ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 196 คุกกี้อึหมา
ตอนที่ 196 คุกกี้อึหมา
ตอนที่ 196 คุกกี้อึหมา
ปลายเดือนสอง อากาศเริ่มอุ่นขึ้น สตรอเบอร์รี่ที่ปลูกในเรือนกระจกในหมู่บ้านลวี่หลัวเริ่มผลิดอก และบางส่วนก็ออกผลอ่อนสีเขียวมานานแล้ว
เพื่อสตรอเบอรี่ชุดนี้แล้ว เฉียวเยี่ยนลงทุนทรัพย์ไปไม่น้อย ทางภาคเหนือมีอุณหภูมิต่ำ จึงจำต้องมีอุปกรณ์เพิ่มความร้อนในเรือนกระจก ไม่เช่นนั้นต้นกล้าสตรอเบอรี่คงแข็งตายกันหมด
นางใช้วิธีการให้ความร้อนแบบดั้งเดิมที่สุดด้วยการจุดเตาถ่าน ซึ่งวิธีนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และใช้งานง่าย
เตาถูกวางไว้ทั่วทุกมุมของเรือนกระจก และถ่านที่ถูกเผาในเตาจะเพิ่มความอบอุ่นให้เรือนกระจก ซึ่งถ่านที่ใช้เผาเพียงฤดูหนาวเดียวนั้นมีค่าใช้จ่ายมหาศาล
ในเรือนกระจกไม่อนุญาตให้มีการก่อเปลวไฟ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเศษวัสดุพืชที่อาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย ดังนั้นไม่ว่าถ่านจะแพงแค่ไหน เฉียวเยี่ยนก็ต้องกัดฟันซื้อมัน
แต่โชคดีที่หลังจากทุ่มเทอย่างหนักไป ผลตอบแทนที่ได้กลับมาก็เป็นที่น่าพอใจ
อัตราการรอดของกล้าสตรอเบอรี่นับว่าสูงมาก การเจริญเติบโตก็ดีมากเช่นกัน แม้บางต้นจะไม่รอดในสภาพอากาศหนาวจัด แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่เฉียวเยี่ยนยอมรับได้
วันเวลาผ่านไปจนถึงเดือนสาม น้ำแข็งและหิมะเริ่มละลาย ในที่สุดเว่ยอวิ๋นซูที่รอคอยมาตลอดทั้งฤดูหนาวก็เริ่มทำเตาเผาขนมปังไว้ในจวนแล้ว
เฉียวเยี่ยนให้แผนภาพแก่นางหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของเด็กๆ แต่ตอนนั้นหิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า พวกคนงานทำงานได้ไม่ค่อยดีนัก จึงรอจวบจนบัดนี้
หลังจากหาคนงานมาได้ นางก็เริ่มลงมือร่วมกับพวกเขา เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างเตาเผาขนมปังทั้งหมด โดยมีอันซีโหวฮูหยินเฝ้ามองอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ และสนใจกับโคลนที่เป็นก้อนๆ นี้
ในเมื่อมันเหมือนกับของในตำหนักอ๋องซู่ เช่นนั้นมันต้องเป็นของดีแน่ๆ !
หลังจากทำไปทำมาห้าวัน เตาเผาขนมปังก็เสร็จสมบูรณ์ โคลนหนืดด้านบนก็แห้งสนิทหมดแล้ว
เว่ยอวิ๋นซูแทบอดใจลงมืออบคุกกี้ให้มารดาลองชิมไม่ไหว นางหวนนึกถึงขั้นตอนการอบคุกกี้ และทำตามทีละขั้นตอน
แต่ดูเหมือนนางจะไม่ใช่คนที่ทำอาหารเป็น ยามตอกไข่เปลือกไข่ก็ตกลงในกะละมัง ขณะแยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ไข่แดงก็แตกผสมกัน
ส่วนในขั้นตอนผสมแป้ง หากไม่เหลวเกินไปก็แห้งเกินไป
นางพยายามผสมแป้งครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่ใช่เพราะฐานะบ้านนางมั่งคั่งร่ำรวย นางจะกล้าใช้วัตถุดิบพวกนี้อย่างสิ้นเปลืองได้อย่างไร
อันซีโหวฮูหยินจากที่ตื่นเต้นและคาดหวังในตอนแรก ตอนนี้กลับรู้สึกสงบและท้อแท้
ตามคาด ลูกสาวนางก็ยังเป็นลูกสาวนาง ไม่เคยทำให้นางผิดหวังจริงๆ !
เว่ยอวิ๋นซูใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด หลังจากเสียแป้งไปหลายกะละมัง ในที่สุดนางก็ผสมแป้งที่พอดีได้
นางคิดว่าตนใกล้จะทำสำเร็จแล้ว จึงปั้นแป้งเป็นก้อนกลมเล็กๆ อย่างตื่นเต้น และกดให้มันเป็นรูปร่าง ก่อนเอาไปอบในเตาเผาขนมปัง
ในใจเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น มือไม้สั่นเทา เมื่อเวลามาถึง นางก็เปิดเตาเผาขนมปังออก ดึงถาดอบออกมา และสิ่งที่ได้…
คือถ่านหินสีดำถาดหนึ่ง!
