ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 103 พี่เฉียวจิ่น
ตอนที่ 103 พี่เฉียวจิ่น
ตอนที่ 103 พี่เฉียวจิ่น
หลังจากดูต้นเหมยในสวนได้สักพัก นางก็หมุนตัวกลับเข้าไปตรวจสอบในบ้าน ที่นี่มีบ้านหลายหลังมาก นางไม่ต้องสร้างหอพักคนงานก็ได้ด้วยซ้ำ รอซ่อมแซมเสร็จแล้วก็สามารถให้พวกเขาหิ้วสัมภาระเข้ามาอยู่ได้เลย
มีประตูห้องหนึ่งแง้มเปิดอยู่ ทันทีที่นางผลักประตูเข้าไปก็เห็นโครงกระดูกแขวนอยู่บนขื่อ แม้นางจะมีความกล้ามาก แต่ก็ยังตกใจไม่น้อย ส่วนระบบตัวน้อยเพิ่งไปดูวิดีโอเมื่อครู่ จึงไม่ได้สนใจดูสภาพข้างในห้อง เมื่อหันกลับมามองอีกทีก็เห็นโครงกระดูกสั่นไหวไปตามสายลมแล้ว
นางกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ และเอาหัวซุกเข้าไปในผ้าห่ม เผยแค่ก้นน้อยออกมาด้านนอก
เฉียวเยี่ยนที่ใจเต้นโครมครามเห็นท่าทางตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกก็สงบลง นางจึงปลอบอย่างจนใจ “ไม่ต้องกลัว มันกลายเป็นกระดูกไปแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”
แต่ระบบตัวน้อยก็ยังไม่ออกมา และบิดก้นน้อยของนางไปมา ในน้ำเสียงเด็กเล็กปฏิเสธอย่างแรงกล้า
[ระบบไม่เอา!]
เฉียวเยี่ยนหมดปัญญากับนาง ในขณะเดียวกันก็นึกปรีดา โชคดีที่เด็กทั้งสองไปเล่น ไม่เช่นนั้นอาจจะตกใจจนร้องไห้
นางยกเท้าก้าวเข้าไปในห้อง แหงนหน้าขึ้นมองโครงกระดูกนั้น มันเป็นโครงกระดูกผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะหมดหนทางรอดตอนที่ถูกค้นบ้านจึงแขวนคอตัวเองตาย
หลังจากตรวจสอบในห้องอย่างละเอียดแล้ว นอกจากมีรูรั่วสองสามแห่ง ที่เหลือก็ปกติดีมาก
ครั้นออกมาแล้ว นางก็เหลือบมองไปที่โครงกระดูกอีกครั้ง จากนั้นจึงปิดประตูลง รอให้พวกคนงานนำโครงกระดูกนั้นไปฝัง
ยังไม่ทันได้ตรวจดูบ้านเสร็จ ฮุ่ยเซียงก็พาเด็กทั้งสองคนกลับมา ซึ่งยังไม่ทันเห็นร่างก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก ‘ท่านแม่’ ของเจ้าปลาอ้วนมาแต่ไกล
เฉียวเยี่ยนออกจากห้องมารอพวกเขาอยู่ที่ทางเดิน เห็นลูกทั้งสองวิ่งมาหานางอย่างมีความสุข แม้แต่เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่สงบนิ่งก็ยังตื่นเต้นมากในเวลานี้
“ท่านแม่ เราเก็บแมวได้ตัวหนึ่งล่ะเจ้าค่ะ!”
เจ้าปลาอ้วนกอดขามารดาเอาไว้แล้วก็เริ่มแบ่งปันข่าวดีสำหรับเด็กน้อยให้แก่มารดา ในดวงตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เฉียวเยี่ยนประหลาดใจ ลูบใบหน้ารูปไข่ของเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “ลูกๆ เยี่ยมมากเลย แมวอยู่ที่ไหนล่ะ? ให้แม่ดูหน่อย”
ฮุ่ยเซียงวิ่งตามเจ้านายน้อยทั้งสอง ไล่จนหายใจหอบเหนื่อย ซึ่งนางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ขาสั้นๆ นั้นเหตุใดมันถึงได้เคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนี้!
