ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 243 การบอกลาครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 243 การบอกลาครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 243 การบอกลาครั้งสุดท้าย
หลังจากใช้ชีวิตในสมัยปัจจุบันไม่กี่ปี นางก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก ไม่หัวอ่อนโดนชักจูงง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และไม่ถ่อมตนจนไร้ศักดิ์ศรีต่อหน้าเขาอีก
มู่ฉินเจินฟังจบก็รู้สึกเบาใจลงมาก กระนั้นก็ยังคงกังวลอยู่ หากพวกนางสลับร่างกันกลับมาไม่ได้ล่ะ?
เขาสงบอาการโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ลง ก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนสักสองสามวันก่อน แล้วเปิ่นหวางจะพาเจ้ากลับเมืองหลวง ไม่กี่วันนี้ก็ระวังตัวต่อหน้าผู้คนด้วย อย่าเผยพิรุธ ”
‘เฉียวเยี่ยน’ ส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ข้าออกเดินทางในตอนนี้ได้เลย”
นางรู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวขึ้น และมีแรงขึ้นมากแล้ว
มู่ฉินเจินเห็นนางเป็นเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรให้มากความ สั่งข้ารับใช้เก็บสัมภาระกลับไปเมืองหลวงทันที
ระหว่างทางกลับเมืองหลวง มู่ฉินเจินกับ ‘เฉียวเยี่ยน’ ต่างก็รักษาระยะห่าง แม้ว่าจะต้องนั่งรถม้าคันเดียวกันเพื่อตบตาคนอื่น กระนั้นพวกเขาก็นั่งห่างกัน
เฉียวเยี่ยนนึกถึงมู่ฉินเจินในอดีตแล้วมองเขาในตอนนี้ ก่อนอุทานในใจว่าเขาเปลี่ยนไปมากจริง ๆ ทว่าผู้ชายเย็นชาดุจภูเขาน้ำแข็งอย่างเขา ก็มีเพียงพี่เฉียวเท่านั้นที่ควบคุมเขาอยู่
หลายปีที่ข้ามไปสมัยปัจจุบัน จากที่ตกใจและปรับตัวไม่ได้ในช่วงแรก ก็เหมือนกับปลาได้น้ำ[1] ในตอนนี้ นางมีอาชีพเป็นของตัวเอง เจอสามีที่รักนาง ให้กำเนิดลูกที่น่ารัก แถมยังมีพ่อแม่ที่รักนางด้วย
แม้พ่อแม่ของพี่เฉียวจะรู้ว่านางไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขา กระนั้นพวกเขาก็ยังดีต่อนาง จริงใจต่อนาง และสอนนางให้รู้จักตั้งหลักในสังคมยุคใหม่
แต่นางก็รู้สึกสงสารพวกเขาเช่นกัน ที่ลูกสาวผู้ฉลาดยอดเยี่ยมสลับเปลี่ยนมาเป็นนางผู้โง่เขลา
ทั้งฮุ่ยเซียงกับหลันหนิงรู้สึกว่าท่านอ๋องกับหวางเฟยดูแปลกไปในช่วงสองสามวันนี้ ตัวคนก็ยังเป็นสองคนนั้น ทว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขากลับแปลกไปอย่างอธิบายไม่ถูก
พวกนางสังเกตอย่างเงียบ ๆ มาสองวัน คิดว่าท่านอ๋องกับหวางเฟยทะเลาะกัน แต่ต่อมาก็พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงปล่อยให้เรื่องนี้แล้วกันไป
ในใจกลับนึกสงสัย หรือนี่เป็นวิธีคบหาแบบใหม่ที่ทั้งคู่เพิ่งคิดออก?
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง มู่ฉินเจินก็พา ‘เฉียวเยี่ยน’ ตรงไปที่จวนสกุลเฉียวทันที
เรื่องที่ ‘เฉียวเยี่ยน’ เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาไม่ได้เอ่ยกับผู้อาวุโสในครอบครัวเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าที่เขารีบไปหมู่บ้านจือซานเป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุกับนาง
หลังจากเข้าไปในจวนสกุลเฉียว ทุกคนก็นั่งอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า ก่อนมู่ฉินเจินจะสั่งให้ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไป
ทั้งเฉียวจิ่นและซูเนี่ยนหว่านต่างก็ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าสองคนนี้กำลังจะทำอะไร
เมื่อข้ารับใช้ทั้งหมดออกไปจากห้องโถงด้านหน้าหมดแล้ว น้ำตาที่ ‘เฉียวเยี่ยน’ กลั้นไว้มาตลอดทางพลันพรั่งพรูออกมาทันที
เมื่อเห็นพี่ชายกับมารดาครั้งแรก นางก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว แต่เพื่อไม่ให้คนอื่นจับความผิดปกติได้ นางจึงบังคับตัวเองให้ทนเอาไว้
“ท่านแม่! ลูกคิดถึงท่านแม่มาก!”