เว่ยอวิ๋นซูรู้สึกแห้งเหี่ยวอย่างขีดสุด มองไปที่ถ่านหินสีดำในถาดอย่างร้องไม่ออก ในขณะที่มารดานาง พี่ชายกับพี่สะใภ้ต่างหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล
แม้แต่หลานตัวน้อยของนางก็เมินเฉยต่อนาง
“ท่านอา ขนมอบที่ท่านทำไยมันถึงได้เหมือนอาจมสุนัขนัก”
เด็กชายอายุเจ็ดขวบชี้ก้อนดำๆ ในถาดพลางแสดงความคิดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ผู้ใหญ่สามคนที่หัวเราะก็ยิ่งขบขันจนไหล่สั่น
ในขณะที่เว่ยอวิ๋นซูถลึงตาใส่ผู้ใหญ่สามเด็กหนึ่งอย่างโกรธเคือง และถือถาดบรรจุก้อนแป้งดำปี๋เหมือนก้อนอาจมสุนัขวิ่งออกไป
เมื่อกลับเข้าไปในบ้าน นางหยิบคุกกี้ขึ้นมาลองชิมอย่างไม่ยอมแพ้ พอเข้าปากแล้วกลับกลายเป็นรสชาติฝืดเฝื่อนกระทั่งขมระคายลิ้น
“ถุย! ถุย!”
นางคายขนมในปากทิ้ง และรีบดื่มน้ำลงไปอึกใหญ่เพื่อปลอบขวัญตัวเอง
ไอ้เจ้าสิ่งนี้หากโยนให้สุนัขจรจัดกิน มันก็คงไม่กินหรอก!
นางรู้สึกโมโหอยู่ครู่หนึ่ง กระนั้นก็ยังปลุกใจฮึกเหิมขึ้นมาใหม่ นางต้องเรียนกับเฉียวเฉียวให้ดีๆ ไม่นานจะต้องอบขนมออกมาได้แน่!
ช่วงเวลาต่อมา นางเลยวิ่งไปตำหนักอ๋องซู่ในยามว่าง เฉียวเยี่ยนจะไปดูงานที่กิจการต่างๆ นางก็ตามไปด้วย ไปเป็นคนงานตัวน้อยไม่ต้องเสียเงินจ้างให้อีกฝ่าย
เฉียวเยี่ยนเองก็ปลีกเวลามาสอนการอบขนมง่ายๆ ให้นาง
หลังจากเรียนอบขนมแล้วก็เรียนอบเค้ก กระทั่งทำขนมปังนางก็ลงเรียน ทว่าผลลัพธ์น่ะหรือ น่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูเสมอ
ระยะนี้ ผู้คนทั่วทั้งจวนอันซีโหวต่างหลบหน้าเว่ยอวิ๋นซู เมื่อเห็นนางก็วิ่งหนีประหนึ่งเห็นผี
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้คุณหนูใหญ่มองพวกเราเป็นหนูทดลองกันล่ะ พอถูกจับได้ก็ให้พวกเขาลองชิมเจ้าก้อนแป้งดำปี๋ขนาดต่างๆ จนนึกกลัวขึ้นมาว่าหากกินเข้าไปจะเกิดหายนะขึ้นจริงๆ
เจ้าก้อนดำๆ นี่นางบอกว่าเป็นเค้ก แน่ใจหรือว่ามันไม่ใช่ก้อนอึหมาอบแห้ง?
ไหนจะบรรดาของสีม่วงสีฟ้าพรรค์นี้อีก แน่ใจหรือว่าในนั้นไม่มีพิษ?
เว่ยอวิ๋นซูละทิ้งสิ่งเก่าพัฒนาสิ่งใหม่ ใช้น้ำกะหล่ำปลีม่วงมาทำขนมปัง สิ่งที่อบออกมาได้มีทั้งสีม่วงสีฟ้า ทำให้คนมองคิดเพ้อเจ้อไปต่างๆ นานา
วันนี้ เว่ยอวิ๋นซูอบขนมออกมาใหม่อีกครั้ง เป็นรสชาติลูกท้อน้ำผึ้ง โดยเพิ่มเนื้อลูกท้อลงไปในแป้งขนม
นางไปหาจับคนมาทั้งเช้า ก็จับคนมาลองชิมไม่ได้สักคน มารดานางกับพี่สะใภ้ก็ไปหลบอยู่ที่บ้านสหายสนิทแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เว่ยอวิ๋นเหล่ยที่เพิ่งกลับมาจากจัดการงานเสร็จก็โชคไม่ดี เข้ามาเจอกับนางพอดี
“ท่านพี่ วันนี้ลำบากแล้ว รีบมาลองชิมขนมที่ข้าทำเร็ว”
นางยกถาดขึ้นพลางยิ้มหวานหยดย้อย ทว่าในสายตาเว่ยอวิ๋นเหล่ยยามนี้ คล้ายกับนางกำลังบอกว่า “ที่รัก ได้เวลาทานยาแล้ว!”
