ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 149 อุดหูขโมยกระดิ่ง
ตอนที่ 149 อุดหูขโมยกระดิ่ง
ตอนที่ 149 อุดหูขโมยกระดิ่ง
หวังสยงอันชอบเด็กน้อยทั้งสองยิ่งนัก โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินพวกเขาเรียกตนว่าท่านลุงอย่างไพเราะ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังจะละลาย และครุ่นคิดนับครั้งไม่ถ้วนว่า ชายผู้เย็นชาอย่างท่านอ๋องจะให้กำเนิดเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้ได้อย่างไร เห็นทีต้องยกความดีความชอบให้หวางเฟยเสียแล้ว
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จับมือใหญ่ของท่านลุงหน้าดำคล้ำหนวดเครารกครึ้ม แล้วเขย่าเบา ๆ ด้วยสีหน้าออดอ้อน “ท่านลุงหวัง พวกเราอยากไปขี่ม้าตัวใหญ่!”
หวังสยงอันตอบรับทุกคำขอ เขาจะยอมปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสองผิดหวังได้อย่างไร เขาอุ้มเด็กน้อยทีละคนด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า ปกป้องพวกเขาไว้ในอ้อมแขน และโยกตัวไปมาเบา ๆ ขณะถือบังเหียน
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ตัวเล็ก แต่จิตใจของนางกล้าหาญมาก นางเตะขาสั้น ๆ ขณะพยายามดึงบังเหียนด้วยมือเล็ก ๆ ของนาง ดูเหมือนนางกำลังพยายามอย่างมากเพื่อจะขี่ม้าให้ได้
เฉียวเยี่ยนก็ลงจากรถม้ามาเดินเล่นรอบ ๆ เมื่อเห็นความน่ารักของเด็กน้อยทั้งสอง นางก็เผยรอยยิ้มจาง
พอตกกลางคืน เสียงเกือกม้าก็ดังแว่วมาแต่ไกลเป็นระยะ ทหารรักษาพระองค์ทุกคนตื่นตัวยกดาบขึ้นมาทันที ขณะมองไปยังทิศทางที่มีเสียงเกือกม้าอย่างระมัดระวัง
เฉียวเยี่ยนก็ตื่นตัวกับเรื่องนี้เช่นกัน จึงชะเง้อมองไปในระยะไกล แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความดีใจของระบบตัวน้อย ซึ่งเสียงแผดลั่นของปีศาจน้อยนั้นแทบจะทำให้นางหูหนวก
[ท่านโฮสต์ที่รัก! พี่มู่คนหล่อกำลังมาทางนี้!]
เฉียวเยี่ยนแคะหูตัวเอง แล้วถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าบอกว่าใครกำลังมานะ?”
ระบบตัวน้อยกลอกตามองโฮสต์ด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วเน้นย้ำอีกครั้ง
[ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่กำลังมาทางนี้ ผู้ชายของท่าน!]
นางอยากจะพูดอะไรต่ออีกสองสามคำ แต่ก็เห็นโฮสต์ของนางวิ่งไปทางเสียงเกือกม้าแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าสดใสราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
หวังสยงอันและทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งตกตะลึง หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าต้องรีบตามหวางเฟยไป
หวังสยงอันรีบร้อนตามไป พลางร้องตะโกน “หวางเฟยเหนียงเหนียง รีบกลับมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ มันอันตราย!”
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ถ้าหวางเฟยเป็นอะไรไป ท่านอ๋องจะไม่ถลกหนังเขาหรอกหรือ!
