ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 140 มาถึงเยวี่ยโจว
ตอนที่ 140 มาถึงเยวี่ยโจว
ตอนที่ 140 มาถึงเยวี่ยโจว
คนกลุ่มนั้นรู้สึกประหลาดใจนักที่เห็นเฉียวเยี่ยนนำโคลนมาห่อไก่ ไก่ตัวนี้จะยังกินได้อยู่หรือ? มันจะไม่มีกลิ่นดินติดหรือ?
ทว่าเมื่อพวกเขานึกถึงฝีมือการทำอาหารของเฉียวเยี่ยน ต่อให้งงงวยยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยใด ๆ
หลังจากใช้โคลนพอกไก่ให้แน่นแล้วก็ปล่อยไว้สักพักให้แห้ง และเมื่อโคลนเริ่มแข็งตัวเล็กน้อย ก็โยนมันลงในกองไฟที่ลุกโชน แล้วใช้ถ่านร้อนกลบเอาไว้
อบเช่นนี้ไปช้า ๆ จนกว่าไฟจะทำให้โคลนแห้ง ความร้อนจะถ่ายเทผ่านโคลนเข้าไปทำให้เนื้อไก่สุกระอุ
ขณะที่กำลังอบไก่อยู่นั้น นางก็กลับไปที่ครัวเพื่อทำเครื่องในไก่ผัด ก่อนทอดจะต้องเตรียมเครื่องเคียงเสียก่อน ในครัวมีพริกดองกระป๋อง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดในระบบ
พริกชี้ฟ้าสีเหลืองเขียวจะกลายเป็นสีทองใสหลังจากหมักแล้ว ทันทีที่เปิดฝาออก กลิ่นของมันก็จะตลบอบอวลออกมา โดยปกติแล้วสามารถใส่พริกดองสับลงในปลาหรือวัตถุดิบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติได้
นางใช้ตะเกียบคีบพริกดองสองสามเม็ดขึ้นมาสับบนเขียง หั่นกระเทียม ซอยขิง และหั่นต้นกระเทียมที่ล้างแล้วเป็นท่อนเล็ก ๆ จากนั้นหั่นพริกหยวก และตั้งน้ำมันในกระทะเตรียมผัด
ผัดกระเทียมและขิงจนหอม ใส่เครื่องในไก่ที่ลวกแล้วลงไปผัด จากนั้นเทเหล้าข้าวเป็นวงกลมลงไปเพื่อดับกลิ่นคาว เติมซีอิ๊วขาว เกลือและพริกไทยเพื่อแต่งสีและปรุงรส จากนั้นใส่ต้นกระเทียม และพริกหยวกลงไปผัดให้เข้ากัน
ขณะที่เฉียวเยี่ยนกำลังทำอาหาร เว่ยอวิ๋นซูที่ไม่มีอะไรทำก็เข้ามาเล่นในครัว ก่อนหน้านี้นางไม่ชอบเครื่องในไก่เลย แต่เมื่อได้กลิ่นแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าอร่อยจริง ๆ นางจึงหยิบตะเกียบมาคีบใส่ปากไปสองสามชิ้น พริกดองที่อยู่ในนั้นเผ็ดมากจนทำให้นางถึงกับแลบลิ้นออกมา
ไก่ขอทานถูกอบเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ชั้นโคลนที่ปกคลุมด้านนอกแห้งสนิท จนกลายเป็นก้อนสีดำแห้ง ๆ
เฉียวเยี่ยนดึงก้อนโคลนออกจากกองไฟ รอบกายห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มผู้ชมที่อยากรู้อยากเห็น ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าไก่ในก้อนโคลนสีดำจะมีลักษณะอย่างไร
หลังจากที่โคลนไม่ร้อนจัดอีกต่อไป เฉียวเยี่ยนก็หยิบค้อนมาทุบเปลือกโคลนออก เผยให้เห็นกระดาษสีน้ำตาลที่อยู่ข้างใน
ทันทีที่เปลือกโคลนแตกออก กลิ่นหอมของเนื้อก็โชยออกมา และกระดาษสีน้ำตาลก็ชุ่มไปด้วยคราบน้ำมัน หลังจากเปิดกระดาษออกอีก กลิ่นหอมก็รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้ชมต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
เฉียวเยี่ยนหยิบไก่อบออกมา หลังจากตรวจดูแล้ว ก็ขอให้ใครสักคนนำมันไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในครัว แล้วจัดวางบนจาน
เด็กทั้งสองได้ได้น่องไก่คนละน่อง มือเล็ก ๆ ของพวกเขาถือน่องไก่แทะเล่น เว่ยอวิ๋นซูเห็นแล้วก็อ้อนวอนอยากกินเหมือนเด็ก ๆ บ้าง
หลังอาหารเย็นก็ดูคนงานให้อาหารไก่สักพัก แล้วเวลาก็ผ่านไปอีกวัน
