ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 252 ในอาหารมียาพิษ
ตอนที่ 252 ในอาหารมียาพิษ
ตอนที่ 252 ในอาหารมียาพิษ
เจียงอวี่เฉียนสุ่มหยิบพริกขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วยัดเข้าไปในปาก หลังจากเคี้ยวไปสองสามคำ ทั้งปากของนางก็คล้ายกับจะลุกเป็นไฟ
นางแลบลิ้นออกมาอย่างลนลานและดื่มชาอีกสองถ้วย แต่ความรู้สึกแสบร้อนในปากกลับไม่บรรเทาลงเลย ทำให้นางหน้าซีดด้วยความตื่นตระหนก ขณะชี้ไปที่โต๊ะอาหาร “มีพิษ! อาหารจานนี้มียาพิษ !”
เจียงเจี้ยนสวินกลับไม่คิดว่าจะมียาพิษอยู่ในจานนี้ เพราะเขาเห็นเจ้าสิ่งนี้ในอาหารของแขกหลายคนในห้องโถงขณะกำลังก้าวขึ้นชั้นบน
นี่อาจเป็นวัตถุดิบอาหารที่รัฐเยี่ยนของพวกเขาไม่มีก็เป็นได้
เขากำลังจะร้องเรียกให้นางหยุด แต่เจียงอวี่เฉียนทนไม่ได้อีกต่อไป นางชักมีดสั้นออกมาแล้ววิ่งออกจากห้องรับรองเพื่อจะไปโวยวายอาละวาดกับผู้จัดการร้าน
เมื่อเห็นหญิงสาวก้าวร้าววิ่งถือมีดออกมา เสี่ยวเอ้อก็ตกใจกลัวจนวิ่งลงไปชั้นล่าง ด้วยคิดว่านางกำลังจะตัดมือของเขาจริงๆ
เหล่าผู้คุ้มกันที่ผู้จัดการร้านจ้างวานมาเห็นดังนี้ก็พลันก้าวออกมาขวางนางไว้ ขณะที่เสี่ยวเอ้อหลบอยู่ด้านหลังผู้จัดการร้านด้วยความหวาดผวา
ผีชางเย่ผู้เป็นผู้จัดการร้านคลี่ยิ้มโค้งคำนับให้อย่างอ่อนน้อม ก่อนเอ่ยอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าท่านหญิงท่านนี้ไม่พอใจอะไรกับการบริการของร้านเราหรือขอรับ เพียงท่านเสนอแนะมา ทางร้านเราจะจัดการให้ในทันที”
ใบหน้าของเจียงอวี่เฉียนกำลังแดงก่ำจากความเผ็ดร้อนของพริกที่กินเข้าไป นางชี้ปลายมีดตรงไปที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว “ช่างพูดช่างจาได้ดีนี่ จะบอกให้ว่าอาหารของร้านเจ้ามียาพิษ เปิ่นกงจู่ผู้นี้จะทำลายภัตตาคารแห่งนี้ให้ราบ!”
เมื่อผู้จัดการร้านได้ยินนางกล่าวแทนตัวเองว่าเปิ่นกงจู่ เขาก็ทราบได้ว่าคนที่มาในวันนี้ไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว
แต่ซู่หวางเฟยผู้เป็นเจ้านายของพวกเขาก็ไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยได้ง่ายๆ เช่นกัน เขาจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกมากนัก ยังคงเอ่ยด้วยท่าทางสงบ “ในเมื่อท่านหญิงกล่าวว่าอาหารของร้านเรามียาพิษ เช่นนั้นท่านก็ถามแขกทุกคนที่เป็นพยานในที่นี้ได้ หรือไม่ก็เชิญท่านหมอมาตรวจอาการเพื่อให้ทราบอย่างกระจ่างได้นะขอรับ”
คนในโถงภัตตาคารจำนวนหนึ่งพากันมายืนสังเกตการณ์ ซึ่งส่วนมากต่างก็เป็นลูกค้าประจำของหอหัวอวิ้น พวกเขากินอาหารของที่นี่มานับครั้งไม่ถ้วน และไม่เคยได้ยินว่าจะเกิดเรื่องราวไม่คาดคิดเช่นนี้กับใครเลยสักคน
