ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 262 ลูกกวาดที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
ตอนที่ 262 ลูกกวาดที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
ตอนที่ 262 ลูกกวาดที่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
ทันทีที่คำพูดออกมา ความจริงก็เปิดเผย สมองของเฉียวเยี่ยนพลันสว่างวาบขึ้น กระพริบตากลมโตสองข้างของตัวเอง ครั้นจ้องมองใบหูของเขา ก็พบว่ามีสีแดงปลั่งจริงๆ
ที่แท้ไม่ได้โกรธ แต่เป็นอายนี่เอง
นางขำออกมา และยิ่งกอดแขนเขาแรงขึ้น และเป่าลมใส่หูเขาเบาๆ “ไม่ต้องอาย ข้าจะช่วยท่านเอง”
ทันใดนั้น สีแดงปลั่งก็ลามจากใบหูมาถึงใบหน้า มู่ฉินเจินจับแขนของปีศาจน้อยอย่างไม่สนความอาย พลิกตัวดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน แล้วกดนางลงเตียง จากนั้นก็จัดการนางอย่างดุดัน…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉียวเยี่ยนปีนตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยอาการปวดเอวเมื่อยหลัง หลังจากยืดเส้นยืดสาย ก็ถอนหายใจอยู่ในใจ
ยุแหย่ตามใจผู้ชายไม่ได้เลยจริงๆ โดยเฉพาะผู้ชายที่อยู่บนเตียง เอวนางแทบจะหักแล้ว
วันนี้ลูกทั้งสองพักเรียน มู่ฉินเจินเองก็หยุดพักเช่นกัน ท่านอ๋องบางคนที่กินอิ่มดื่มพอตั้งแต่เช้าตรูตื่นขึ้นอย่างสดชื่น และพาเด็กๆ ไปออกกำลังกายตอนเช้าแล้ว
แถมยังตั้งใจไปฝึกที่ลานซ้อมในตำหนักโดยเฉพาะ เพื่อให้เฉียวเยี่ยนได้นอนสบายๆ
เช้านี้ลูกทั้งสองพบว่าบิดาของพวกเขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ รอยยิ้มบนหน้าไม่เคยจางหาย ซึ่งเรื่องเช่นนี้เห็นได้ไม่บ่อยนัก
เจ้าปลาอ้วนตั้งท่าควบม้า ท่าทางถูกต้องเป็นพิเศษ แม้จะนั่งยองๆ มานานแล้ว แต่ใบหน้ายังไม่แดง หายใจก็ยังไม่หอบ ขาก็ไม่สั่น ดูผ่อนคลายมาก แถมยังสามารถสนทนากับพี่ชายได้
เมื่อเห็นบิดาฝึกกระบี่อย่างจริงจัง เด็กน้อยก็เปิดปากถาม “ท่านพ่อ เมื่อคืนท่านกินน้ำผึ้งใช่หรือเปล่า?”
มู่ฉินเจินหยุดชะงัก มองไปที่ลูกสาวแสนดีของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
เจ้าปลาอ้วนอธิบายต่อ “เพราะเช้านี้ท่านพ่อหวานมาก ยิ้มหวานด้วย ดังนั้นเมื่อคืนท่านพ่อน่าจะกินน้ำผึ้งไป”
มู่ฉินเจินรู้สึกขบขันกับเด็กน้อย และหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ก่อนตอบอย่างจริงจัง “อืม พ่อกินลูกกวาดไป ลูกกวาดหวานกว่าน้ำผึ้งอีก”
บิดาไร้ยางอายหลอกเด็กทั้งสอง โดยไม่รู้เลยว่าลูกทั้งสองรู้สึกอิจฉาเขาจริงๆ
ปกติพวกเขาถูกมารดาควบคุมการกินลูกกวาดอย่างเคร่งครัด แต่ท่านพ่อกลับสามารถกินลูกกวาดที่หวานกว่าน้ำผึ้งได้
เจ้าปลาอ้วนนึกถึงลูกอมที่มารดาตนยึดไป ก็หางลู่หูตกเล็กน้อย และกำชับบิดาตัวเอง “ถึงลูกกวาดจะอร่อยมาก กระนั้นท่านพ่อก็ควรจะกินน้อยๆ เดี๋ยวจะฟันผุนะ”
มุมปากมู่ฉินเจินกระตุกเล็กน้อย และตอบรับลูกสาวตัวเองด้วยสีหน้าเกรงขาม ทว่าในใจกลับกำลังคิด ลูกกวาดนี้เขาจะกินน้อยไม่ได้ ต่อให้เป็นสารหนู เขาก็เต็มใจกิน
