ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 177 เศร้าโศกเสียใจ
ตอนที่ 177 เศร้าโศกเสียใจ
ตอนที่ 177 เศร้าโศกเสียใจ
เอกสารการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการของเฉียวจิ่นใกล้จะออกมาแล้ว โดยสำนักฮั่นหลินชั้นเจ็ดเป็นผู้แก้ไข แม้ตำแหน่งจะไม่สูงนัก ทว่ามีโอกาสได้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทยิ่ง การเลื่อนตำแหน่งก็เป็นไปค่อนข้างง่าย
นอกจากเอกสารแล้วก็ยังมีเครื่องแบบข้าราชการ หมวกผ้าแพรบางสีดำ และฮู่ป่าน(1) ซูเนี่ยนหว่านมองบุตรชายสวมเครื่องแบบราชการแล้วรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวอย่างมาก หลายปีผ่านไป ในที่สุดก็เชิดหน้าชูตาได้เสียที
นางช่วยจัดแจงเสื้อคลุมของบุตรชายให้เรียบร้อย ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “ลูกเอ๋ย เราสองแม่ลูกมีวันนี้ได้ก็เพราะเสี่ยวเยี่ยน ต่อไปเมื่อเจ้ามีอนาคตที่ดีแล้ว ก็อย่าได้ปฏิบัติกับนางไม่ดี”
เฉียวจิ่นคำนับมารดาตนด้วยความเคารพ “ลูกน้อมรับคำสอนมารดา!”
อันที่จริงไม่ต้องให้มารดาพูดอะไรมาก เขาก็จดจำอยู่แล้วว่าน้องสาวดีต่อเขามาก
ครั้งแรกที่เฉียวจิ่นไปว่าราชกิจ ก็สัมผัสถึงความหน้าไหว้หลังหลอกเหล่านั้นได้ หลายคนปากบอกเกรงใจอย่างมากและปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพ ทว่าในสายตานั้นกลับแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
โชคดีที่เขาเป็นพี่ภรรยาท่านอ๋องซู่ มีท่านอ๋องซู่คุ้มกะลาหัวอยู่ จึงไม่มีใครกล้ายั่วยุเขา
เมื่อคืนเฉียวเยี่ยนได้คุยกับมู่ฉินเจินล่วงหน้าแล้ว ว่าให้เขาดูแลพี่ชายตนในเช้าวันนี้ให้หน่อย เพื่อไม่ให้คนอื่นมารังแก
และเว่ยอวิ๋นซูก็กำชับพี่ชายตนเองเช่นกันว่าให้ช่วยพี่เฉียวจิ่น
เว่ยอวิ๋นเหล่ยฟังน้องสาวเอาแต่พล่ามว่าพี่เฉียวจิ่นอย่างนั้นพี่เฉียวจิ่นอย่างนี้จนเกิดสนใจขึ้นมา จึงอยากเห็นเหลือเกินว่า ‘พี่เฉียวจิ่น’ ที่ทำให้น้องสาวตนเอ่ยถึงเป็นใครมาจากไหนกันแน่
ครั้งแรกที่ได้เห็นเฉียวจิ่น เขาก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อย สมแล้วที่เป็นพี่ชายของหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ช่างทำให้คนทึ่งเสียจริง ดูดีจนเป็นที่ชื่นชอบของทั้งชายและหญิงทีเดียว
รูปร่างหน้าตาของเฉียวจิ่นใช้คำว่างดงามมาบรรยายได้ไม่ผิดนัก เขามีริมฝีปากแดงฟันขาว สง่างามดุจหยก กลิ่นอายทั่วร่างดูอ่อนโยน แถมยังให้ความรู้สึกบอบบางง่ายต่อการบุบสลาย อยากให้ใครสักคนมาปกป้องเขา
เว่ยอวิ๋นเหล่ยสำรวจเฉียวจิ่นขึ้นลงหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปออกมา ‘จะว่าหน้าตาดีมันก็ดีอยู่ ทว่าบุคลิกท่าทางดูอ่อนแอเกินไป ไม่รู้ว่าจะทานรับหมัดมวยของน้องสาวได้หรือไม่’
