ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 84 การแสดงจบลงแล้ว
ตอนที่ 84 การแสดงจบลงแล้ว
อาเหิงที่กลับมาถึงห้องแต่งหน้าดูใจลอยอย่างเห็นได้ชัด มีคนแต่งหน้าแต่งตัวให้เธอใหม่ จะช่วยเธอเปลี่ยนจากชุดการแสดงไปเป็นชุดสำหรับให้สัมภาษณ์
คนของปู๋เชวี่ยวีดีโอจัดวางกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทาง เตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการถ่ายทำการให้สัมภาษณ์
จูลี่กำลังอ่านร่างบทสัมภาษณ์ ทำการเรียบเรียงคำถามที่ทำการเขียนเอาไว้เรียบร้อยแล้วเป็นครั้งสุดท้าย
ฉีอวี่เอ๋อร์หยิบเอาชุดมา บอกให้อาเหิงไปเปลี่ยนชุดการแสดงที่อยู่บนร่างออกที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
อาเหิงที่ลุกขึ้นเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าลง คล้ายทำการตัดสินใจอะไรบางอย่างออกมา เธอหมุนตัวไปทางจูลี่ที่กำลังอ่านร่างบทสัมภาษณ์อยู่ กล่าวว่า “คุณจูลี่คะ”
“คะ?” จูลี่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเธอเรียกก็รีบเดินเข้าไปทันที กล่าวถามว่า “มีอะไรคะ?”
อาเหิงกล่าวด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ แต่ฉันคิดว่าคงจะให้สัมภาษณ์ในวันนี้ไม่ได้แล้วค่ะ”
“…..” จูลี่พูดไม่ออก
ทุกคนที่อยู่ภายในห้องต่างสบตากัน ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว บอกจะยกเลิกก็ยกเลิกกันง่ายๆ เลยเหรอ?
จูลี่มองดูอุปกรณ์ทุกอย่างที่ถูกเตรียมเอาไว้พร้อม รีบกล่าวถามว่า “พวกเราทำอะไรไม่ดีตรงไหนหรือเปล่าคะ? ถ้ามีปัญหาอะไรคุณบอกมาได้เลยนะคะ ทางเราจะรีบแก้ไขให้ค่ะ”
อาเหิงส่ายศีรษะ กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ได้เกี่ยวกับพวกคุณหรอกค่ะ อาจเป็นเพราะว่าสองสามวันนี้พักผ่อนไม่พอ พอนั่งลงไปแล้วก็ไม่อยากขยับอีก ไม่มีแรงเลยจริงๆ ค่ะ คุณจูลี่ล่ะ ตอนนี้ร่างกายฉันไม่พร้อม เอาอย่างนี้ไหมคะ ฉันจะอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ยต่ออีกสองสามวัน พวกเราไม่ต้องรีบมาสัมภาษณ์ในระหว่างที่กำลังทำการแสดงนี้ก็ได้ เดี๋ยวพวกเรานัดเวลากัน เตรียมตัวให้พร้อม ไม่ต้องสัมภาษณ์สั้นๆ แต่สัมภาษณ์ยาวๆ เลย คุณว่าดีไหมคะ?”
จูลี่โล่งอก เธอนึกว่าอีกฝ่ายจะผิดสัญญาเสียแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง อีกฝ่ายยินดีให้โอกาสทางปู๋เชวี่ยวีดีโอได้สัมภาษณ์พิเศษยาวๆ นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจก็ยังนึกสงสัยอยู่ “อย่างนั้นการแสดงเวทีต่อไปของคุณจะทำยังไงคะ?”