ครั้นได้ยินผู้จัดการร้านเอ่ยเช่นนี้ พวกเขาก็พร้อมจะเป็นพยานในที่เกิดเหตุให้อย่างเต็มใจ
เจียงอวี่เฉียนเห็นว่าเขากำลังจะไปตามคนมาทดสอบพิษดังนี้ นางก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ นางไม่ได้พูดโกหกสักนิด เหตุใดจะต้องเกรงกลัวด้วย
ผู้จัดการร้านส่งเสี่ยวเอ้อให้ไปนำอาหารทั้งหมดลงมาจากห้องรับรอง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เจียงเจี้ยนสวินก็ปรากฏตัวเสียก่อน
เมื่อมองไปยังน้องสาวผู้โง่เขลาแล้ว เขาก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนใจนัก ก่อนจะกล่าวอธิบายกับทุกคน “ทุกท่าน นี่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด อาหารในภัตตาคารของท่านล้วนอร่อยล้ำสมคำร่ำลือ เพียงแต่ในนั้นมีส่วนผสมเป็นเอกลักษณ์บางอย่างที่พวกเราไม่เคยกินมาก่อนจนทำให้ปากแสบร้อน น้องสาวของข้าจึงคิดไปว่าในอาหารนี้มียาพิษ”
หลังเขากล่าวดังนี้ คนในภัตตาคารต่างก็เข้าใจในทันที เป็นเพราะกินพริกเข้าไปนี่เอง ทั้งปากจึงแสบร้อนจนคนผู้นี้พานคิดไปว่าถูกวางยาพิษ
พวกเขาต่างพากันหัวเราะ และกล่าวอธิบายเรื่องพริกให้อาคันตุกะต่างเมืองสองคนนี้ฟังว่ามันเป็นของที่มีเฉพาะในอาณาจักรของพวกเขา ซึ่งยังไม่เคยมีดินแดนอื่นใดที่ได้ลองกิน
ยามที่ได้กินพริกเป็นครั้งแรก พวกเขาก็รู้สึกเผ็ดร้อนจนเหงื่อท่วมหน้า จนคิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติในนั้นเช่นกัน
แต่ต่อมายิ่งกินกลับยิ่งรู้สึกเพลิดเพลิน กลายเป็นว่าหากอาหารนั้นเผ็ดน้อยลงแล้วก็รู้สึกจืดชืดไร้รสชาติเสียอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ได้รับการอธิบายและอีกฝ่ายไม่ถือสาหาความ ผู้จัดการร้านก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถึงอย่างไรนี่ก็คือคนต่างอาณาจักร เป็นการดีที่ไม่ควรจะมีปัญหาด้วย
เขาเชื้อเชิญเหล่าผู้สังเกตการณ์ให้รับประทานอาหารต่ออย่างอบอุ่น และเล่ารายละเอียดของพริกให้เจียงเจี้ยนสวินทราบ
นอกจากการแนะนำพริกแล้ว เขายังอธิบายรายละเอียดของอาหารแต่ละจานที่พวกเขาสั่งไปด้วย เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์ที่ท่านหญิงคนหนึ่งร้องโวยวายหาว่าพวกเขาวางยาพิษหลังจากที่ได้กินอาหารแปลกใหม่อีก
เจียงเจี้ยนสวินรู้สึกสนใจใคร่รู้ในสิ่งที่เรียกว่าพริกมาก ผู้จัดการร้านจึงสั่งให้คนไปนำพริกสดมาให้เขาดูจากในหลังครัว
แต่เจียงอวี่เฉียนกลับไม่สบอารมณ์แล้ว คนเหล่านี้กำลังหัวเราะเยาะนาง เห็นว่านางเป็นตัวตลก!
ขณะที่ผู้จัดการร้านแนะนำอาหารต่าง ๆ เขาก็ได้ชื่นชมสรรเสริญซู่หวางเฟยของพวกเขาไม่ขาดปาก ทำให้ในใจของนางเกิดเพลิงสุมเต็มทรวง
เป็นซู่หวางเฟยผู้นี้อีกแล้ว วันนี้นางจะต้องคิดบัญชีกับอีกฝ่ายให้จงได้!