พวกขุนนางต่างยกยอปอปั้นเฉียวเจิ้นผิงอย่างเสแสร้ง “ใต้เท้าเฉียวช่างโชคดีจริงๆ เมื่อก่อนมีบุตรสาวเป็นซู่หวางเฟย ยามนี้ก็มีบุตรชายเป็นทั่นฮวา ต่อไปใต้เท้าเฉียวต้องเสวยสุขจริงๆ แน่”
ความจริงแล้วทุกคนต่างเป็นคนฉลาด มองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฉียวจิ่นกับเฉียวเจิ้นผิงไม่ดีเท่าใดนัก อีกทั้งพวกเขายังไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กันทั้งสิ้น เดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องไม่ดีแล้วแน่นอน
แต่บางคนที่รู้เรื่องวงในกลับปิติยินดี หากถามถึงคนที่โชคร้ายที่สุด จะต้องมีชื่อของเฉียวเจิ้นผิงร่วมด้วยแน่ หลายปีก่อนเขาตัดความสัมพันธ์กับลูกสาว สุดท้ายลูกสาวไม่เพียงแต่เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องซู่ แต่ยังมีทรัพย์สินในมือที่ทำให้คนยิ่งอิจฉาอีกด้วย
ปีที่แล้วก็หย่ากับอดีตภรรยา และตัดความสัมพันธ์กับลูกชาย แต่ปีนี้ลูกชายกลับสอบติดทั่นฮวา ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย เขาช่างน่าสงเวชนัก สังเวชจนไปถึงตระกูลเลย!
เฉียวเจิ้นผิงอารมณ์ไม่สู้ดีอยู่ท่ามกลางวงข้าราชการ เมื่อกลับไปที่จวนก็มีสีหน้าบูดบึ้งยิ่ง ส่วนหลิวซื่อในตอนนี้ได้กลายเป็นฮูหยินใหญ่เต็มยศแล้ว นางรู้สึกสุขสมหวังนิ่งนัก ออกไปที่ใดก็เชิดหน้าขึ้นสูง
นางทักทายเฉียวเจิ้นผิงที่กลับบ้านตามปกติ ทว่าเฉียวเจิ้นผิงกลับผลักนางออกไป และกระแทกก้นนั่งลงบนม้านั่ง ถอดหมวกผ้าแพรสีดำบนศีรษะออก ยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบไปอึกใหญ่ แต่น้ำชานี้เพิ่งชงเสร็จมาหมาดๆ ยังร้อนอยู่มาก จึงลวกปากเขาจนต้องพ่นออกมา
วันนี้หงุดหงิดอยู่ในท้องพระโรงไม่พอ กลับมาก็ยังถูกน้ำชาลวกอีก โทสะของเขาจึงพลันระเบิดออกมาทันใด เขวี้ยงถ้วยชาลงบนพื้น
หลิวซื่อตกใจกับท่าทางโกรธเกรี้ยวของเขา แต่ในใจนางรู้ดีว่าเขาต้องโมโหจากเรื่องในราชสำนักแน่ เมื่อก่อนเขาเคยบันดาลโทสะตอนกลับมาบ้าน ทว่าไม่ได้รุนแรงเหมือนอย่างครานี้
นางลูบหน้าอกเฉียวเจิ้นผิงเบาๆ ทำเป็นตัวอ่อนระทวยนั่งลงบนตักเขา ด้วยจำได้ว่าเมื่อก่อนทำแบบนี้กับเขาแล้ว โทสะของเขาก็จะหายไปครึ่งหนึ่ง
แต่วันนี้เฉียวเจิ้นผิงกลับรู้สึกราวกับกินดินปืนเข้าไป จึงผลักนางล้มลงกับพื้น และชี้หน้าด่ากราด “เฉียวต้านไอ้ลูกทรพีนั่นเล่า? วันๆ รู้จักแต่สำมะเลเทเมา กินดื่มอย่างสนุกสนาน เฉียวจิ่นเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว ตัวเขาเล่า?”
“แม่ตามใจลูกมากเกินไป เขาถูกเจ้าสอนแบบผิดๆ แล้ว!”
