ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 332 เยี่ยมชมหมู่บ้าน
ตอนที่ 332 เยี่ยมชมหมู่บ้าน
ตอนที่ 332 เยี่ยมชมหมู่บ้าน
พวกอาจารย์ที่สามารถผ่านการคัดเลือกมาอย่างหนักหน่วงมาเป็นสมาชิกในทีมของเฉียวเยี่ยนได้ย่อมมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา พวกเขาพลันเปิดปากโต้วาทีกับบัณฑิตยากจนคร่ำครึสองสามคนบนถนน ก่นด่าจนถอยรนหดหัวไป
ทว่าความคิดของคนมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ยังมีหลายคนที่มีความคิดแบบเดียวกับบัณฑิตยากจนคร่ำครึเหล่านี้ ซึ่งในบรรดานั้นรวมถึงครอบครัวยากจนบางครอบครัวด้วย
พวกเขาขี้ขลาดต่ำต้อย รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า จึงชื่นชมและอิจฉาคนที่มีตำแหน่ง มีอำนาจสูง ส่วนคนที่อยู่ชนชั้นเดียวกับพวกเขา และพึ่งพาตัวเองในการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ดีขึ้น พวกเขากลับหัวเราะเยาะเย้ย
มีเงินแล้วจะมีประโยชน์อะไร? อย่างไรก็เป็นคนต่ำต้อยอยู่ดี เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าขุนมูลนายก็ต้องก้มหัวเคารพนอบน้อมเหมือนเดิม
สำหรับคนประเภทที่ไม่มีความตื่นรู้ แม้มีใจอยากช่วยเขาแค่ไหน ก็ยังเป็นโคลนที่ฉาบอย่างไรก็ไม่ติดผนัง*
(*烂泥给扶上墙 โคลนที่ฉาบอย่างไรก็ไม่ติดผนัง หมายถึง คนไร้ความสามารถ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ หมดหนทางช่วยเหลือ)
หลังจากประกาศไปหลายวัน มีผู้คนมาสมัครไม่น้อย ทว่ายังห่างไกลจากจำนวนที่เฉียวเยี่ยนเปิดรับสมัครเข้ามาก
ตามขนาดโครงสร้างของโรงเรียน มากสุดสามารถรองรับคนได้มากกว่าหนึ่งพันห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นในครั้งนี้นางจึงวางแผนจะรับสมัครห้าร้อยคน
เป็นแบบนี้เมื่อถึงปีที่สาม จำนวนนักเรียนในโรงเรียนก็จะถึงหนึ่งพันห้าร้อยคน ซึ่งอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้สูงสุดของโรงเรียน จากนั้นจำนวนนักเรียนในแต่ละปีก็จะสามารถรักษาให้อยู่ในช่วงนี้ได้
เนื่องจากครอบครัวส่วนใหญ่ในเมืองมีฐานะทางการเงินที่ดี ดังนั้นเฉียวเยี่ยนจึงส่งคนล่วนหนึ่งไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้าน ตามหาเด็กที่ลำบากและวัยเหมาะสมไปทุกครัวเรือน
นางเองก็พาเว่ยอวิ๋นซูกับช่างปักผ้าสองคนไปยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้ชานเมืองหลวง
ตอนนี้เว่ยอวิ๋นซูเป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของโรงเรียนสตรีแล้ว สำหรับเรื่องรับสมัครนักเรียนนางมีความกระตือรือร้นกว่าเฉียวเยี่ยนมาก ตื่นขึ้นมาจัดสัมภาระแต่เช้าตรู่ และวิ่งแจ้นมาหาเฉียวเยี่ยนที่ตำหนักองค์รัชทายาท