เฉียวเยี่ยนไม่รู้เลยว่าตนเป็นต้นเหตุของปัญหาที่ไม่ได้ก่อเสียแล้ว
ในวันที่แปดเดือนสี่ งานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทูตต่างอาณาจักรก็เริ่มต้นขึ้น งานถูกจัดขึ้นในช่วงเย็น และเย็นวันนั้นเหล่าราชทูตและตัวแทนจากอาณาจักรต่างๆ ทั่วโลกหล้าก็ได้เดินทางมาที่พระราชวัง
เฉียวเยี่ยนเปลี่ยนมาทรงอาภรณ์หวางเฟยแบบเต็มยศอีกครั้ง น้ำหนักเครื่องประดับศีรษะเกือบสิบชั่งที่กดลงมาทำให้นางรู้สึกปวดคอ
ลูกทั้งสองก็แต่งตัวเต็มยศเช่นกัน พวกเขาเติบโตขึ้นมากนับตั้งแต่มีอายุหกขวบ และดูตัวสูงใหญ่ขึ้นเช่นกัน
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์เกล้ามวยสูงและประดับกวานหยกเล็กๆ มีท่าทางผึ่งผาย คำพูดและกิริยาอาการล้วนอยู่ในกรอบระเบียบราวกับคุณชายน้อยรูปงามท่านหนึ่ง
ส่วนเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้สูญเสียรูปลักษณ์อ้วนกลมแบบเมื่อก่อนไปแล้ว แม้ว่านางจะยังดูมีเนื้อหนังอยู่บ้าง แต่นางก็เปลี่ยนจากเจ้าก้อนแป้งน้อยน่ารักไปเป็นเด็กหญิงโฉมงามตัวน้อย
เจ้าปลาแสนงามสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งสีชมพูพร้อมกับประดับเครื่องประดับผมน่ารักบนศีรษะ ดูราวกับนางฟ้าตัวน้อยยามหุบปากเงียบสงบ และดูราวกับภูติน้อยยามแสดงอาการร่าเริงคึกคัก
มู่ฉินเจินจูงมือเฉียวเยี่ยนมือหนึ่ง จูงมือลูกสาวอีกมือหนึ่ง ส่วนเฉียวเยี่ยนจูงมือลูกชายได้ แล้วครอบครัวสี่คนก็เดินตรงไปยังโถงจัดงานเลี้ยง รูปลักษณ์อันงดงามของทุกคนล้วนดึงดูดสายตาผู้ที่เดินผ่านจนต้องมองเหลียวหลัง
งานเลี้ยงต้อนรับทูตต่างอาณาจักรวันนี้มีบุรุษมาร่วมงานเป็นส่วนมาก มู่ฉินเจินจึงรับหน้าที่ดื่มต้อนรับเหล่าตัวแทนจากต่างอาณาจักร ส่วนเฉียวเยี่ยนนั่งประจำที่และกินดื่มร่วมกับเด็กๆ
นางกินอาหารขณะมองฮ่องเต้เฒ่าและเหล่าทูตจากอาณาจักรต่างๆ พูดคุยกัน ก่อนจะมองเหล่าคุณหนูและสาวงามจากต่างอาณาจักรทำการแสดงฝีมือร้องรำทำเพลงตรงกลางโถง
จะว่าไปแล้ว การกินก็ช่วยให้งานเลี้ยงน่าเบื่อเช่นนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
นางไม่ได้กินคนเดียว แต่ยังป้อนลูกๆ ทั้งสองด้วย ทั้งสามนั่งประจำที่ของตนเอง ดูผิดหูผิดตาจากเหล่าสตรีที่มารวมงานนัก ทว่ากลับไม่ทำให้คนมองรู้สึกน่าเกลียดแต่อย่างใด
เมื่อเบื่อที่จะกินของว่างแล้ว เฉียวเยี่ยนก็รินชาให้ตัวเอง และมองไปรอบๆ ด้วยอาการสงบ
นับตั้งแต่ที่งานเลี้ยงเริ่ม นางก็รู้สึกว่ามีใครบางคนจับตามองนางอยู่ตลอด
ระบบตัวน้อยช่วยแสกนมองไปรอบ ๆ เช่นกัน และในที่สุดก็จับเป้าหมายได้
[ท่านโฮสต์ มีหญิงคนหนึ่งอยู่ด้านหลังท่านทางขวาล่ะ]
เฉียวเยี่ยนหันไปมองตามทิศที่ระบบตัวน้อยบอก และนางก็สัมผัสได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรคู่หนึ่ง
หญิงสาวฝ่ายตรงข้ามในชุดผ้าปักทองมีรูปโฉมงดงามอ่อนหวานและรูปร่างสง่างามยิ่ง นับเป็นหญิงงามที่หาดูได้ยากคนหนึ่งทีเดียว
นางจึงนึกไปถึงตอนที่อาณาจักรอื่นๆ ได้ถวายเครื่องบรรณาการและพยายามนึกว่าสตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่
องค์หญิงหกแห่งรัฐเยี่ยน ชื่อว่าเจียงอะไรสักอย่างกระมัง? นางลืมไปแล้ว
นางยังไม่ทันได้ล่วงเกินอีกฝ่ายเลย เหตุใดอีกฝ่ายถึงแสดงท่าทางคุกคามนางเสียแล้ว? หรือว่านี่จะเป็นดอกท้อเน่าอีกดอกของมู่ฉินเจิน?