เฉียวเยี่ยนยังไม่รู้เรื่องผู้ชายตัวเองหลอกเด็กๆ เมื่อกินข้าวเสร็จก็เตรียมจะออกบ้านไปเดินเล่น สุดท้ายได้ยินว่ามีร้านอาหารบางร้านจะขายร้านทิ้ง นางจึงอยากไปดูสภาพเสียหน่อย หากเหมาะสมก็จะซื้อ และเปิดร้านสาขาของหอหวาอวิ้น
หลังมอบหน้าที่ดูแลลูกให้ท่านอ๋อง นางก็พาฮุ่ยเซียงออกจากบ้าน
ที่ตั้งร้านอาหารห่างจากหอหวาอวิ้นไประยะหนึ่ง หากเปิดอีกร้านหนึ่งก็ไม่กระทบกับกิจการในตอนนี้
เมื่อเถ้าแก่ร้านรู้ว่านางจะมา ก็มารอตั้งแต่เช้า นางไปถึงหน้าประตูไม่ทันไรก็ตอบรับกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
เฉียวเยี่ยนคุยทักทายเถ้าแก่ร้านครู่หนึ่ง ก่อนจะสำรวจร้านไปทั่ว พื้นที่พอๆ กับหอหวาอวิ้น การตกแต่งค่อนข้างเก่าเล็กน้อย ในโถงใหญ่มีลูกค้าบางตา กิจการเงียบงันยิ่งนัก
ร้านอาหารพื้นที่เท่านี้ เริ่มทำกิจการแรกๆ น่าจะไม่เลวเลย ไม่รู้ว่าตอนท้ายเหตุใดมันถึงได้ถดถอยลง
“เถ้าแก่ ข้าว่าร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองที่พลุกพล่าน ทำเลก็ยอดเยี่ยม ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงต้องรีบขาย?”
เถ้าแก่ร้านรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ก่อนตอบพร้อมเกาศีรษะ “หวางเฟยไม่รู้ ร้านนี้เปิดโดยท่านปู่ต่ำต้อยคนหนึ่ง ฝีมือการทำอาหารของเขายอดเยี่ยมมาก คนเดียวดันร้านอาหารให้ลุกขึ้นมา ตอนนั้นกิจการยังดีอยู่เลย”
“น่าเสียดายที่เขาด่วนจากกะทันหันเกินไป พ่อข้าเรียนทำอาหารยังไม่ทันชำนาญถึงหนึ่งในสาม ต่อมากิจการร้านอาหารทรุดโทรมลงทุกวัน จวบจนตอนนี้รั้งไว้ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ”
เฉียวเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า นางชอบร้านนี้มากๆ เถ้าแก่ร้านเป็นคนซื่อสัตย์ หากราคาพอเหมาะ ก็สามารถซื้อได้
เถ้าแก่ร้านพานางไปเดินดูห้องส่วนตัวต่างๆ กับห้องครัวด้านหลัง หลังจากหารือราคาได้แล้ว สุดท้ายเฉียวเยี่ยนก็ซื้อร้านอาหารด้วยราคาห้าพันตำลึง
หลังจากออกมาจากร้าน นางกับฮุ่ยเซียงก็ไปเดินซื้อของ และซื้อของกินอร่อยๆ ของเล่นไปให้เด็กๆ ที่บ้านเล็กน้อย
เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูตำหนักอ๋องซู่ ก็เห็นเว่ยอวิ๋นซูที่ทำท่าทางเหมือนสุนัขน้อยถูกคนทอดทิ้งนั่งอยู่บนขั้นบันได
“อวิ๋นซู? เจ้าเป็นอะไร เหตุใดถึงไม่เข้าไป?”
เฉียวเยี่ยนรีบเดินเข้าไป พยุงนางลุกขึ้นมาจากบันได มองนางที่มีท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงถามอย่างเป็นกังวล
เว่ยอวิ๋นซูเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตาดูไม่ได้รับความเป็นธรรม คำพูดที่เอ่ยออกมาแฝงไปด้วยเสียงสั่นเครือ “เฉียวเฉียว ข้าอกหักแล้ว”
“หา?”
หัวของเฉียวเยี่ยนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ก่อนพยุงนางเข้ามาในตำหนัก
นางรู้ว่าสาวน้อยคนนี้ชอบพี่ชายตัวเอง และพี่ชายนางเองก็มีความรู้สึกกับอีกฝ่าย ทว่าทั้งสองคนไม่เปิดเผยกันมาตลอด
เหตุใดยามนี้ถึงได้อกหักเสียได้ล่ะ? หรือพี่ชายนางชอบพอกับสาวอื่นแล้ว?