เริ่มมืดค่ำแล้ว เฉียวเยี่ยนและลูกทั้งสองนอนอยู่บนเตียง ตอนกลางวันพวกเขาสนุกกันมากจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น แต่ตอนนี้พวกเขาว่างแล้ว เด็กทั้งสองจึงเริ่มคิดถึงพ่อ
“ท่านแม่…เมื่อไหร่ท่านพ่อจะกลับมาหรือเจ้าคะ?”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยกขาน้อย ๆ ขึ้นส่ายไปมา ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางยับยู่ยี่เป็นจีบซาลาเปาขณะเอ่ยถาม
“น่าจะเร็ว ๆ นี้แหละ”
เฉียวเยี่ยนกอดลูกสาวและก้มลงหอมแก้ม ความจริงแล้วนางก็ไม่รู้เลยเช่นกัน มู่ฉินเจินออกจากเมืองหลวงไปหกวันแล้ว และเขายังไม่ได้ส่งจดหมายกลับมา นางจึงไม่รู้สถานการณ์ของเขา
เด็ก ๆ คิดถึงเขา แล้วเหตุใดนางจะไม่คิดถึงเล่า
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยคำใด แต่สีหน้าของเขาแสดงถึงความกังวลเล็กน้อยเช่นกัน เฉียวเยี่ยนปลอบโยนเด็กทั้งสอง แล้วเล่านิทานก่อนนอนให้พวกเขาฟัง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
อีกด้านหนึ่ง ท่านอ๋องที่แม่ลูกคู่นั้นกำลังคิดถึงอยู่ก็เพิ่งมาถึงเยวี่ยโจว ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในวันนี้
เยวี่ยโจวตั้งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งตงหนานอันห่างไกลจากเมืองหลวง หากเดินทางจากเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ก็ไปถึงที่นั่นได้ภายในสามหรือสี่วัน แต่คราวนี้มู่ฉินเจินพาผู้คนและม้ามามากมาย ความเร็วของขบวนคนจึงช้ากว่าการขี่ม้ามาคนเดียวมาก ดังนั้นกว่าจะไปถึงเขตแดนเยวี่ยโจวได้ก็ตอนล่วงเข้าสู่เย็นวันที่หก
ภารกิจของเขาครั้งนี้คือการไปเยือนค่ายทหารของขุนพลประจำหัวเมืองเยวี่ยโจว เพื่อตรวจสอบว่ามีความไม่สงบตามที่พวกข้าหลวงท้องถิ่นรายงานหรือไม่
ทันทีที่มาถึงประตูเมือง จ้าวซุ่นเฉียนขุนพลประจำหัวเมืองเยวี่ยโจวก็พาคนมาต้อนรับเขา
จ้าวซุ่นเฉียนเป็นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบเศษ เขาเกิดมาเพื่อเป็นพลทหาร ในช่วงปีแรก ๆ เขาเข้าสู่สนามรบและประสบความสำเร็จอย่างมาก ต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนพลประจำหัวเมืองเยวี่ยโจว และประจำการอยู่ในพื้นที่ตงหนาน
เมื่อจ้าวซุ่นเฉียนเห็นมู่ฉินเจิน เขาก็นำกลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขาคุกเข่าคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นจึงต้อนรับผู้มาเยือนเหล่านั้น เข้าสู่ค่ายทหารของขุนพลประจำหัวเมือง
ครั้งแรกที่มู่ฉินเจินเห็นจ้าวซุ่นเฉียน เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คนผู้นี้มีพุงพลุ้ย เดินเหมือนคนไม่มีแรง ขอบตาคล้ำดำ ท่าทางดูไม่มีเรี่ยวแรง หากเขาไม่สวมชุดเกราะ แล้วเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงชน ก็ยากที่จะระบุได้ว่าเขาเป็นถึงนายพล!
และกลุ่มทหารที่เขาพามาด้วยก็เดินกันสะเปะสะปะ บ้างก็ก้มหน้า บ้างก็เหลียวซ้ายแลขวา ราวกับว่าไม่ได้รับการฝึกมาเลยสักนิด
หลังจากเข้าไปในค่ายทหาร ความรู้สึกก่อนหน้านี้ของเขาก็ยิ่งทวีมากกว่าเดิม ทหารที่เฝ้าประตูยืนนิ่งถือหอกในมือด้วยท่าทางเงอะงะ อีกทั้งยังพูดหยอกล้อกับสหายที่อยู่ข้างเขาอีกด้วย
ค่ายทหารควรเป็นสถานที่อันน่าเกรงขามและสง่างาม แต่ที่นี่กลับดูราวไม่มีทหาร ไม่มีนายพล ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นเสียแล้ว!