แต่ในเมื่อคิดไม่ออก นางก็ไม่อยากคิดอีกต่อไป อีกฝ่ายอยากจะทำอะไร นางจะช่วยสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน
ตรงกลางโถงขณะนี้มีหญิงงามจากดินแดนซีอวี้กำลังเต้นระบำอยู่ ทำให้เกิดเสียงปรบมือเกรียวอย่างอบอุ่นจากเหล่าทูตที่นั่งอยู่รอบๆ
ในดินแดนซีอวี้มีหญิงงามมากมาย ซึ่งนางระบำคนนี้ก็มีรูปร่างเย้ายวน ใบหน้างดงามคมคายยิ่งนัก ทำให้บุรุษหลายคนถึงกับจ้องมองตาไม่กระพริบ
ฮ่องเต้เฒ่าปรบพระหัตถ์พลางตรัสชื่นชม “ไม่เลวๆ เต้นได้ดีมาก สะกดสายตายิ่ง เช่นนั้นข้าขอมอบสร้อยโมราชิ้นนี้ให้เป็นรางวัล”
นางระบำรับรางวัล จากนั้นทูตจากดินแดนซีอวี้ก็ยืนขึ้นและกล่าวตอบ “ขอบพระทัยฮ่องเต้แห่งเทียนลี่ที่ทรงพระราชทานรางวัล ก่อนจะมาเยือนเทียนลี่คราวนี้ ราชวงศ์ของอาณาจักรเราก็ได้คัดสาวงามที่หาดูได้ยากในโลกหล้านี้ไว้สิบคนเป็นพิเศษ เพื่อถวายเป็นบรรณาการให้กับฮ่องเต้แห่งเทียนลี่พะยะค่ะ”
ฮ่องเต้เฒ่าได้ยินดังนี้ รอยยิ้มบนพระพักตร์ก็แข็งค้างไปเล็กน้อย ภายใต้การส่งสาวงามเป็นบรรณาการ มันหมายถึงการหมายตาอาณาจักรเทียนลี่ของเขาอยู่ด้วย
แต่เขาคุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้มานานแล้ว จึงปฏิเสธกลับด้วยรอยยิ้ม “เจ้านครซีอวี้ช่างมีน้ำใจนัก แต่ตัวข้าชราแล้วและไม่คิดจะรับสนมนางในอีก ขอให้เจ้านครซีอวี้เพลิดเพลินกับสิ่งดีๆ เหล่านี้แทนเราเถิด”
ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนเหล่าบุรุษที่มีความกระหายอยากอยู่ในใจแต่ไม่กล้าเสนอหน้าขอต่างร้องตะโกนในใจ ‘หากพวกท่านไม่เอาก็มอบให้พวกเราเสีย!’
แต่ฮ่องเต้เฒ่าก็ไม่คิดจะเก็บสาวงามเหล่านี้ไว้ในอาณาจักร เนื่องเพราะเคยมีเรื่องราวที่อาณาจักรอื่นส่งสายลับในคราบสาวงามบรรณาการเข้ามาล้วงความลับอาณาจักรแล้ว ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเด็ดขาด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อยู่ดีๆ ก็มีปัญหาทั้งที่ไม่ได้ก่อเฉยเลย เฉียวเยี่ยนควรทำบุญนะคะ
ไหหม่า(海馬)