ดังนี้ หากตัดตัวแปรนู่นนี่นั่นออกไป ลูกของท่านอ๋องก็เปรียบเหมือนหลานชายหลานสาวของพวกเขา
หลานชายหลานสาวมา จะไม่แสดงท่าทางให้มันดูดีหน่อยหรือ?
เหล่าขุนพลโง่เขลาต่างวิ่งไปที่ลานฝึกซ้อมทหาร สั่งทหารติดอาวุธว่าอีกเดี๋ยวแสดงกิริยาให้ดี อย่าทำขายหน้าต่อหน้าหลานชายหลานสาวพวกเขา
หลังจากครึ่งเค่อผ่านไป มู่ฉินเจินที่ขี่ม้ามาพร้อมกับพวกเด็ก ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูค่าย กลุ่มทหารต่างพากันชะเง้อคอมองไปยังหน้าประตู ขุนพลหลายคนวิ่งตรงไปยังหน้าประตูเพื่อต้อนรับ
เมื่อมองเด็กน้อยสองคนที่มีผิวขาวเรียบเนียนดุจหยกในอ้อมแขนท่านอ๋อง เหล่าทหารยศสูงก็ยิ่งคันไม้คันมือ อยากเข้าไปกอดยิ่งนัก!
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จ้องมองพวกลุงหน้าใหญ่เคราดำและยื่นมือออกมาโบกให้พวกเขา พลางทักทายด้วยเสียงเด็กเล็ก “สวัสดีจ้าท่านลุงทั้งหลาย”
เสียงเจื้อยแจ้วนั้นเหมือนลูกศรปักกลางหัวใจของเหล่าขุนพลอย่างจัง ในใจเต็มไปด้วยฟองสีชมพูหวานแหวว
น่ารักจังเลย อยากมีเด็กแบบนี้เหลือเกิน!
ฮื้อ…จู่ ๆ อาการอยากมีลูกนี่มันคืออะไรกัน? แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เห็นกระทั่งวี่แววของว่าที่ภรรยาสักนิด!
มู่ฉินเจินมองท่าทางโง่งมของเหล่าขุนพลแล้วก็ส่งสายตาไม่ชอบใจออกมา
เจ้าพวกนี้ทำให้เขาขายหน้าจริง ๆ!
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์มองพวกนายพลเช่นกัน เขาเผยสายตาแบบเดียวกับบิดา และคิดว่าเหตุใดคนเหล่านี้ถึงดูไม่ฉลาดนัก
มู่ฉินเจินอุ้มลูก ๆ และกระโดดลงจากม้า เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์สัมผัสได้ถึงการลอยอยู่ในอากาศ จึงปรบมือน้อยอย่างตื่นเต้น
เมื่อเท้าแตะพื้น เด็กทั้งสองก็สนใจเหล่าทหารที่กำลังฝึกซ้อมอยู่เบื้องหน้า จึงก้าวขาสั้นป้อมวิ่งเข้าไปดู
ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา เหล่าทหารสวมเพียงเสื้อแค่ชั้นเดียวปล่อยหมัดต้านลม หยาดเหงื่อไหลรินลงมาจากหน้าผาก ทว่าพวกเขากลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
ราชองครักษ์คนหนึ่งสวมชุดเกราะกำลังยืนอยู่บนลานฝึกทหารควบคุมเหล่าทหารฝึกซ้อม
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมโตเปี่ยมล้นด้วยความปรารถนา นางก็อยากฝึกต่อสู้เหมือนอย่างท่านลุงพวกนี้เช่นกัน ต่อไปนางจะได้ปกป้องท่านแม่ได้
เด็กน้อยกำหมัดน้อย ๆ ท่าทางดูจริงจัง ราวกับจดจำการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร
กลุ่มทหารตรงหน้าคล้ายกับฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง แต่ความเป็นจริงกลับอดเหลือบสายตาไปมองเด็กทั้งสองไม่ได้
รูปร่างอวบอ้วนนั้นชวนให้อยากใช้มือบีบขยำนัก!
มู่ฉินเจินถ่ายทอดคำสั่งให้เหล่านายพลสองสามประโยค ก็เดินไปหาเด็กทั้งสองบนลานฝึกซ้อม ด้านหลังมีเหล่านายพลตามมา
เห็นท่าทางตั้งใจของลูกสาวแล้วก็ก้มตัวนั่ง ลูบศีรษะของนาง และเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกอยากเรียนการต่อสู้กับพวกลุง ๆ หรือ?”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่น ดวงตากลมโตฉายแววมุ่งมั่นเปี่ยมล้น
มู่ฉินเจินยิ้ม “เช่นนั้นพ่อสอนเจ้าดีหรือไม่?”
สายตาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์สาดแสงออกมา ท่าทางวาดหวังนั้นทำให้เหล่านายพลที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกใจเหลว
สอน! รีบสอนเร็วเข้า! ไม่เคยเห็นเด็กน้อยอยากเรียนขนาดนี้รึ?
ครั้นเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ได้ยินว่าบิดาจะสอนการต่อสู้ก็มองไปทางชายหนุ่ม ในแววตาเต็มไปด้วยความปรารถนา
มู่ฉินเจินลุกขึ้นท่ามกลางสายตาจ้องมองของลูกทั้งสอง และเดินไปยังชั้นวางอาวุธเพื่อเลือกกระบี่ยาวออกมา
คมกระบี่สะท้อนแสงเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะยืนอยู่บนลานฝึกทหาร ราชองครักษ์คนหนึ่งแสดงท่าทางให้เหล่าทหารหยุด และมองท่านอ๋องแสดงอย่างตั้งใจ
กระบี่สะท้อนแสงแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ ทุกกระบวนท่าที่มู่ฉินเจินออกล้วนแฝงไปด้วยเสียงแหวกฝ่าอากาศหวีดหวิว เสริมให้กระบี่ยาวแหลมคมทรงอานุภาพมากขึ้น ทุกท่วงท่าล้วนเด็ดขาดแม่นยำ
ปราณกระบี่แผ่กดดัน บางคราเบาดุจนกนางแอ่นถลาลม เมื่อยกกระบี่ขึ้น บางคราว่องไวดุจฟ้าแลบและพัดพาละอองฝุ่นมาด้วย ท่าทางมู่ฉินเจินดูน่าเกรงขามดุจเทพยดาบนฟากฟ้า
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์เอามือไพล่หลังมองบิดารำกระบี่ ทว่าสายตาตื่นตะลึงจนถึงขีดสุด พลันนึกถึงบทกลอนหนึ่ง บางทีอาจมีแค่คำนั้นถึงจะสามารถเทียบท่าทางอันงดงามของบิดาในตอนนี้ได้
ผู้คนมากมายเฝ้าดู สีหน้าแปรเปลี่ยนตกใจ ฟ้าดินพลันสั่นไหว ประกายกระบี่พร่างพรายดั่งโฮ่วอี้ยิงตะวัน ท่วงท่าฉับไวเสมือนเทพเจ้า ยามร่ายรำทรงพลังดั่งฟ้าร้อง ยามสิ้นสุดสงบนิ่งดุจคลื่นทะเล
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ความน่ารักของท่านชายท่านหญิงน้อยช่างทรงอานุภาพนัก ทำทหารทั้งค่ายหวั่นไหวกันหมดแล้ว
ไหหม่า(海馬)