ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 318 ศึกปะทะคารมกลางตลาดสด
ตอนที่ 318 ศึกปะทะคารมกลางตลาดสด
ตอนที่ 318 ศึกปะทะคารมกลางตลาดสด
เมื่อมู่ฉินเจินได้รับหนังสือแผนงานนี้ เขาก็ชื่นชมหัวสมองของภรรยาตัวเองจริงๆ เหตุใดถึงมีความคิดหลากหลายเช่นนี้?
ขณะคิดเช่นนี้เขาก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก เจ้าท่อนไม้ที่เก่งขนาดนี้ ทั่วโลกนี้คงมีเพียงคนเดียว นั่นก็คือภรรยาของเขา!
หากเฉียวเยี่ยนรู้ว่าเขาชื่นชมนางมากขนาดนี้ จะต้องเขินอายอย่างแน่นอน
นางเก่งอะไรที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่านางแค่ได้เห็นโลกมามากกว่าเขา แผนผังของโรงเรียนในสมัยใหม่ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ นางแค่เปลี่ยนแปลงบางอย่างตามเงื่อนไขในสมัยโบราณและสภาพท้องที่ก็เท่านั้น
มู่ฉินเจินถวายหนังสือแผนการแด่ฮ่องเต้เฒ่า หลังจากฮ่องเต้เฒ่าได้อ่าน ก็อุทานออกมาว่าดีมาก และจัดสรรเงินสองแสนตำลึงให้กับเฉียวเยี่ยนทันที ทั้งยังนำเงินบางส่วนจากคลังส่วนตัวของตัวเองมาสนับสนุนคู่รักสองคนในการสร้างโรงเรียนด้วย
ครั้นฮองเฮาทราบเรื่องนี้ ก็เรียกนางสนมในวังหลังมาบริจาคเงินด้วย พวกสนมเหล่านั้นกระตือรือร้นกับเรื่องสร้างภาพเช่นนี้มาก ใครบริจาคมากย่อมได้หน้ามาก บริจาคกันไปกันมา ก็ได้เงินถึงสามแสนตำลึง
ฮองเฮาเห็นว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดี จึงจัดงานเลี้ยงในวังขึ้น และเชิญเหล่าฮูหยินของขุนนางมาที่วังเพื่อเก็บผลแตงต่างๆ บังหน้า ทว่าความจริงถือโอกาสนี้ถอนขนแกะ*
(* 薅羊毛 ถอนขนแกะ หมายถึงแอบเอาของส่วนรวมมาเป็นของส่วนตัว )
แสร้งทำเป็นเอ่ยถึงเรื่องสร้างโรงเรียนขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วยกตนเป็นผู้นำบริจาคเงิน ครั้นเหล่าฮูหยินเห็นฮองเฮาบริจาคเงิน จะกล้าอย่างไรก็ยังเสแสร้ง แม้แต่ละคนจะถูกถอนขนแกะจนน้ำตานองหน้า กระนั้นก็ยังควักเงินมาบริจาคด้วยรอยยิ้ม
ตลกแล้ว พวกนางจะกล้าไม่บริจาคหรือ?
เรื่องนี้เป็นเรื่องหน้าตาของครอบครัว ครอบครัวขุนนางคนอื่นๆ บริจาคกันแล้ว หากพวกนางไม่บริจาค วันพรุ่งนี้ต้องโดนกีดกันจากวงสังคมขุนนางแน่นอน
เฉียวเยี่ยนไม่คิดเลยว่าแม่สามีตัวเองจะช่วยเหลือมากขนาดนี้ และรวบรวมเงินให้นางได้เกือบหนึ่งล้านตำลึง
การสร้างโรงเรียนไม่ใช่เรื่องเล็ก คาดว่าอาจจะต้องลงทุนหลายล้านตำลึง โชคดีที่นางไม่ต้องจ่ายค่าที่เอง ฮ่องเต้เฒ่าได้เลือกไว้หมดแล้ว
มีที่รกร้างว่างเปล่าทางตะวันตกของเมือง มีพื้นที่กว่าร้อยหมู่ มีภูเขาแห้งแล้งอยู่เบื้องหลัง เหมาะสำหรับสร้างโรงเรียนอย่างมาก
ฮ่องเต้เฒ่าเป็นคนใจกว้างมาก แบ่งที่ดินเป็นชื่อของเฉียวเยี่ยนโดยตรง ไม่เพียงพื้นที่แห้งแล้งหนึ่งร้อยหมู่ผืนนั้น แม้แต่ภูเขารกร้างสองลูกก็เป็นของนางทั้งหมด
เฉียวเยี่ยนได้ภูเขามาสองลูก จึงรู้สึกมีความสุขมาก รอนางคลอดทารกในครรภ์ออกมา แล้วค่อยออกไปสำรวจดินแดนใหม่ของนาง ก็จะดูว่านางจะปลูกอะไรได้บ้างที่สามารถสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ได้
ขุนนางผู้อวดดีบางคนในราชสำนัก ได้ยินว่าไท่จื่อเฟยกำลังจะสร้างโรงเรียนเทคนิคอาชีวะอะไรนั้น ก็พากันโอดครวญว่านางทำให้ท่านปราชญ์ข่งเสื่อมเสียชื่อเสียง
โรงเรียนนั้นเป็นที่แบบไหนกัน?
นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรียนรู้สี่ตำราห้าคัมภีร์* เป็นสถานที่แห่งความรู้แจ้ง จะให้พวกพ่อค้าตลาดล่างเหม็นกลิ่นทองแดงทำมาหากินด้วยเล่ห์เหลี่ยมมาเข้าร่วมด้วยได้อย่างไร!
(*四书五经 หนังสือและคัมภีร์ที่รวบรวมหลักคำสอนในทางปรัชญาขงจื้อเอาไว้ ประกอบด้วยหนังสือ 4 เล่ม และคัมภีร์ 5 เล่ม)
ช่างเป็นเรื่องที่เหยียดหยามคุณธรรมสูงส่งในการเข้ารับศึกษาจริงๆ !
สิ่งที่น่าเกลียดที่สุดคือ ได้ยินมาว่าโรงเรียนอาชีวะที่ไท่จื่อเฟยสร้างยังเตรียมจะรับสมัครบัณฑิตหญิงอีกด้วย!
ไร้สาระ! ตั้งแต่สมัยโบราณมาชายสูงหญิงต่ำ สตรีจะเข้าสำนักศึกษาได้อย่างไร!
สตรีควรเข้าใจในสามเชื่อฟังสี่จรรยา* ดูแลสามี สั่งสอนลูก ยังจะเหลวไหลอยากเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาอีกหรือ? ช่างไร้สาระเหมือนกับการเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนนัก!
(*三从四德 หลักการครองตนของสตรีจีนโบราณ สามเชื่อฟังคือ เมื่อยังเล็กเชื่อฟังพ่อ ออกเรือนแล้วเชื่อฟังสามี สามีตายแล้วเชื่อฟังลูกชาย สี่จรรยาคือ ประพฤติตนดี วาจาดี หน้าตาและกิริยาดี งานฝีมือดี)
ยิ่งชายชราเหล่านี้คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เฉียวเยี่ยนทำนั้นไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เฒ่ากับองค์รัชทายาทถูกนางปั่นหัวจนหัวหมุน ก็ยิ่งเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ได้การแล้ว! พวกเขาต้องเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้เฒ่ากับองค์รัชทายาท ให้พวกเขาได้สติขึ้นมา ใต้หล้านี้เป็นของชายชาตรีอย่างพวกเรา จะให้สตรีคนหนึ่งมาจูงจมูกได้อย่างไร!
ด้วยเหตุนี้เหล่าขุนนางหัวโบราณกลุ่มนี้จึงพกความทะเยอทะยานอย่างยิ่งที่จะกอบกู้โลก เข้าวังไปเอ่ยกับฮ่องเต้เฒ่าอย่างฮึกเหิมคึกคะนอง
ฮ่องเต้ได้ยินเจ้าพวกอวดรู้เอ่ยออกมาก็ทรงกริ้วจนถลึงพระเนตรเป่าเครา และไล่คนออกจากห้องทรงอักษรไป
ครั้งแรกชายชราเหล่านี้ทำไม่สำเร็จ ก็รู้สึกไม่ยินยอมอยู่ในใจ จึงพากันยื่นสาส์นตอนว่าราชกิจ กล่าวโทษเฉียวเยี่ยนที่ทำให้ราชสำนักปั่นป่วน
มู่ฉินเจินเห็นเหล่าขุนนางหัวโบราณเหล่านี้ด่าภรรยาตัวเอง ก็ชักสีหน้าเย็นชาใส่พวกเขาในห้องโถงทันที
“ใต้เท้าต้วน เปิ่นกงจำได้ว่าท่านเกิดในครอบครัวยากจน เหตุที่ท่านผ่านการสอบในปีนั้นและเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก ล้วนอาศัยฝีมืออันเก่งกาจของฮูหยินท่านในการทำแป้งทอด ฮูหยินท่านขายแป้งทอดอย่างยากลำบาก ถึงได้แลกมากับเกียรติของท่านในทุกวันนี้ ทว่ายามนี้ท่านกลับกล่าวว่าสตรีนั้นต่ำต้อย ช่างไร้น้ำใจไร้คุณธรรมนัก!”