อาเหิงรีบหันหน้าไปกล่าวกับทางฉีอวี่เอ๋อร์ “เดี๋ยวไปแจ้งหน่อยนะว่าการตระเวนแสดงหลังจากนี้ฉันไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว ฉันจะอยู่ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทางปู๋เชวี่ยวีดีโอที่นี่”
ฉีอวี่เอ๋อร์รู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร แต่แน่นอน เมื่อเป็นเทพธิดาในระดับอาเหิงแบบนี้ อีกทั้งไม่ได้รับเงินค่าจ้างอีก ขอเพียงมีเหตุผลที่เหมาะสมก็สามารถบอกกล่าวได้ เธอพอจะรู้ว่าทำไมอาเหิงถึงอยากจะอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ยต่อ จึงพยักหน้าแล้วกล่าวทันทีว่า “ได้ เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะประสานงานให้”
อาเหิงเหลียวหน้ากลับมามองจูลี่อีกครั้ง คล้ายกำลังถามว่าคุณยังมีปัญหาอะไรไหมคะ?
จูลี่จนปัญญาเล็กน้อย เอาการสัมภาษณ์พิเศษของเธอมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่เข้าร่วมการตระเวนแสดงหลังจากนี้
แต่ว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ การแสดงในสถานที่อื่นๆ ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับทางเมืองปู๋เชวี่ย จึงรีบพยักหน้าตกลงทันที
หลังนัดแนะวันเวลาที่จะสัมภาษณ์พิเศษเรียบร้อย จูลี่ก็พาลูกน้องกล่าวบอกลาอย่างเกรงอกเกรงใจ
ฉีสวี่เอ๋อร์เองก็หาข้ออ้างให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ ออกไปก่อน
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่แล้ว อาเหิงคล้ายกระวนกระวายขึ้นมา เดินกลับไปกลับมาในห้องไม่หยุด นิ้วทั้งสิบถูไปถูมาอยู่ในฝ่ามือ หว่างคิ้วมีความรู้สึกประหลาดใจปรากฏขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว
ฉีสวี่เอ๋อร์ที่ยืนมองอยู่ตรงประตูปิดประตูลง รีบก้าวเข้ามาหาเธอแล้วกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ทำไมป้าหวังถึงมาอยู่…”
“ชู่ว!” นิ้วมือข้างหนึ่งของอาเหิงกดลงไปบนริมฝีปากของเธอพลางส่ายหน้า
ฉีอวี่เอ๋อร์ย่อมต้องเข้าใจ จึงรีบเปลี่ยนคำพูด กล่าวเสียงแผ่วเบากว่าเดิม “ทำไมท่านอ๋องถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
อาเหิงส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าตนเองไม่รู้ หมุนตัวก้าวเดินอย่างช้าๆ กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “หลินยวน พนักงานของหอการค้าตระกูลฉิน…”
จูลี่ที่เดินออกมาจากปากถ้ำงุนงงเล็กน้อย เธอเห็นหลินยวนที่ถูกทหารสามสี่ขวางทางเอาไว้ จึงกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เมื่อเทียบกันแล้ว สิทธิ์ของเธอเวลาอยู่ในค่ายมีมากกว่าหลัวคังอันกับหลินยวนเสียอีก ขอเพียงไม่ไปแตะต้องสถานที่สำคัญๆ เธอก็แทบจะเดินไปได้ทุกที่ภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพ
ทหารเหล่านั้นยังไม่ทันเอ่ยปาก จ่าเซียวก็ปรากฏตัวขึ้นมา เดินเข้ามาตอบคำถาม แล้วก็คล้ายกำลังกล่าวเตือนหลินยวนด้วย “ต่อไปอย่ามาเดินอยู่ที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตอีก” พลางโบกมือส่งสัญญาณ ทหารเหล่านั้นรีบเปิดทางให้ทันที
หลินยวนไม่ได้สนใจจูลี่ที่อยู่ข้างๆ เดินไปทางจ่าเซียว “ผบ.เซียว หลัวคังอันที่เป็นเพื่อนผมหายไปตั้งนานแล้ว คุณช่วยผมหาหน่อยได้ไหม”
เขาเองก็เข้าออกค่ายผู้พิทักษ์เทพอยู่บ่อยๆ จึงรู้จักจ่าเซียวเช่นเดียวกัน
จ่าเซียวกล่าวว่า “ในค่ายผู้พิทักษ์เทพจะมีเรื่องอะไรได้? หาเจอแล้ว กำลังเดินเล่นอยู่ด้านนอกนั่น”
หลินยวนยกมือขึ้นมาส่งสัญญาณมือเล็กน้อย เพื่อบอกว่าตนเองไปได้หรือยัง?