เขาส่ายหน้าอย่างยากลำบาก และยิ้มแหยปฏิเสธ “ไม่ล่ะ ข้าเพิ่งกินข้าวกับสหายมา ไม่หิวแล้ว”
เว่ยอวิ๋นซูยังคงยิ้มอย่างไร้เดียงสา และเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ “ไม่เป็นไร กินแค่ชิ้นเดียว ไม่รบกวนเวลามากหรอก”
เว่ยอวิ๋ยเหล่ยยังอยากปฏิเสธ แต่ก็มิอาจทนดูท่าทางทำตาปริบๆ ของน้องสาวได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงฝืนหยิบเข้าใส่ปากหนึ่งชิ้น
เขาหลับตาเคี้ยวอย่างลวกๆ นอกจากหวานเจี๊ยบกับแข็งเกินไปแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร นับว่าดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
เขาลืมตาขึ้น เอ่ยกับน้องสาวที่ยังมองตาปริบๆ รอเขาประเมิน “ใช่ได้ พัฒนาขึ้นมาก”
เมื่อเว่ยอวิ๋นซูได้ยินเช่นนี้ ก็ดีใจอย่างมาก ถือถาดขนมพลางกระโดดโหยงเหยงด้วยความเปรมปรีดิ์
“ขอบคุณท่านพี่!”
เว่ยอวิ๋นเหล่ยยิ้มอย่างจนใจ ช่างเป็นเด็กสาวที่บ้าบิ่นจริงๆ
……
วันที่สิบแปดเดือนสอง เฉียวจิ่นเลิกว่าราชกิจเหมือนเช่นเคย เขาเดินออกจากวังไปด้วย พร้อมพูดคุยกับสหายไปด้วย
เว่ยอวิ๋นเหล่ยก็เดินไปด้วยกันกับเขาเช่นกัน แม้พวกเขาจะเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนคนหนึ่ง ฝ่ายกลาโหมคนหนึ่ง ทว่ายังคบหากันได้ดี
เมื่อออกมาจากประตูวังแล้ว เว่ยอวิ๋นเหล่ยก็เห็นร่างอันคุ้นเคย เขาเอ่ยอย่างมึนงง “น้องหญิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เฉียวจิ่นก็สังเกตเห็นนางเช่นกัน ในสายตามีความงงงวย ทว่าเขาปิดซ่อนเอาไว้ดีมาก และแค่ยิ้มอ่อนให้นาง
เว่ยอวิ๋นซูสบสายตากับเฉียวจิ่นแล้วก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันใด ทว่าครู่เดียวก็สงบลง พลางวิ่งตรงเข้าไปหาเว่ยอวิ๋นเหล่ย
“แน่นอนว่ามารับท่านกลับบ้านไปกินข้าวน่ะสิ!”
ขณะนางกล่าว สายตากลับชำเลืองไปมองเฉียวจิ่นอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นก็ทักทายเฉียวจิ่นอย่างมีมารยาท “พี่เฉียวจิ่น อรุณสวัสดิ์”
เฉียวจิ่นเงยหน้ามองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่ใกล้จะอยู่กลางตัวแล้ว พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์”
เว่ยอวิ๋นเหล่ยยังอยู่ท่ามกลางความตกใจและยังไม่ได้สติ จึงยกมือขึ้นแตะหน้าผากเว่ยอวิ๋นซู พลางพึมพำ “ก็ไม่ป่วยนี่ พูดจาไร้สาระอะไรกัน?”
สำหรับคำพูดของนางเมื่อครู่ เขาไม่เชื่อเลยแม้แต่ครึ่งคำ เข้าราชสำนักมาเป็นขุนนางตั้งหลายปี นางเคยมารับเขาที่ไหนกัน!
เมื่อมีสิ่งผิดปกติย่อมมีผี(1) วันนี้น้องสาวเขาไม่ปกติแน่นอน!
ตามคาด เขาเพิ่งคิดไปเช่นนั้น ก็เห็นน้องสาวยัดกล่องที่อยู่ในมือใส่มือของเฉียวจิ่น และแสร้งทำเป็นเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอบขนมมาเล็กน้อย เดิมทีจะเอาให้พี่ชายข้า แต่พี่ข้าไม่ชอบกิน เช่นนั้นก็ให้ท่านแล้วกัน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)เมื่อมีเรื่องผิดปกติ หรือไม่เป็นไปตามปกติที่ควรจะเป็น ย่อมมีอะไรแอบแฝงอยู่ในนั้นหรือการกระทำนั้น
สารจากผู้แปล
จะซาบซึ้งแทนหรือจะสงสารพี่เฉียวจิ่นดี แน่ใจนะว่ากินได้อะอวิ๋นซู
ไหหม่า(海馬)