วันนี้พวกเด็กโตไม่ต้องไปเรียน เมื่อรู้ว่ามารดาจะออกไปข้างนอกก็อยากจะตามไปด้วย ทว่าพอพวกเขาจะไป เจ้าก้อนแป้งคนสุดท้องก็พูดอ้อแอ้จะตามไปด้วย
เฉียวเยี่ยนจะไปทำงาน การพาเจ้าก้อนแป้งที่ยังพูดไม่ชัดไปด้วยย่อมไม่สะดวก
ช่วยไม่ได้ ในฐานะพี่ที่มีความรับผิดชอบ พวกเด็กๆ ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดที่จะไปกับมารดาและอยู่เป็นเพื่อนน้องชายแทน
เฉียวเยี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจพาเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไปด้วย ในอนาคตเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ต้องแบกรับภาระของมู่ฉินเจินอยู่แล้ว ตอนนี้พาเขาออกไปมากๆ ให้เข้าใจคนกับเรื่องราวต่างๆ บ้าง จะได้เป็นประโยชน์ในการเติบโตของเขา
ด้วยกังวลว่าลูกคนอื่นๆ จะเสียใจ ก่อนจากไป นางมอบหมายงานพิเศษให้ลูกชายหนึ่งอย่าง นั่นคือทำสรุปแผนการเดินทางของวันนี้ และเขียนความรู้สึกหลังได้ไปเยี่ยมชม
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์วัยเก้าปีกว่ามีความแน่วแน่ และรักการเรียนรู้มาก เขารับงานที่ได้รับหมอบหมายจากมารดามาอย่างจริงจัง และรู้สึกว่ามันมีความหมายมาก
เมื่อสามสาวได้ยินว่าออกไปข้างนอกต้องเขียนการบ้านด้วย ก็รีบส่ายหัวไม่ไปทันที
อยู่บ้านเป็นเพื่อนน้องชายยังสนุกกว่าอีก!
หลังจากเกลี้ยกล่อมเด็กๆ เสร็จ กลุ่มเฉียวเยี่ยนก็นั่งรถม้าสองคัน เดินทางไปยังหมู่บ้านเล็กๆ
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน เฉียวเยี่ยนถามทางก่อน และไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน บอกเจตนารมณ์แก่เขา จากนั้นก็ให้หัวหน้าหมู่บ้านพาพวกเขาไปบ้านที่มีเด็กวัยนักเรียน
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินว่าทางโรงเรียนต้องการรับสมัครนักเรียน ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเด็กๆ มาก จึงรีบพาพวกเขาไปที่เยือนบ้านแต่ละหลัง
วันนี้ผู้ติดตามคุ้มกันยังคงเป็นหลันหนิงกับเกาจัวหยวน ซึ่งเฉียวเยี่ยนเห็นแก่ตัวเล็กน้อย อยากให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน
หลันหนิงกับเกาจัวหยวนปกป้องพวกเจ้านายอยู่ด้านหน้า ด้วยกังวลว่าสุนัขในหมู่บ้านจะพุ่งออกมาทำร้ายคน ทว่าความกังวลนี้มีมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
หัวหน้าหมู่บ้านนำทางอยู่ด้านหน้าสุด สุนัขทุกตัวในหมู่บ้านรู้จักเขา เมื่อเห็นหน้าก็กระดิกหาง เชื่อฟังอย่างมาก
ไม่นานก็มาถึงบ้านหลังแรก เป็นบ้านของหูอวี้หลินซึ่งมีลูกสาวอยู่สองคนและลูกชายคนเล็กอีกหนึ่งคน ลูกสาวคนโตอายุสิบห้าปี ลูกสาวคนเล็กอายุสิบสองปี ตรงกับเงื่อนไขอายุที่เฉียวเยี่ยนกำหนดไว้พอดี