“แล้วก็ใต้เท้าอู๋ ได้ยินว่ามารดาท่านประสบกับอาการคลอดยากต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะคลอดท่านออกมาได้ จากนั้นก็ลาลับจากโลกนี้ไปเพราะการเสียเลือดมาก ไม่รู้ว่าสิ่งที่ท่านพูดตอนนี้คู่ควรกับมารดาท่านที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินหรือเปล่า”
“นอกจากนี้ ในบรรดาชนชั้นทั้งสี่* แม้พ่อค้าจะอยู่ปลายแถวจริง ทว่าใต้เท้าทุกท่านที่อยู่ที่นี่กล้าสาบานหรือไม่ว่าไม่มีกิจการอะไรอยู่ในมือ? ไม่มีการไปมาหาสู่กับเหล่าพ่อค้ากลิ่นสาบทองแดงอย่างที่พวกท่านดูถูกกันอยู่นี้?”
(*ชนขั้นทั้งสี่ ได้แก่ บัณฑิตชนชั้นนำ กสิกร กรรมกร และพ่อค้าวาณิช ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ที่ประกอบอาชีพการค้ามีลำดับชั้นทางสังคมต่ำสุด)
ทุกคำพูดของมู่ฉินเจิน ทำให้เหล่าขุนนางที่กล่าวโทษเฉียวเยี่ยนต่างเหงื่อไหลซึมออกมา
พวกเขารู้ดี หากร้องเรียนเรื่องไท่จื่อเฟยยามใด ต้องถูกองค์รัชทายาทสั่งสอนเป็นแน่ ทว่าแม้จะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม ตอนนี้ได้เผชิญหน้าจริงๆ ก็ยังใจฝ่อไม่น้อย
ใต้เท้าต้วนที่ถูกเรียกชื่อเห็นอดีตที่น่าอายที่สุดของตนโดนเอ่ยถึง พลันโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันใด
แต่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นองค์รัชทายาท เขาจึงทำได้เพียงข่มอารมณ์ไว้ และยืนกรานแสดงความเห็นของตัวเอง “สตรีที่แต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี การให้สามีเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่นางควรทำอยู่แล้ว ข้าน้อยได้ชื่อว่าเพิกเฉยไร้ความรู้สึกไม่ได้หรอกพะย่ะค่ะ”
เดิมทีสตรีนั้นต่ำต้อยอยู่แล้ว เขากล่าวไม่ผิดแต่อย่างใด สตรีที่แต่งงานแล้วควรถือว่าสามีเปรียบเสมือนพระเจ้า นางให้สามีเรียนหนังสือ นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามสัจธรรมแล้วไม่ใช่หรือ?
ครั้นฮ่องเต้เฒ่าได้ยินที่เขาพูด ก็อยากจะเดินเข้าไปตบปากเขาสักสองฉาดอย่างไม่สนภาพลักษณ์ใดจริงๆ !
เหตุใดเขาถึงตาบอดให้ชายผู้นี้เข้ารับราชการ ช่างดูหมิ่นชื่อเสียงเขาเสียจริง!
เห็นแก่ตัว หวังแต่ผลประโยชน์ เนรคุณกล่าวแต่ในแง่ลบ!