“อืม” จ่าเซียวโบกมือบอกให้เขาไป
หลินยวนรีบก้าวอาดๆ ออกไป เดินออกไปด้านนอก สายตามองสอดส่อง
จูลี่หันไปบอกลูกน้องว่าให้ไปทำงานก่อน จากนั้นเธอเองก็รีบก้าวตามหลินยวนไป กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลินยวนหยุดฝีเท้า มองไปยังทิศทางที่มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามา
จูลี่มองตามไป ก่อนจะเห็นหลัวคังอันเดินใจเข้ามาอย่างสบาย ใบหน้าดูกระหยิ่มยิ้มย่อง
หลังมาถึงข้างกายทั้งสองคน หลัวคังอันก็กล่าวยิ้มๆ ออกมา “พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ เอ๋ จูลี่ คุณไม่ต้องทำงานเหรอ?”
บอกตามตรง ทันที่เขาเห็นจูลี่อยู่ใกล้หลินยวน เขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์สักเท่าไร
หลินยวนขยับจมูกเล็กน้อย เพราะว่าเขาได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงจากบนตัวของหลัวคังอัน
จูลี่เองก็ทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นน้ำหอมบนตัวหลัวคังอันนั้นเด่นชัดจริงๆ เธอเหมือนจะเคยได้กลิ่นหอมแบบเดียวกันนี้จากตัวใครบางคน เธอกวาดมองไปรอบๆ กล่าวถามอย่างสงสัยว่า “หลัวคังอัน คุณไปไหนมา? เมื่อกี้หลินยวนเขากำลังตามหาคุณอยู่”
หลังทำงานด้วยกันนานเข้า คำเรียกขานก็เปลี่ยนไป คุณหลัวคุณหลินที่เคยเรียกก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนไปเป็นเรียกชื่อพวกเขาตรงๆ
หลัวคังอันเคยชินกับกลิ่นบนร่างของตัวเอง ตัวเองจึงไม่ได้กลิ่นอะไร หัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ก็แค่ไปเดินเล่นมา”
“งั้นเหรอ? ที่นี่อนุญาตให้เดินเล่นด้วยเหรอ?” จูลี่แสดงความสงสัย จมูกยังคงฟุดฟิดสูดดมเล็กน้อย
หลัวคังอันแปลกใจ “อะไรของคุณเนี่ย จะสอบปากคำเหรอ?”
จูลี่มองเขาอย่างสงสัย “อย่าเที่ยวเดินไปไหนโดยไม่ได้อนุญาต จะได้ไม่ถูกคุมตัวไว้เหมือนหลินยวนเมื่อกี้นี้ ไม่คุยด้วยแล้ว ฉันไปทำงานก่อนล่ะ” กล่าวจบก็หมุนตัวจากไป
หลินยวนจ้องมองดูเธอที่เดินจากไป รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนช่างสงสัยอย่างมาก แล้วก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ได้กลิ่นหอมจนเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้ว ขอให้ครั้งนี้เธออย่าช่างสงสัยเกินไปเลย ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับรนหาที่ตายได้ ไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่ง ทันทีที่ถูกพบเข้า เกรงว่าคนเหล่านั้นคงไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่
หลังจากสายตาของหลัวคังอันละจากร่างของจูลี่ที่เดินจากไป เขาก็ถามหลินยวนว่า “เมื่อกี้นายถูกคุมตัวเหรอ?”
หลินยวนส่งเสียงอืม ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจกลับกำลังครุ่นคิด เจ้านี่ยังไม่ตายเหรอเนี่ย? รู้สึกไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร คนพวกนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่?
สายตาเขามองไปทางเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน
“ไปกันเถอะ ในเมื่อมาแล้ว ดูการแสดงจบแล้วค่อยว่ากัน” หลัวคังอันโบกมือ ก่อนจะพาหลินยวนกลับไปชมการแสดงต่อบนที่นั่งชั้นลอย
จูลี่ที่แยกกับทั้งสองไม่ได้ไปทำอะไรอย่างอื่น หากแต่ตรงไปยังห้องแต่งหน้าของเสวี่ยหลาน เคาะประตูก๊อกๆๆ
หลังประตูเปิดออก เมื่อเห็นว่าเป็นเธอ เสวี่ยหลานที่กำลังนั่งแกะผมอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็ลุกขึ้นพลางยิ้มแย้มขึ้นมาทันที “เชิญเข้ามาค่ะ”
เธอรู้สึกยินดีต้อนรับจูลี่จริงๆ เพราะได้ยินมาว่าคนคนนี้กำลังทำการสัมภาษณ์พิเศษเทพธิดาที่มีชื่อเสียงบางส่วนอยู่ แต่กลับไม่ได้มาหาเธอ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีคนดังเยอะเกินไป ระดับชื่อเสียงของเธอยังไม่มากพอ ตอนนี้เมื่อเห็นจูลี่เป็นฝ่ายมาหาเธอถึงที่ จึงเข้าใจผิดนึกว่าจะมีหวัง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน แม้นปู๋เชวี่ยวีดีโอจะมาหาเธอ เธอก็ไม่แน่ว่าจะสนใจ เพราะคนในอาชีพนี้จะมีศักดิ์ศรีความมั่นใจของตัวเองอยู่
จูลี่เข้าไปทักทาย สังเกตดูชุดผู้ชายที่อยู่บนร่างเธอเล็กน้อย เขยิบเข้าไปใกล้แล้วสูดกลิ่นหอมที่อยู่บนร่างเธอ จากนั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “เมื่อกี้นี้ฉันมาหาคุณ แต่ว่าคุณไม่อยู่น่ะค่ะ”
ผู้ช่วยของเสวี่ยหลานงุนงง มาหาด้วยเหรอ? ไม่มีนะ!
เสวี่ยหลานไม่ทราบ จึงรีบกล่าวอธิบายว่า “ขอโทษด้วยค่ะ ไม่รู้ว่าคุณจูลี่จะมา เมื่อครู่มีคนของทางทีมงานจัดแสดงมาหา ฉันก็เลยออกไปคุยกับพวกเขาเรื่องการตระเวนแสดงหลังจากนี้น่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง” จูลี่ร้องอ้อ นี่เป็นการหลอกถาม เธอพบว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายไม่อยู่จริงๆ ด้วย ประกอบกับกลิ่นหอมที่ได้จากตัวของอีกฝ่าย บนใบหน้าของเธอก็คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
หลังหาข้ออ้างเดินออกมาแล้ว สายตาของจูลี่ที่กำลังเดินอยู่เรียกได้ว่าเปล่งประกายไม่หยุด พบว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดจริงๆ เรียกได้ว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้พบว่าระหว่างหลินยวนกับอาเหิงจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างแน่นอน ตอนนี้ก็พบอีกว่าหลัวคังอันกับเสวี่ยหลานก็คล้ายจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างที่ไม่ชัดเจนอยู่
คิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่หอการค้าตระกูลฉินเลือกให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการประมูลเทพมหาวิญญาณจะมีความสัมพันธ์กับเทพธิดาด้วยกันทั้งคู่
ผู้ช่วยมีความสัมพันธ์กับเทพธิดาที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด แต่หัวหน้ากลับมีความสัมพันธ์กับเทพธิดาปลายแถว นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
บังเอิญอย่างนั้นเหรอ? หรือว่าจะหอการค้าตระกูลฉินจะคอยบงการอะไรอยู่ ไม่อย่างนั้นทำไมมันถึงบังเอิญอะไรเช่นนี้?