นางเข้าไปในบ้าน ยกแมวน้อยในมือขึ้นให้เฉียวเยี่ยนดู
“เก็บได้ที่มุมกำแพง ดูแล้วน่าจะยังไม่หย่านมเจ้าคะ”
เฉียวเยี่ยนรับลูกแมวน้อยมาลูบสัมผัส มันเป็นแมวสีส้มตัวน้อย ขนาดตัวใหญ่ไม่เกินฝ่ามือของนาง และเพิ่งลืมตาได้ไม่นาน รูม่านตาหดจนเป็นขีดขนาดเล็กสองขีด ยังคงตัวสั่นเทาและกรีดร้องเสียงเบา
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มองเจ้าแมวน้อยอย่างปวดใจ และถามความเห็นเฉียวเยี่ยนด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “ท่านแม่ เราเลี้ยงแมวได้หรือไม่เจ้าคะ? ตอนนี้มันไม่มีแม่ น่าสงสารมากเลย”
น่าจะเพราะกลัวเฉียวเยี่ยนปฏิเสธ เด็กน้อยจึงงัดท่าทางน่าสงสารทุกกระบวนมาใช้จนหมด แววตาน่าสงสารนั้นทำให้คนที่เห็นใจอ่อนระทวย
แน่นอนว่าเฉียวเยี่ยนรู้ความคิดของนาง พวกเด็กๆ มีจิตใจเมตตาเป็นเรื่องที่ดี จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เลี้ยงได้สิ แต่เมื่อเลี้ยงแมวแล้ว พวกลูกต้องรับผิดชอบมัน ต้องดูแลมันดีๆ ห้ามปล่อยปละละเลยมันเป็นอันขาดเชียวนะ”
เมื่อเต็กทั้งสองได้รับการอนุญาตก็มีความสุขจนยิ้มออกมา พลางพยักหน้ารับปากว่าพวกเขาต้องเลี้ยงเจ้าแมวเหมียวเป็นอย่างดีแน่นอน
เมื่อเยี่ยมชมบ้านทั้งหลังเสร็จก็ปาไปถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ที่นี่ห่างหอฮวาอวิ๋นไม่ไกลนัก เฉียวเยี่ยนจึงตัดสินใจไปกินข้าวที่หอฮวาอวิ๋น และถือโอกาสตรวจสอบบัญชีล่าสุดไปด้วยเลย
เพราะเป็นเวลากลางวัน หอฮวาอวิ๋นจึงมีลูกค้ามาก ไม่เพียงแต่ห้องที่ถูกจองเต็ม แม้แต่ห้องโถงใหญ่ยังมีคนนั่งอยู่จำนวนมาก
มีลูกค้าหลายคนเป็นลูกค้าประจำ และรู้จักเฉียวเยี่ยน ครั้นเห็นนางเดินเข้ามา ก็ยังยิ้มทักทาย เฉียวเยี่ยนจึงคุยกับพวกเขาด้วยไมตรีจิต
ตั้งแต่ไก่ปล่อยเลี้ยงถูกนำเข้ามาในภัตตาคาร กิจการหอฮวาอวิ๋นก็ขายดีเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง อาหารทุกชนิดที่มีไก่เป็นส่วนประกอบหลักล้วนเป็นที่นิยมในหมู่ลูกค้า และหลายคนยังสอบถามการซื้อไก่เป็นๆ กลับไปฆ่ากินที่บ้านเอง
อาหารในพระราชวังในวันนั้นโด่งดังชั่วข้ามคืน เหล่าองค์ชายขุนนางชั้นสูงกินอาหารในวันนั้นแล้วกลับบ้านไปกินอาหารที่ห้องเครื่องทำก็รู้สึกจืดชืดเหมือนกินเทียนไข ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนมาสั่งอาหารที่หอฮวาอวิ๋น หรือไม่ก็วิ่งมารับประทานที่นี่บ่อยๆ
เฉียวเยี่ยนทักทายทุกคนครู่หนึ่ง ก่อนจะพาฮุ่ยเซียงกับเด็กๆ ขึ้นไปชั้นบน ด้านบนมีห้องห้องหนึ่งที่นางเหลือไว้ให้ตัวเองใช้ และนำมาใช้เป็นห้องทำงานของตัวเองตามปกติ แล้วตรวจสอบบัญชีอยู่ครู่หนึ่ง
ยังไม่ทันเข้าไปในห้อง เฉียวเยี่ยนกลับรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองนาง นางรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันใด และให้ระบบตัวน้อยตรวจดูสถานการณ์
ตามคาด ระบบตัวน้อยพบว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องตรงข้ามมองนาง เขาพิงราวบันไดอยู่เล็กน้อย คล้ายกับมองผู้คนมากมายในโถงใหญ่ แต่ความจริงสายตาล้วนอยู่ที่นาง
เฉียวเยี่ยนหมุนตัวหันไปมองเขา ครั้นเห็นดวงหน้านั้น ใจนางเจ็บแปลบอย่างอธิบายไม่ได้ ความทรงจำของชายแปลกหน้าพรั่งพรูเข้ามาในหัว
พี่ชาย พี่ชายของร่างเดิม ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นพี่ชายนางสินะ
เฉียวจิ่นรู้ว่าตัวเองถูกจับได้ ก็ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ดวงหน้าขาวซีดซูบผอมนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ซึ่งรอยยิ้มนั้นดูเขินอาย แต่กลับแฝงไปด้วยการเอาอกเอาใจเล็กน้อย