เมื่อหลิวซื่อได้ยินว่าเฉียวจิ่นได้เป็นขุนนาง หัวใจของนางก็กระตุกแรง และขบกรามแน่น
เดิมทีคิดว่าไอ้เด็กขี้โรคคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ในอีกไม่กี่ปีเสียอีก แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะหายจากอาการป่วย และยังมีชื่อเสียงอีกด้วย!
แต่นางไม่เสียใจกับการตัดสินใจเดิมของนางเลย ทั้งยังปิติยินดีมากด้วย หากเวลานี้เฉียวจิ่นยังอยู่ในจวนเสนาบดี ความเป็นไปได้ที่ต้านเอ๋อร์ลูกชายของนางจะได้สืบทอดทรัพย์สินของครอบครัวก็จะลดลง
นางลูบก้นที่เจ็บของนาง ไม่กล้าท้าทายเฉียวเจิ้นผิง และร้องไห้ออกมาอย่างสมเพช “ท่านพี่ ช่วงนี้ต้านเอ๋อร์ทำงานหนักมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกคืน เขายังบอกอีกว่าเขาจะเข้าร่วมสอบในปีหน้า เขาต้องทำให้ท่านลืมตาอ้าปากได้แน่”
ถึงอย่างไรก็เป็นคู่สามีภรรยาเก่าแก่มาสิบยี่สิบปีแล้ว เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ เฉียวเจิ้นผิงก็ไม่ทำให้นางลำบากใจอีก ทว่าในใจยังคงมีความแค้นเคืองอยู่ หากตอนนั้นนางไม่ส่งเสริมให้เขาตัดสัมพันธ์กับเฉียวจิ่น ปานนี้เขาคงเป็นบิดาของทั่นฮวาไปแล้ว!
เขาถอนหายใจออกมา พลางลุกขึ้นเดินไปทางห้องหนังสือ และทิ้งคำสั่งให้หลิวซื่อว่า “ให้ต้านเอ๋อร์รีบทบทวนอ่านหนังสือ ปีหน้าจะต้องเข้าร่วมการสอบให้ได้”
หลิวซื่อตอบรับเสียงนุ่ม และส่งเขาออกจากห้องด้วยความเคารพ จวบจนเฉียวเจิ้นผิงออกไปจากห้องแล้ว สีหน้านุ่มนวลของนางพลันเปลี่ยนไป กลายเป็นมืดมนเย็นชาลง
นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ความรู้สึกไม่พอใจแผ่ซ่านออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เห็นๆ อยู่ว่านางเหยียบย่ำซูเนี่ยนหว่านอยู่ใต้เท้าแล้ว ตอนนี้กลับเห็นอีกฝ่ายลืมตาอ้าปากได้ นางจะไม่อิจฉาได้อย่างไร!
นางคิดในใจ ลำพังเฉียวจิ่นไอ้เด็กขี้โรคนั่นคนเดียวจะสอบผ่านได้อย่างไร ท่านอ๋องซู่กับเฉียวเยี่ยนต้องชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ และคอยปูทางให้เขาก็เท่านั้น!
สำหรับคนขี้อิจฉาแล้ว การยอมรับว่าคนอื่นดีเลิศนั้นยากกว่าการฆ่านางจริงๆ เสียอีก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนนั้นที่เป็นศัตรูกับนาง!