ลูกชายอายุแปดขวบ ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียน
เวลานี้เป็นเวลารับประทานอาหารเช้า ผู้คนที่ออกไปทำงานในตอนเช้าก็กลับมาแล้ว ดังนั้นการหาคนจึงค่อนข้างสะดวก
ครอบครัวของหูอวี้หลินกำลังกินข้าวเช้า ครั้นเห็นหัวหน้าหมู่บ้านพาคนมา ก็รีบออกไปต้อนรับทันที
เฉียวเยี่ยนไม่ได้เปิดเผยตัวตนของนางต่อหัวหน้าหมู่บ้าน แต่บอกเพียงว่าตัวเองเป็นอาจารย์ในโรงเรียน เมื่อครอบครัวของหูอวี้หลินเห็นนางก็มีท่าทางสุภาพอย่างมาก ทว่าไม่มีความเกรงกลัวอะไร
เมื่อนั่งลงที่โถงหน้าบ้านแล้ว เฉียวเยี่ยนก็มอบเอกสารรับสมัครนักเรียนหนึ่งฉบับให้หูอวี้หลิน ชายซื่อๆ ผู้นี้ลูบศีรษะอย่างอย่างตรงไปตรงมา บ่งบอกว่าตัวเขาไม่รู้หนังสือ เฉียวเยี่ยนจึงต้องมอบมันให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นก็แนะนำให้เขาอย่างละเอียด
นางแนะนำโรงเรียนทีละอย่าง หูอวี้หลินได้ฟังก็นิ่งค้างไปชั่วขณะ และมองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านอย่างไม่แน่ใจ เห็นเพียงหัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้ารัวๆ ยืนยันว่าสิ่งที่เฉียวเยี่ยนพูดนั้นเป็นความจริง
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกเลือดสูบฉีดในหัวใจ หากไม่ใช่เพราะลูกๆ ของเขาโตแล้ว และหลานๆ เขายังเด็กเกินไป เขาก็อยากจะส่งเด็กๆ ไปโรงเรียนด้วยเช่นกัน
เรียนรู้งานฝีมือก็เป็นเรื่องที่ดี หากสามารถไปในตัวเมืองหางานสบายๆ หน่อยได้ วันหน้าก็ไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องอาหารเสื้อผ้าแล้ว
ภรรยาและลูกสามคนของหูอวี้หลินแอบฟังอยู่นอกห้อง เมื่อลูกสาวทั้งสองได้ยินว่ามีสำนักศึกษาที่ยอมรับสตรี ก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ
พวกนางอยากไปมาก!
เมื่อครู่ได้ยินฮูหยินคนงามผู้นั้นบอกว่า ในสำนักศึกษามีสอนเย็บปักถักร้อย พวกนางอยากไปเรียนมาก หากสามารถเรียนรู้จนมีฝีมือดีได้ วันหน้าไปทำงานในโรงงานเย็บปักผ้า ก็จะได้รับเงินหนึ่งตำลึงทุกเดือน!
แต่พวกนางกลัวว่าพ่อแม่จะไม่ให้ไป ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้องจ่ายค่าเรียนสองตำลึง สำหรับครอบครัวแล้ว ก็ยังลำบากมากอยู่ดี
ทั้งหูอวี้หลินกับจางซื่อผู้เป็นภรรยารู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงฐานะทางบ้านที่ไม่มีข้าวจะกิน ก็เกิดลังเลขึ้นมาอีกครั้ง
หูเฉียวเฉียวลูกสาวคนเล็กของหูอวี้หลินพุ่งเข้ามาในห้องโถง และคุกเข่าต่อหน้าหูอวี้หลิน “ท่านพ่อ ให้ข้ากับพี่หญิงได้ไปสำนักศึกษาเถิด พวกเราจะตั้งใจเรียนแน่นอน!”