นางพุ่งไปข้างหน้า กอดซูเนี่ยนหว่านไว้ พลางร้องไห้อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
ซูเนี่ยนหว่านตกใจมึนงงกับสถานการณ์นี้ ไม่รู้เหตุใด ความรู้สึกเศร้าพลันพรั่งพรูขึ้นมาในใจอย่างอธิบายไม่ถูก นางรู้สึกว่าลูกสาวที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไป แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
เฉียวจิ่นก็รู้สึกฉงนเช่นกัน ก่อนมองมู่ฉินเจินเพื่อขอคำอธิบาย
มู่ฉินเจินอธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมดด้วยอาการสงบ เมื่อซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นฟังจบ ต่างก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อทว่าก็สมเหตุสมผล
จู่ ๆ เฉียวจิ่นก็เข้าใจในทันที ตั้งแต่น้องสาวของเขาพาพวกเขาออกมาจากจวนเสนาบดี เขาก็รู้สึกว่าน้องสาวเปลี่ยนเป็นคนละคนนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ จึงคิดเพียงว่านางเติบโตขึ้นแล้ว มีเหตุผลมากขึ้น และฉลาดขึ้น
ใครเล่าจะคิดว่าวิญญาณสลับร่างกัน!
หลังจากซูเนี่ยนหว่านรู้สึกประหลาดใจ ความเศร้าและความตื่นเต้นก็ปะทุขึ้นมา สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้จนเสื้อผ้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
เฉียวจิ่นรู้สึกสะเทือนใจ ก่อนก้าวเข้าไปกอดแม่และน้องสาว
ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวแท้ ๆ ณ ตอนนี้ หรือน้องสาวคนก่อน เขาล้วนถือว่าพวกนางเป็นคนในครอบครัวที่สนิทที่สุดของเขา หากไม่มีน้องสาวที่มาจากต่างโลก เขาคงสลายกลายเป็นดินเหลืองไปนานแล้ว
เขารู้สึกขอบคุณเฉียวเยี่ยนสมัยปัจจุบันมาก ๆ เพราะหากไม่มีนาง ก็ไม่มีเขาในทุกวันนี้
ซูเนี่ยนหว่านก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากเช่นกัน เสี่ยวเยี่ยนที่มาจากต่างโลกทั้งฉลาดทั้งมีความสามารถ แต่นางกลับไม่ทอดทิ้งตนกับจิ่นเอ๋อร์ นางรู้ว่าอีกฝ่ายปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวจริง ๆ
หลังจากสองแม่ลูกร้องไห้กันจนพอแล้ว ซูเนี่ยนหว่านก็โอบกอด ‘เฉียวเยี่ยน’ พร้อมถามขึ้น “ยัยหนู หลายปีมานี้อยู่ที่โลกนั้นสบายดีหรือไม่?”
เฉียวเยี่ยนพยักหน้ารัว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ลูกสบายดี ลูกแต่งงานแล้ว และได้ให้กำเนิดหลานสาวแก่ท่านแม่ที่โลกนั้นด้วย ปีนี้นางอายุสี่ขวบ มีซื่อเล่นว่าหวานหว่าน”
“พ่อแม่ทางนั่นก็ดีกับลูกมาก พวกเขารู้มานานแล้วว่าลูกไม่ใช่พี่เฉียว กระนั้นก็ยังปฏิบัติเหมือนเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขา”
……
‘เฉียวเยี่ยน’ เล่าชีวิตในยุคปัจจุบันในช่วงหลายปีมานี้ให้ฟัง ซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นตั้งใจฟังอย่างมาก เมื่อรู้ว่านางมีชีวิตที่สบายดี ใจของพวกเขาก็สงบลง
‘เฉียวเยี่ยน’ มีเวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้น หลังจากบอกลาครอบครัวแล้ว ยามเฉินวันรุ่งขึ้นนางก็ต้องจากไปแล้ว จากนั้นนิวรณ์ของนางก็จะสลายหายไป และเปลี่ยนตัวตนกับพี่เฉียวอย่างสมบูรณ์
คืนนี้ซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นไม่นอนหลับ พวกเขาใช้เวลาช่วงสุดท้ายพูดคุยกับ ‘เฉียวเยี่ยน’
แม้พวกเขาจะอาลัยอาวรณ์ แต่ก็รู้ว่าครอบครัวนางอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มีเพียงพวกเขาสองคนสลับร่างกันมาถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
และเฉียวเยี่ยนจากอีกโลกหนึ่ง ก็กำลังแข่งกับเวลาเพื่อจะได้อยู่พูดคุยกับพ่อแม่เช่นกัน