เมื่อออกมาจากถ้ำ เธอก็กวาดตามองไปรอบๆ ลอบแปลกใจว่ากลิ่นหอมที่อยู่บนตัวของหลัวคังอันมาได้ยังไง หรือว่าเขาจะกล้าทำเรื่องอะไรแบบนั้นในค่ายผู้พิทักษ์เทพที่มีทหารคอยตรวจตรา?
สุดท้าย สายตาเธอก็หันไปยังทิศทางหนึ่ง ทิศทางที่เป็นที่ตั้งโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน
เธอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้าวเดินออกไป ตรงไปยังโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน เมื่อเห็นทหารลาดตระเวนที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ เธอก็แสร้งทำเป็นถามว่า “เห็นหลัวคังอันของหอการค้าตระกูลฉินบ้างไหมคะ?”
คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนร้องอ้อ “ก่อนหน้านี้เห็นเขาพาพนักงานซ่อมบำรุงของหอการค้าตระกูลฉินเข้าไปในโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินนะครับ พอออกมาแล้วก็เหมือนจะไปดูการแสดงแล้วครับ”
พนักงานซ่อมบำรุงของหอการค้าตระกูลฉินเหรอ? จูลี่กล่าวถาม “พนักงานคนนั้นใส่ชุดที่มีปกเสื้อสีขาวใช่ไหมคะ?”
หัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนเองก็จำพนักงานซ่อมบำรุงเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลไม่ได้ทั้งหมด เพราะคนเหล่านั้นไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเวลาที่อยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพ จึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช่ครับ ปกเสื้อสีขาว มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
จูลี่รีบกล่าว “เปล่าค่ะ ฉันกำลังหาพวกเขาอยู่”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง “พวกเขาไปทางนั้นครับ น่าจะไปดูการแสดงแล้ว คุณจูลี่ลองไปหาทางด้านนั้นดูนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” จูลี่พยักหน้าขอบคุณ ขณะที่หมุนตัวก็เหลือบมองไปยังโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอกาค้าตระกูลฉินเล็กน้อย ภายในใจมีความมั่นใจ พบว่าหลัวคังอันผู้นั้นบ้าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะพาคนนอกเข้าไปยังสถานที่เก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน ยิ่งไปกว่านั้นยังอาจจะเข้าไปทำเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรอะไรบางอย่างด้วย
แต่แน่นอน ก็เหมือนอย่างที่เธอสงสัยก่อนหน้านี้ หลินยวนกับอาเหิง หลัวคังอันกับเสวี่ยหลาน ไม่รู้ว่าหอการค้าตระกูลฉินกำลังทำอะไรอย่างเบื้องหลังเรื่องเหล่านี้…
……
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา การแสดงจบสิ้นลงท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี เหมือนการปลอบขวัญจะได้ผลอย่างที่คาดเอาไว้
เหิงเทาที่นั่งอยู่แถวหน้าเองก็ลุกขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขาดูค่อนข้างพึงพอใจ ยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับปรบมือตามทุกคน
เขาไม่ได้พึงพอใจในการแสดง หากแต่พึงพอใจในเนื้อหาที่พิธีกรได้กล่าวออกไปในระหว่างการแสดง
ขอเพียงการแสดงนี้ถูกออกอากาศออกไป ทั่วทั้งดินแดนเซียนก็จะรู้ว่ามิได้เป็นเพราะเมืองปู๋เชวี่ยนิ่งนอนใจต่อผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อน หากแต่เป็นเพราะกองกำลังของเมืองปู๋เชวี่ยทำการระวังป้องกันอย่างแข็งขัน ไม่ปล่อยให้ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนฉวยโอกาสได้ เมืองปู๋เชวี่ยถึงได้มีความสงบสุข
…………………………………………………………