ทว่าต่อให้คนในจวนเสนาบดีจะอิจฉาเพียงใด มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของครอบครัวเฉียวเยี่ยนเลยสักนิด เฉียวเจิ้นผิงเคยนัดเจอเฉียวจิ่นสองสามครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอด เขาจึงจำใจต้องหันไปสนใจซูเนี่ยนหว่าน อยากหวนคืนวันเก่าๆ กับนางอีกครั้ง
ซูเนี่ยนหว่านอ่านจดหมายเสแสร้งน่ารังเกียจที่เขาเขียนถึงนาง ก็รู้สึกแค่ว่าสะอิดสะเอียด จึงยกมือขึ้นโยนจดหมายทิ้งลงถังขยะ
หลังจากเฉียวเยี่ยนรู้เรื่องนี้ นางก็ให้คนมาทำป้ายไม้ขนาดใหญ่ ตั้งไว้ที่ประตูจวนสกุลเฉียว และให้ท่านอ๋องเขียนลงไปสองสามคำ ‘เขตปลอดเฉียวเจิ้นผิงกับสุนัข’
แต่คำพวกนี้ถูกเด็กน้อยทั้งสองปัดตกไป เจ้าปลาอ้วนบอกว่าสุนัขน่ารักมาก สามารถเข้ามาในบ้านของท่านยายได้ ด้วยเหตุนี้คำบนป้ายไม้จึงเปลี่ยนเป็น ‘เขตปลอดเฉียวเจิ้นผิงกับคนถ่อย’
ป้ายไม้นี้มีขนาดความสูงเท่าคนหนึ่งคน แลดูสะดุดตาอย่างมาก เมื่อผู้คนเดินผ่านประตูจวนไปทุกวันก็มักจะหยุดฝีเท้ามอง กระทั่งยังมีผู้คงแก่เรียนบางคนชื่นชมในลายมืออันสง่างามของมู่ฉินเจิน
เฉียวเจิ้นผิงกำลังใช้วิธีเล่าปี่เยือนกระท่อมหญ้าสามครา(2) วันต่อมาก็วิ่งไปที่จวนสกุลเฉียว นำจดหมายไปมอบให้ซูเนี่ยนหว่านด้วยตัวเอง พลางคิดในใจว่าหากการเยี่ยมสามครั้งยังไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็ไปเยี่ยมอีกเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า ถึงตอนนั้นซูเนี่ยนหว่านจะต้องหวั่นไหวอย่างแน่นอน
แต่วันนี้เขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ประตูจวนสกุลเฉียว ก็เห็นอักษรสองสามคำบนป้ายไม้จากระยะไกล จากนั้นก็เดินฟึดฟัดกลับไปอย่างโกรธกริ้ว
วันเวลาผ่านไปดั่งสายน้ำไหล พริบตาเดียวเดือนหกก็สิ้นสุดลงและย่างเข้าสู่เดือนเจ็ด เฉียวเยี่ยนก็มีเรื่องใหญ่ให้ต้องทำอีกครั้ง
ดอกท้อในป่าท้อที่หมู่บ้านจิ่วหลีพัวเหี่ยวเฉามาเกือบสองเดือนแล้ว กิ่งที่ทาบเมื่อปีที่แล้วได้ติดผลมาบ้างแล้ว จึงใช้ช่วงเวลานี้ห่อลูกท้ออ่อนทั้งหมดเอาไว้ในถุง
………………………………………………………………………………………………………………………….
笏板 – แผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวไปทุกครั้งที่มีการเรียกเข้าประชุม ถวายรายงานเหตุบ้านการเมืองต่างๆ ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ในพระราชวัง ซึ่งเหล่าขุนนางทั้งหลายจะใช้สองมือยกแผ่น “ฮู่ป่าน” นี้ขึ้นสูงระดับหน้าตอนถวายรายงาน
มาจากสำนวน 刘备三顾茅庐 แปลว่าการพยายามอย่างถึงที่สุดจนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย หรือตามตื้อจนกว่าจะพบตัว มีที่มาจากเล่าปี่ที่มาเยือนขงเบ้งหรือจูกัดเหลียงที่กระท่อมถึงสามครั้งจึงจะได้พบตัว
สารจากผู้แปล
ไม่ๆๆๆ เราต้องไม่ต่อเรือพร่ำเพรื่อเพียงเพราะพี่เฉียวจิ่นงดงามขนาดนั้นสิ นี่ไม่ใช่นิยายตันเหม่ย ใจเย็นๆ นะตัวเรา
พี่เฉียวจิ่นไม่จำเป็นต้องรับหมัดมวยของน้องสาวท่านหรอกค่ะพี่ชาย แค่เขาเอ่ยไม่กี่คำ น้องสาวท่านก็หน้าแดงแล้ว
มั่นหน้าเกินไปหรือเปล่าท่านเสนาฯ กรมพระคลัง ภรรยาท่านหมดรักท่านไปนานแล้ว จะกลับไปคืนดีกับสวะอย่างท่านทำไม
ไหหม่า(海馬)