หลังจากที่นางหมดสติ วิญญาณก็หลุดออกจากร่างไป และเข้าไปสู่ห้วงความฝันที่เต็มไปด้วยหมอกอันคุ้นเคย ครั้งนี้นางเห็นร่างที่ยืนอยู่ในแสงจ้านั้นอย่างชัดเจน เป็น ‘เฉียวเยี่ยน’ ที่กำลังเรียกนาง
ทั้งสองยืนคุยกันท่ามกลางหมอกหนา ที่แท้อีกฝ่ายก็รู้มาตลอดว่ายังมีเศษเสี้ยววิญญาณหลงเหลืออยู่ในร่างกายของนาง ทุกคราที่นางกับมู่ฉินเจินมีความสัมพันธ์กัน ก็เป็นเศษเสี้ยววิญญาณในนี้ที่ต่อต้าน ดังนั้นนางจึงควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้
เศษเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่คือนิวรณ์ของนาง เพื่อให้นางตัดนิวรณ์นั้น นางต้องนำวิญญาณกลับคืนสู่ที่ของมันให้ได้ จากนั้นทั้งสองก็จะแลกเปลี่ยนตัวตนกันอย่างสมบูรณ์
เฉียวเยี่ยนเองก็อยากบอกลาพ่อแม่ตัวเองสักครั้ง ก่อนที่นางจะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมด และกลายเป็นเฉียวเยี่ยนในยุคโบราณอย่างเต็มตัว
หลังจากปีนั้นที่นางตกจากหน้าผาและถูกคนนำตัวส่งไปโรงพยาบาล นางก็แสดงพฤติกรรมแปลก ๆ หลังจากฟื้นขึ้น จนพ่อเฉียวแม่เฉียวรู้ว่านี่ไม่ใช่ลูกสาวของพวกเขา
แต่คนยุคปัจจุบันมีความคิดที่ค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่นานพวกเขาก็ยอมรับความจริงนี้ได้ และสอนให้ ‘เฉียวเยี่ยน’ ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ เหมือนกับสอนเด็กคนหนึ่ง
ครอบครัวของเฉียวเยี่ยนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น นางคล้องแขนแม่ของนางเอาไว้ อีกข้างหนึ่งเป็นพ่อของนางนั่งอยู่ และเล่าเรื่องที่นางทำอยู่ในสมัยโบราณให้พวกเขาฟัง
“พ่อ แม่ ลูกสาวของพวกท่านกลายเป็นหญิงที่ร่ำรวยในสมัยโบราณแล้ว จำนวนทรัพย์สินในมือนับก็นับไม่หมด”
นางเล่าเรื่องที่นางสร้างกิจการขึ้นในสมัยโบราณในช่วงหลายปีที่ผ่านมากับพวกเขาอย่างละเอียด และยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกสองคนของนางรวมถึงมู่ฉินเจินด้วย
พ่อเฉียวกับแม่เฉียวรู้สึกปลื้มใจมาก พวกเขารู้ว่าลูกสาวของตัวเองมีความสามารถ ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ นางอยู่ที่ไหนก็เป็นจุดสนใจ
ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกันจนถึงรุ่งสาง เข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่ในห้องนั่งเล่นค่อย ๆ ชี้ไปที่เลขเจ็ด เจ็ดโมงก็คือยามเฉิน เฉียวเยี่ยนต้องย้อนกลับไปในสมัยโบราณแล้ว
สติของนางเริ่มเลื่อนลอย วิญญาณค่อย ๆ ออกไปจากร่าง นางโบกมือให้กับพ่อแม่ พร้อมกับหลั่งน้ำตา ทว่ามุมปากกลับหยักยิ้ม “พ่อ แม่ ไม่ต้องคิดถึงลูกนะคะ คิดเสียว่าลูกแต่งงานออกไปไกลแสนไกล ลูกจะใช้ชีวิตอยู่อีกโลกหนึ่งเป็นอย่างดี พวกท่านเองก็รักษาตัวด้วย”
แม่เฉียวร้องไห้อย่างขมขื่น ปิดปากกลั้นสะอื้นพร้อมเอ่ย “ลูกไปเถิด พวกเราไม่เป็นไร”
ส่วนอีกด้านหนึ่งภายในจวนสกุลเฉียวก็เป็นภาพนี้เช่นกัน วิญญาณของ ‘เฉียวเยี่ยน’ เริ่มออกจากร่าง ร้องไห้บอกลามารดากับพี่ชาย
การอำลาครั้งนี้ เป็นการจากลาตลอดไป กระนั้นพวกนางก็จะมีชีวิตอยู่ในโลกอื่น และดำเนินชีวิตต่อไป
[1] เหมือนปลาได้น้ำ หมายถึงการเจอคนที่นิสัยใจคอไปในทางเดียวกัน หรือการพบเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับเรา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฮือออ ขอให้ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นอย่างดีในโลกใหม่เลยนะเฉียวเยี่ยนทั้งสอง คิดถึงหัวอกพ่อแม่ที่ลูกสาวมาลาจากไปตลอดกาลแล้วมันเจ็บปวดจนต้องร้องไห้อะค่ะ แงงง
ไหหม่า(海馬)