สองพ่อลูกได้ถกเถียงกับเหล่าขุนนางเฒ่าในห้องโถงอยู่ครู่หนึ่ง พวกนกสองหัวที่ดูเรื่องสนุก ก็ถือโอกาสนี้เข้าร่วมฝ่ายฮ่องเต้เฒ่ากับมู่ฉินเจิน
ใช่ว่าพวกเขาสนับสนุนให้ไท่จื่อเฟยสร้างสำนักศึกษา ทว่าใต้หล้านี้เป็นของตระกูลมู่ หากต้องการเดินไปได้ไกล พวกเขาจำต้องกล่อมฮ่องเต้เฒ่าองค์ปัจจุบันกับฮ่องเต้ในอนาคตให้ได้ก่อน
ท้องพระโรงดีๆ ห้องหนึ่งกลายเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ ทั้งสองฝ่ายถกเถียงกัน ไม่มีใครยอมใคร ทะเลาะกันไปอย่างไม่มีจุดจบ
ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมีพวกนกสองหัวบางคนมาเข้าร่วมด้วย ฝ่ายฮ่องเต้เฒ่ากับมู่ฉินเจินจึงได้รับชัยชนะอย่างเห็นได้ชัด ก่นด่าเหล่าขุนนางหัวโบราณจนพ่ายแพ้ไป สุดท้ายก็ยุติลง เป็นนกกระทาหุบปากอย่างเชื่อฟัง
เมื่อฮ่องเต้เฒ่าดีพระทัยกับการชนะการถกเถียงนี้ ก็พระราชทานรางวัลแก่ขุนนางที่ช่วยทำให้กลุ่มคนงี่เง่าอวดดีเงียบหุบปากสนิทเมื่อครู่ ส่วนเหล่าขุนนางอวดรู้หาเรื่องใส่ตัวเหล่านี้ ก็ถูกลงโทษด้วยการหักเบี้ยหวัดครึ่งปี และกักบริเวณเป็นเวลาสามเดือน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ไม่อยากเห็นคนแก่พวกนี้อีก มันอัปมงคล!
ส่วนเฉียวเยี่ยนผู้ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างทั้งสองฝ่ายและถูกขุนนางขนานนามว่าเป็นหายนะของราชสำนักและประชาชนได้รู้เรื่องนี้ก็หัวเราะจนงอหงาย
หากไม่ใช่เพราะสตรีเข้าไปว่าราชกิจไม่ได้ นางคงย้ายเก้าอี้ไม้แบบโบราณ ถือเมล็ดแตงโมถุงใหญ่ แล้วนั่งแทะกินดูความสนุกอยู่ด้านข้างแล้ว
ด้วยท้องที่ใหญ่โต หัวเราะทีจนชักกระตุก ทำให้มู่ฉินเจินที่เห็นตื่นตระหนกตกใจ กลัวว่านางจะหัวเราะจนทำให้ลูกในท้องหลุดออกมาจริงๆ
ตอนนี้พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงเรียนของนางก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งนางจะตอกหน้าพวกเขาด้วยข้อเท็จจริงอย่างแรงเลย!
ส่วนพวกที่ดูถูกสตรีเหล่านั้น ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นางจะไม่ยอมให้พวกเขาได้ใจหรอก
สำหรับพ่อบ้านใจกล้าพวกนั้น ก็แค่หาใครสักคนหนึ่งไปรายงานพวกหญิงแกร่งเหล่านั้น ให้พวกนางได้รู้ว่าชายที่เหมือนนกกระทาเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนาง กลับดูถูกใส่ร้ายสตรีผู้เป็นมิตรคู่เขนยอยู่ด้านนอก ก็คงหนีไม่พ้นการถูกจับมาคุกเข่าบนกระดานซักผ้า
ส่วนพวกที่เป็นนายท่านอยู่ในบ้านตะคอกใส่ภรรยาไปมา นางก็จะแทรกซึมเข้าไปภายในรังของศัตรู ยุยงให้ภรรยาอนุเหล่านี้ต่อต้าน และจัดการกับชายบ้าอำนาจพวกนั้น
เมื่อเหล่าขุนนางอวดดีเหล่านี้พบว่าภรรยาและอนุของตนกำลังต่อต้าน มันก็สายเกินไปแล้ว และทำได้เพียงให้พวกนางจัดการอย่างเชื่อฟัง ขบฟันข่มความอับอายไว้และกล้ำกลืนลงท้อง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เฉียวเยี่ยนคือเฟมตัวแม่ ผู้นำความเท่าเทียมมาสู่สตรีแห่งรัชสมัยเทียนลี่ค่ะ กล้าต่อต้านแม่เหรอ ผ่านด่านพ่อสามีกับสามีไปให้ได้ก่อนเถอะ
เรื่องปรัชญาขงจื้อนี่หลายเรื่องก็ดีอยู่นะคะ แต่เรื่องกดขี่ผู้หญิงนี่รับไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าท่านเจ็บแค้นเคืองโกรธเพศแม่ด้วยเหตุผลอันใด หรือมีปมด้านจิตใจอะไรกับผู้หญิง ถึงได้เขียนตำรากดหัวผู้หญิงไว้ขนาดนี้ แล้วยังส่งต่อความบ้งนับพันๆ ปีนี้มาถึงปัจจุบันด้วย
ไหหม่า(海馬)