มู่ฉินเจินนึกสงสัยอยู่ในใจ แต่เขาไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนนี้มืดแล้ว ยังสังเกตได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก เขาจะตัดสินใจทุกอย่างในวันพรุ่งนี้
หลังจากเข้าไปในค่ายทหาร ความรู้สึกหดหู่ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม ในค่ายทหารขนาดใหญ่เช่นนี้กลับไม่มีคนเดินตรวจตรา บางครั้งก็เห็นทหารสองสามนายออกมาจากกระโจม พวกเขาประมาทกันยิ่งนัก
จ้าวซุ่นเฉียนใส่ใจท่าทางของอ๋องซู่เสมอ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก จึงรีบพูดว่า “ท่านอ๋องโปรดเสด็จตามกระหม่อมไปยังห้องโถงด้านหน้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้จัดเตรียมเครื่องดื่มเพื่อความสำราญไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ฉินเจินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชา จ้าวซุ่นเฉียนยืนก้มหน้าด้วยความหวั่นเกรง เหงื่อเย็นพลันผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเขา
มู่ฉินเจินมองไปทางอื่นอีกสองสามครั้ง แล้วเดินไปยังทิศทางที่จ้าวซุ่นเฉียนเพิ่งบอกมา เขาต้องการจะดูว่าคนผู้นี้มีแผนการเจ้าเล่ห์อะไร!
เมื่อเห็นอ๋องซู่เดินจากไป จ้าวซุ่นเฉียนก็เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก แล้วตามเขาไปด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
ทุกอย่างพร้อมแล้วที่ห้องโถงด้านหน้า สุรารสเลิศ อาหาร นางระบำ ทั้งหมดนี้เป็นไปตามมาตรฐานของงานเลี้ยง แต่การมีสิ่งเหล่านี้ในค่ายทหารนั้นไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง!
ในค่ายทหารไม่อนุญาตให้สตรีเข้าโดยเด็ดขาด แม้แต่สมาชิกในครอบครัวก็ยังจำเป็นต้องรายงานเพื่อขออนุมัติ ทว่าบัดนี้นางระบำนุ่งน้อยห่มน้อยกลุ่มใหญ่ กำลังปรากฏตัวที่ห้องโถงด้านหน้าของค่ายทหาร ใครเห็นก็เข้าใจได้ว่าระเบียบวินัยของที่นี่ถูกละเลยมากเพียงใด!
มู่ฉินเจินระงับความขุ่นเคืองใจแล้วเข้าไปในห้องโถง นายพลและทหารหลายนายที่นั่งอยู่ข้างในแล้วก็รีบลุกขึ้นคำนับทันทีเมื่อเห็นคนเดินเข้ามา
หลังจากที่เขานั่งบนที่นั่งหลักแล้ว จ้าวซุ่นเฉียนก็สั่งให้นางระบำเริ่มการแสดงทันที
เมื่อเสียงจากวงมโหรีบรรเลงขึ้น นางระบำก็ร่ายรำไปตามเสียงเพลง ผู้ชมกลุ่มหนึ่งโห่ร้องปรบมือชื่นชมความงาม
ขณะนี้ดูราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นหอนางโลม นางระบำนุ่งน้อยห่มน้อยต่างดึงดูดสายตาบุรุษหลายคน พากันยักย้ายส่ายเอวอ้อนแอ้น บ้างจงใจโบกผ้าโปร่งในมือไปทางพวกเขา ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกวาบหวามใจ
นางระบำที่อยู่ตรงกลางนั้นงดงามที่สุดในบรรดาทุกคน คิ้วโก่งงาม ปากแดง ฟันขาว ร่างเพรียวงามเต่งตึง ตั้งแต่เริ่มการแสดง นางก็จับจ้องไปที่มู่ฉินเจินโดยไม่ละสายตา
หากนางสามารถใช้รูปร่างหน้าตาอันงดงามสร้างความหลงใหลได้ นางก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าไปตลอดชีวิต!
นางบิดเอวพลิ้วไหวด้วยท่าทางกระตุ้นราคะเย้ายวนใจ ก่อนเยื้องยุรยาตรแผ่วเบาไปหามู่ฉินเจินขณะเต้นระบำไปด้วย และหยุดห่างจากเก้าอี้ของมู่ฉินเจินเพียงสองฉื่อ จากนั้นนางก็เอาแต่สะบัดผม ทำท่าทางยั่วยวนเขา
มู่ฉินเจินได้กลิ่นแป้งร่ำคุณภาพต่ำบนร่างกายของนางก็รู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย ทันใดนั้นไอเยือกเย็นก็แผ่ซ่านออกมาจากกายเขา ใบหน้าพลันมืดมนยิ่งนัก
แต่นางระบำคนนั้นไม่สนใจ ยังคงร่ายรำหว่านเสน่ห์ต่อ มู่ฉินเจินรู้สึกหงุดหงิดใจจนทนไม่ได้อีกแล้ว จึงขว้างถ้วยที่อยู่ในมือออกไป
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
สิ่งยั่วยวนในค่ายนี้มันเยอะ ท่านอ๋องแข็งใจไว้นะ
ยั่วผิดคนแล้วนังหนูเอ๊ย ท่านอ๋องมีเจ้าของแล้ว ไม่ชายตาแลใครแล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)