เด็กน้อยทั้งสองก้าวขาสั้นป้อมวิ่งตามมารดาไปติดๆ เช่นกัน เรื่องนี้ทำให้หวังสยงอันปวดหัวแทบจะระเบิด ก่อนที่ตัวใหญ่จะกลับมา เขาต้องรีบเอาใจตัวน้อยไว้ก่อน
ในที่สุดชายที่อยู่บนหลังม้าก็เข้ามาใกล้ บนท้องฟ้ายังคงมีแสงจันทราสาดส่องริบหรี่ เพียงพอที่จะทำให้มองเห็นชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน
มู่ฉินเจินสวมชุดสีดำพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำ ขณะควบม้า เสื้อคลุมก็ปลิวไปตามสายลม เมื่อเฉียวเยี่ยนเห็นเขาก็หยุดทันที
ตอนนี้นางวิ่งเร็วเกินไป จึงหอบหายใจอย่างหนักหลังจากหยุดกะทันหัน แก้มของนางแดงระเรื่อ แต่ก็ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าได้ ดวงตารูปเมล็ดชิ่งของนางเปียกชื้นและเต็มไปด้วยความสุข
มู่ฉินเจินเห็นเจ้าท่อนไม้ของเขายืนอยู่ริมทางจากระยะไกล นี่คือคนที่เขาเฝ้าคิดถึงทั้งวันทั้งคืน เขาจึงกระชับบังเหียนและลดความเร็วของม้าลง เมื่อมาถึงข้างกายเฉียวเยี่ยน ม้าก็หยุดลง
เขาหันหลังลงจากหลังม้า ดวงตาลึกล้ำราวกับน้ำหมึกและเยือกเย็นในขณะนี้ส่องประกายร้อนแรงราวกับแสงดาว เขาจ้องมองใบหน้าของเฉียวเยี่ยน ราวกับแทบจะไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้ และเฉียวเยี่ยนก็จ้องมองเขาด้วยสายตาเร่าร้อนที่สุดเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมู่ฉินเจินก็เอื้อมมือออกไปกอดคนที่อยู่ตรงข้ามเขาแน่น เขาโอบแขนข้างหนึ่งรอบเอวนางไว้แน่น และใช้มืออีกข้างลูบศีรษะเฉียวเยี่ยน เฉียวเยี่ยนก็กอดเอวเขาไว้แน่นเช่นกัน และซุกหน้าไว้ในอ้อมแขนของเขา
ตอนนี้กลิ่นบนร่างกายของเขาไม่ค่อยดีนัก มีทั้งกลิ่นของฝุ่นและกลิ่นเหงื่อจาง ๆ แต่นางกลับรู้สึกสบายใจมากเมื่อได้กลิ่น
แต่ดูเหมือนการกอดจะไม่อาจแสดงถึงความตื่นเต้นยินดีของท่านอ๋องในเวลานี้ได้ เขาจึงเชยคางของเฉียวเยี่ยนขึ้นแล้วจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม เขาไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ตัดสินใจโยนความกังวลและความเขินอายทิ้งไป เขาเพียงแค่ต้องการกอดและจุมพิตนางเช่นนี้เท่านั้น
เฉียวเยี่ยนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ถูกอารมณ์พลุ่งพล่านครอบงำทันที นางโอบแขนรอบคอเขา ยืนเขย่งเท้า และพยายามตอบสนองเขา
เมื่อเห็นคนทั้งสองกำลังกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่ไล่ตามมาก็ตกตะลึงทันที และได้แต่จ้องมองพวกเขาด้วยความงุนงง
หวังสยงอันอันอุ้มเด็กทั้งสองไว้ในอ้อมแขน จึงทำให้ไม่สามารถวิ่งเร็วได้ เมื่อเขามาถึงก็แทบจะหยุดหายใจ หลังเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้วเขาก็รู้สึกประหม่ามากเช่นกัน
เมื่อเห็นบิดาของตน เด็กทั้งสองก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ “เย้! ท่านพ่อมาแล้ว!”
ไม่ได้รู้สึกถึงความอึดอัดใจของพวกผู้ใหญ่รอบข้างเลย
หวังสยงอันอันกระแอมสองครั้ง และเปล่งเสียงตะโกนตำหนิ “รีบหันหลังเร็วเข้า นี่ไม่ใช่ภาพที่น่าดู เข้าใจหรือไม่?”
ทหารรักษาพระองค์ต่างหมุนตัวไปมาเหมือนฝูงห่านโง่เขลา ขณะที่ภาพท่านอ๋องและหวางเฟยจูบกันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของพวกเขา
ท่านอ๋อง นี่มันจะเร่าร้อนเกินไปแล้ว!
หวังสยงอันหันอุ้มเด็กทั้งสองหันหลังกลับทันที พลางตะโกนในใจ นายท่าน ข้าสามารถช่วยท่านได้เท่านี้แหละพ่ะย่ะค่ะ!
แต่เด็กทั้งสองยังคงมองด้วยความตื่นเต้น เมื่อหวังสยงอันหันหลังกลับ พวกเขาก็หันหลังกลับเช่นกัน แต่ยังคงซบไหล่ของท่านลุงหวัง และมองด้วยความตื่นเต้น
เด็กน้อยไม่รู้ว่าการจูบระหว่างผู้ใหญ่หมายถึงอะไร พวกเขาคิดว่ามันเหมือนกับที่แม่หอมแก้มพวกเขา ซึ่งเป็นการแสดงความรัก
พ่อกับแม่รักกันจึงจูบกัน พวกเขาไม่ได้จูบกันที่แก้ม แต่เป็นที่ปาก
เมื่อเห็นการกระทำของเด็กน้อยทั้งสอง หวังสยงอันก็รู้สึกวิงเวียน เขารีบทำให้พวกเขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว วางพวกเขาลงบนพื้น และเอามือปิดตาโตของพวกเขา
เวรกรรม ตอนนี้ท่านอ๋องกับหวางเฟยจะปล่อยให้เด็กดูเช่นนี้จริงหรือ?