หูอวี้หลินยังไม่ทันได้ดึงลูกสาวคนเล็กลุกขึ้นมา หูเหมียวเหมียวลูกสาวคนโตก็รีบพุ่งเข้ามา และคุกเข่าอยู่บนพื้นขอร้องเขาให้พวกนางไปเข้าเรียน
จางซื่อมีน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนเอ่ยเกลี้ยกล่อมสามี “ท่านพี่หลิน ไม่เช่นนั้นให้พวกลูกๆ ไปเถิด เราขายหมูสองตัวที่บ้านไป ก็น่าจะพอจ่ายค่าเล่าเรียนได้”
“หากวันหน้าพวกนางเรียนจบแล้ว ชีวิตก็จะได้ดีขึ้นบ้าง”
หูอวี้หลินเป็นคนรักลูกๆ มาก เมื่อมีโอกาสนี้ เขาก็อยากส่งลูกๆ ไปสำนักศึกษาเช่นกัน
อีกทั้งเขายังพิจารณาแล้วด้วยว่า ลูกสาวคนโตอายุสิบหน้าในปีนี้ ยังไม่ได้คุยกันเรื่องแต่งงาน หากนางไปเรียนสามปี ก็จะเป็นหญิงสาวอายุสิบแปดแล้ว
เฉียวเยี่ยนคิดว่าเขายังกังวลเรื่องค่าเล่าเรียน นางจึงเอ่ยขึ้น “ทางโรงเรียนจะจัดหาตำแหน่งงานให้ ขอแค่เด็กๆ อดทนต่อความยากลำบาก ตัวเองก็สามารถหาเงินได้ อีกอย่างทางโรงเรียนยังก่อตั้งทุนการศึกษาขึ้นด้วย หากเด็กๆ เรียนได้ดี ก็ยังสามารถได้ทุนด้วย”
เมื่อหูเหมียวเหมียวกับหูเฉียวเฉียวได้ยินข่าวนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย พวกนางไม่กลัวความยากลำบาก ตราบใดที่ได้รับโอกาส พวกนางจะตั้งใจแน่นอน!
หูอวี้หลินลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า และเอ่ยความกังวลของตัวเองออกมา ถึงอย่างไรการแต่งงานของลูกๆ ก็เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรให้เรื่องอื่นๆ มาทำให้ล่าช้าได้
เฉียวเยี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ไม่ต้องเป็นห่วง หากมีคู่ครองที่เหมาะสม ก็สามารถหมั้นหมายและแต่งงานได้ ขอแค่ไม่ตั้งครรภ์ระหว่างเรียน และครอบครัวสามีเห็นด้วยก็ไปเรียนต่อได้”
สิ่งนี้เป็นจุดที่เฉียวเยี่ยนละเลยมาก่อน ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสมัยโบราณแต่งงานเร็ว อายุสิบห้าสิบหกกลายเป็นแม่คนแล้วก็มีไม่น้อย
นางเพียงพิจารณาว่านักเรียนเริ่มเรียนอายุมากขึ้นหน่อย เมื่อเรียนจบ พวกเขาสามารถเข้าสู่สังคมได้ และหาโอกาสในการทำงานทันที แต่ลืมเรื่องใหญ่เช่นนี้ไปเสียสนิท
เห็นทีกลับไปต้องเพิ่มกฎโรงเรียนเข้าไปอีกข้อหนึ่งแล้ว
ตอนนี้หูอวี้หลินรู้สึกโล่งใจแล้ว จึงตัดสินใจส่งลูกสาวทั้งสองไปเข้าเรียน ส่วนเรื่องค่าเล่าเรียนนั้น แม้เขาต้องขายข้าวของทั้งหมดในบ้านไป ก็ยังจะจ่ายให้พวกนาง
ครอบครัวเขาให้กำเนิดลูกสาวสองคน ถูกพวกคนในหมู่บ้านเยาะเย้ยไม่น้อย ทว่าความคิดเขาแตกต่างจากคนอื่นลูกสาวแล้วอย่างไร? ลูกสาวยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับลูกชายหรอก
เมื่อลูกชายโตพอแล้ว เขาก็จะส่งไปเรียนเช่นกัน ให้เขาได้เรียนรู้ทักษะหนึ่ง ดูว่าใครจะกล้าหัวเราะเยาะครอบครัวพวกเขา!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เป็นบ้านที่คิดต่างจากบ้านอื่นอยู่นะเนี่ย บ้านอื่นคงจะไม่ยอมให้ลูกเรียน แต่ให้ลูกรีบแต่งงานออกไป
ไหหม่า(海馬)