รอยยิ้มของเขาทำให้ใจของเฉียวเยี่ยนยิ่งเสียใจมากขึ้น ปลายจมูกเริ่มคัดหายใจไม่ออก อยากจะหลั่งน้ำตาออกมาเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของนาง มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเอง หรือบางทีร่างเดิมอาจจะใส่ใจคนตรงข้ามเป็นอย่างยิ่ง
นางฝืนระงับความรู้สึกแปลกในใจ และหวนนึกถึงความทรงจำสั้นๆ เมื่อครู่นั้น พี่ชายของร่างเดิมชื่อว่าเฉียวจิ่น โตกว่านางสี่ปี และดีกับนางมาก เมื่อก่อนตอนที่ไม่เป็นโปรดปรานอยู่ในจวนก็มักจะถูกคนอื่นรังแก เป็นเขาที่คอยปกป้องนาง และความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องก็ดีมาตลอด
แต่เพราะความโง่เขลาของร่างเดิมที่ถูกพวกอนุภรรยาของเฉียวเจิ้นผิงล้างสมอง จึงสร้างเรื่องโง่เขลาไว้มากมาย และก็เป็นเฉียวจิ่นนี่เองที่ช่วยเก็บกวาดสิ่งที่นางทำ
เฉียวจิ่นสั่งสอนนาง พูดความในใจกับนาง ทว่าร่างเดิมไม่รู้จักชั่วดีแถมยังไม่พอใจ คิดว่าเป็นเพราะมารดากับพี่ชายไม่ได้รับความโปรดปราน ถึงได้พาลให้นางไม่ถูกชอบด้วย
ต่อมานางจึงไม่ฟังคำโน้มน้าว และทะเลาะกับเฉียวจิ่น และเกิดความรู้สึกบาดหมางใจกับเฉียวจิ่น จวบจนนางถูกตัดความสัมพันธ์หลังจากแต่งงานออกไป ทั้งสองก็ไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย
เฉียวเยี่ยนนึกถึงอดีตทีละนิดๆ แทบอยากย้อนเวลากลับไปตบหน้าเจ้าของร่างเดิมให้ตายสักฉาดหนึ่ง
เฉียวจิ่นดีกับนางแค่ไหน นางถูกลงโทษ เขาก็ช่วยแบกให้นาง นางถูกตี เขาก็รับแทนนาง มีของอะไรดีก็คิดถึงนางเป็นคนแรก แต่นางกลับยอมฟังคำพูดของหญิงขี้นินทาพวกนั้น ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของญาติสนิท
เฉียวจิ่นร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ท่านหมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคเกี่ยวกับปอด และรักษาไม่หายไปตลอดชีวิต ทำได้แค่เพียงพึ่งยาประทังชีวิต แต่ชายร่างอ่อนแอคนนี้กลับปกป้องน้องสาวตัวเองมาโดยตลอด
เฉียวเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ นางรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับร่างนี้แล้ว ความทรงจำนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนอยู่ตรงนั้น ราวกับว่านางเป็นคนทำเรื่องแย่ๆ เอง
นางเก็บอารมณ์เอาไว้ ปรับท่าทางตัวเอง และแย้มยิ้มออกมาบนใบหน้า และเดินไปทางเฉียวจิ่น
ครั้นเฉียวจิ่นเห็นน้องสาวเดินเข้ามา ก็ยิ่งลนลานมากขึ้น มือก็กำชายเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว ท่าทางที่แสดงออกมาแฝงไปด้วยความไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร
เขาแค่อยากมาดูน้องสาวว่าใช้ชีวิตได้ดีหรือไม่ เขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนางในเมืองหลวงมาหมดแล้ว รู้ว่าน้องสาวเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น แต่ก็ยังคงไม่วางใจ ถึงอย่างไรเมื่อก่อนนางก็ขี้อายปานนั้น
เขาไม่กล้าไปหานางที่ตำหนักอ๋องซู่ มันไม่ง่ายเลยที่นางจะหลุดพ้นจากสถานที่อันชั่วร้าย ไม่อยากให้นางเข้ามาพัวพันเพราะเขา อีกอย่างก็เป็นเพราะกลัวว่านางจะยังโกรธตัวเองอยู่
เขาแค่อยากมามองเพียงครู่เดียว แค่มองจากที่ไกลๆ ก็พอแล้ว
หลังจากรู้ว่าร้านหอฮวาอวิ๋นเป็นร้านของนาง เขาก็มักจะมาที่นี่บ่อยๆ หาสถานที่เงียบๆ รอนาง บางครั้งโชคดีก็จะเห็นนางมาตรวจสอบภัตตาคาร นางเปลี่ยนไปมากจริงๆ เมื่อก่อนมีนิสัยเชื่องช้าขี้เกียจ ตอนนี้กลับสดใสมีชีวิตชีวา
นางจะชอบพูดเล่นกับผู้ดูแลร้านและพวกเสี่ยวเอ้อร์ และชอบพูดคุยกับลูกค้าคุ้นเคย หากไม่ใช่เพราะนางมีรูปร่างเหมือนแต่ก่อน เขาคงสงสัยว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สงสารพี่ชายเลยค่ะ จนอยากร่วมผสมโรงตบกบาลเจ้าของร่างเดิมให้หายโง่ด้วยคน
ไหหม่า(海馬)