หวังสยงอันยืนกังวลอยู่ตรงนี้ แต่มู่ฉินเจินกับเฉียวเยี่ยนกลับจูบกันเร่าร้อนมากกว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าคนกำลังมา เฉียวเยี่ยนก็ผลักหน้าอกของมู่ฉินเจินด้วยความเขินอาย แล้วพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่ามีคนมา แต่มู่ฉินเจินกลับกอดนางแน่น และเสียงแผ่วเบาว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมมาคลุมศีรษะเขากับนางไว้
จากนั้นทั้งสองก็อุดหูขโมยกระดิ่ง* ยังคงจูบกันต่อไปอย่างไร้ยางอาย หากพวกเขาไม่อาย คนอื่นก็ต้องอายแทน
(* อุดหูขโมยกระดิ่ง (掩耳盗铃) เป็นสำนวน หมายถึง คนโง่ที่หลอกตัวเองได้ แต่หลอกคนอื่นไม่สำเร็จ)
หวังสยงอันและเหล่าทหารรักษาพระองค์อายมากจริง ๆ พวกเขาจูบกันมานานแล้ว เหตุใดท่านอ๋องยังไม่ปล่อยเสียที? จะนอนดินห่มฟ้ากันหรืออย่างไร?
นี่มันไม่เหมาะสมเลย!
หวังสยงอันที่ยืนอยู่กับเด็กทั้งสองทนไม่ไหวอีกต่อไป ออกคำสั่งทันที “ทุกคน กลับไปที่ค่ายเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ เขาก็อุ้มเด็กทั้งสองวิ่งกลับไป พลางเกลี้ยกล่อมพวกเขาขณะวิ่ง “หนูน้อยน่ารักต้องเป็นเด็กดี ลุงจะพาพวกเจ้าไปขี่ม้า พ่อแม่พวกเจ้ายุ่งนิดหน่อย เดี๋ยวทำธุระเสร็จแล้วก็จะมาหานะ”
เด็กน้อยทั้งสองยังอยากรอให้พ่อกับแม่เล่นกันให้เสร็จก่อน แล้วหันมาเล่นกับพวกเขาต่อ แต่หลังจากได้ยินลุงหวังบอกว่าจะให้ขี่ม้าต่อได้ พวกเขาก็ทำตามอย่างมีความสุข
อย่างไรเสีย ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่สนใจพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เด็กๆ อย่างพวกเขาก็ขอไปขี่ม้ากันก่อนเถิด!
ในที่สุดเมื่อเฉียวเยี่ยนรู้สึกวิงเวียนจากการจูบ มู่ฉินเจินก็ปล่อยนาง
ทั้งคู่หอบเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อ หากมองใกล้ ๆ จะเห็นว่าริมฝีปากแดงและบวมขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้มืดแล้ว แต่แสงจันทร์ก็สว่างพอที่จะเห็นทุกอย่างชัดเจน เฉียวเยี่ยนจ้องมองเขาด้วยสายตายั่วยวน เมื่อสักครู่นี้นางถูกอารมณ์ครอบงำ แต่ตอนนี้นางกลับมารู้สึกตัวแล้ว จึงรู้สึกละอายใจมาก
พวกเขาจูบกันต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำเช่นนี้ต่างกับการแก้ผ้าในที่สาธารณะอย่างไร?
แต่มู่ฉินเจินมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีความลำบากใจใด ๆ เขาพูดเปลี่ยนประเด็น “ข้าหิว ยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันทั้งคืนเลย”
เขาพูดเช่นนี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับว่ากำลังพูดถึงเรื่องปกติ แต่เฉียวเยี่ยนได้ยินแล้วกลับรู้สึกประหม่า
นางจับมือใหญ่ของเขาเดินไปที่ค่าย ขณะพูดว่า “ข้าไม่ทอดทิ้งหรอก ท่านทำงานหนักถึงเพียงนี้เลยหรือ? หากท่านกินข้าวไม่เป็นเวลา ในอนาคตจะปวดท้องได้ และบางครั้งอาจต้องทรมาน…”
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โดนสาดอาหารหมาถุงใหญ่ๆ กันถ้วนหน้า สงสารเหล่าพยานรักที่อยู่ตรงนั้นจังเลยค่ะ ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)