เมื่อพาเว่ยอวิ๋นซูมาถึงชั้นลอยเล็กบนบ้าน ฮุ่ยเซียงก็ยกน้ำชาเข้ามา และปล่อยให้ทั้งสองอยู่ด้วยกัน
“เอาล่ะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว พูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เว่ยอวิ๋นซูสูดน้ำมูก ก่อนเล่าเรื่องที่เจอบนถนนวันนี้ให้นางฟัง
วันนี้นางไปช่วยมารดานางซื้อผ้าที่ร้านผ้า เมื่อเข้าประตูไปก็เจอกับองค์หญิงเจียหนิง หรือก็คือบุตรสาวของพระสนมเสียนเฟย
ปีนี้องค์หญิงเจียหนิงมีอายุสิบหกปีแล้ว สง่างดงามมาก และอ่อนโยนทำให้คนหวั่นไหว
เหล่าบุตรสาวขุนนางใหญ่ที่ติดตามนางต่างยกยอนาง
บุตรสาวขุนนางใหญ่คนหนึ่งเห็นถุงหอมที่ห้อยอยู่ข้างเอวนาง ก็เอ่ยชม “องค์หญิงมีฝีมือเยี่ยมยิ่งนักเพคะ ลายต้นไผ่ที่อยู่บนถุงหอมนี้ปักได้มีชีวิตชีวาดุจของจริงมาก”
องค์หญิงเจียหนิงหยิบถุงหอมขึ้นมา สีหน้าขวยเขินเสียเต็มประดา “อันนี้เปิ่นกงจู่ไม่ได้ปัก มีคนมอบให้มา”
เมื่อนางเอ่ยออกมา พวกหญิงสาวกลุ่มนี้ก็ล้อขึ้นมา “ถุงหอมที่เป็นรูปต้นไผ่โดยทั่วไปแล้วเหล่าบุรุษจะห้อยไว้ นี่หรือว่าจะเป็นของขวัญจากราชบุตรเขยในอนาคตกันเพคะ?”
องค์หญิงเจียหนิงมีสีหน้าแดงปลั่ง พลางดุคนเหล่านั้นเบาๆ ทว่ากระนั้นก็ไม่คัดค้าน ท่าทางนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าราชบุตรเขยในอนาคตให้มาจริงๆ
เมื่อเว่ยอวิ๋นซูเห็นถุงหอมที่อยู่ในมือองค์หญิงเจียหนิง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดขาวทันใด เพราะว่านางรู้จักถุงหอมนั้น มันเป็นของพี่เฉียวจิ่น
ซูเนี่ยนหว่านทำถุงหอมมาไม่กี่ถุง ให้เฉียวจิ่นหนึ่งถุง ครอบครัวเฉียวเยี่ยนสี่คนคนละถุง แม้แต่เว่ยอวิ๋นซูเองก็ได้หนึ่งถุง เพียงแต่ลวดลายไม่เหมือนกัน
พี่เฉียวจิ่นนำถุงหอมให้นางหรือ?
ความจริงตอนเริ่มแรกนางไม่เชื่อ แต่คนเรามักจะกดดันตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล เพ้อฝันเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่นด้วยเหตุนี้นางจึงวิ่งแจ้นมาหาเฉียวเยี่ยนที่ตำหนักอ๋องซู่
เฉียวเยี่ยนฟังจบ ก็จับมือนางไว้ ก่อนเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “แทนที่จะคิดฟุ้งซ่านอยู่ที่นี่ มิสู้เจ้าไปถามต่อหน้าให้กระจ่างมิดีกว่าหรือ ข้าคิดว่าพี่ชายของข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับองค์หญิงคนนั้น น่าจะมีความเข้าใจผิดอยู่ในนั้น”
เว่ยอวิ๋นซูรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย อย่ามองว่าปกตินางไม่สนใจใยดี ใครยั่วยุนาง ก็ซัดหมัดเข้าให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่พัวพันกับพี่เฉียวจิ่น นางก็เหมือนกับนกกระทาตัวหนึ่ง
“แต่หากว่าพี่เฉียวจิ่นให้จริงๆ ล่ะจะทำอย่างไร?”
นางมองเฉียวเยี่ยนอย่างน่าสงสาร และหวาดกลัวอย่างมาก
เฉียวเยี่ยนเคาะหัวนาง ก่อนเอ่ยอย่างจนใจ “แรงผลักดันที่นัดข้าสู้ตอนเจอกันครั้งแรกไปไหนเสียแล้ว? แค่บุรุษคนหนึ่งเองมิใช่หรือ หากทั้งสองฝ่ายชอบพอกัน มีชีวิตอย่างอยู่เย็นเป็นสุขคงจะดีไม่น้อย แต่หากอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องฝืน ร้องไห้ออกมาครั้งหนึ่ง แล้วไปหาใหม่ก็ได้แล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หาเรื่องท่านอ๋องแล้วเฉียวเยี่ยน ระบมทั่วตัวเลยไหมล่ะ
ลายบังเอิญเหมือนกันหรือเปล่า ไม่น่าใช่พี่เฉียวจิ่นให้นะ
ไหหม่า(海馬)