ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 82 ขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?
ตอนที่ 82 ขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหม?
ที่ผู้ช่วยไม่เข้าใจ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าการแต่งตัวเป็นผู้ชายก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ตอนนี้เสวี่ยหลานยังไม่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้
จากนั้นครู่หนึ่ง ทหารคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงประตู ตะโกนบอกว่า “เสวี่ยหลาน มีคนหาคุณอยู่”
ผู้ช่วยยังไม่ทันได้ดูว่าเป็นใคร อีกฝ่ายกล่าวจบก็เดินจากไป
เสวี่ยหลานใจเต้นขึ้นมา เธอว่านี่คือสัญญาณปฏิบัติการที่อยู่ในแผนการ ภายในใจค่อนข้างประหม่าและตื่นกลัว แล้วก็ทราบดีถึงความเร่งด่วนของแผนการ เวลาไม่คอยท่า เธอแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวหากมีอะไรผิดพลาด จึงรีบลุกขึ้นทันที
ผู้ช่วยกล่าวด้วยความสงสัย “ใครมาหาเธอ?”
ขณะที่กำลังคิดจะตามออกไปด้วย เสวี่ยหลานกลับยื่นมือออกมาขวางเอาไว้ “รอฉันอยู่ที่นี่แหละ ฉันไปดูเอง”
ผู้ช่วยยังอยากจะพูดอะไร แต่เสวี่ยหลานก็กล่าวออกมาอีกว่า “ที่นี่เป็นค่ายผู้พิทักษ์ของเมืองปู๋เชวี่ย ไม่มีเรื่องอะไรหรอก”
ผู้ช่วยจึงได้แต่ต้องรั้งอยู่ มองดูเธอออกไป รอคอยให้เธอกลับมา
เสวี่ยหลานที่เดินออกไปจากประตูมองซ้ายมองขวา เห็นว่าภายในทางเดินไม่มีใคร แล้วก็น่าจะไม่มีใคร
ในแผนการจะมีเวลาในเธอเล็กน้อย เป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างที่เทพธิดาขึ้นไปแสดงบนเวทีและลงมาจากเวที ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวตรงนี้ จะมีคนพยายามควบคุมไม่ให้มีใครมาปรากฏตัวอยู่ในทางเดินนี้ ทำให้เธอได้พบกับหลัวคังอันโดยสะดวก เพื่อที่จะได้ไม่มีใครสงสัยอะไร
เธอเองก็ไม่รู้ว่าใครกำลังควบคุมเวลาตรงนี้อยู่ ทว่ามีจุดหนึ่งที่เธอสามารถมั่นใจได้ นั่นคือคนที่สามารถวางแผนจัดการอะไรในนี้ได้ เขาผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่อยู่ภายในสภาเซียนอย่างแน่นอน
ยิ่งเมื่อคิดถึงเรื่องที่ตัวเองถูกพาเข้าไปในเทพมหาวิญญาณเพื่อทำการฝึกพิเศษ เธอก็รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีอิทธิพลมากขนาดไหน ตัวเองได้เข้าไปพัวพันในเรื่องที่ไม่ธรรมดาเข้าแล้ว
เธอเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้หลัวคังอันเป็นใครกันแน่ ถึงได้ทำให้กลุ่มคนที่มีอิทธิพลเช่นนี้ต้องพยายามทำถึงขนาดนี้ นี่เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับหลัวคังอันที่เธอเคยปั่นหัวเมื่อในอดีตคนนั้นเลย
แต่แน่นอน ตัวเธอเองก็ไม่ใช่ตัวเธอเมื่อในอดีตแล้วเช่นกัน เธอเองก็ถือว่าเป็นคนที่เคยพบเห็นอะไรมาบ้างเหมือนกัน
เธอพยายามข่มใจเอาไว้ รีบเดินไปยังปากทางเข้าที่นั่งชั้นลอยที่ได้พบกับหลัวคังอันก่อนหน้านี้
ไม่เร็วไม่ได้ เธอถูกสั่งกำชับเอาไว้หลายครั้งว่าช่วงเวลาคาบเกี่ยวตรงนี้มีระยะเวลาสั้นอย่างมาก ไม่มีเวลาให้เธอโอ้เอ้มากนัก
ขณะที่เพิ่งเดินออกมาจากมุมทางเดิน ยังไม่ทันจะเดินไปตรงปากทางเข้าที่นั่งชั้นลอย เธอก็มองเห็นหลัวคังอันที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้า
หลัวคังอันกำลังจ้องมาทางนี้ หลังจากที่เธอเดินหายไปตรงมุมทางเดินนั้น เขาก็เอาแต่ยืนจ้องมองทิศทางที่เธอเดินหายไป ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
เมื่อเห็นภาพนี้ ภายในใจเสวี่ยหลานก็เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เธอรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ลืมเธอ
เธอเองก็จำได้ว่าในอดีตผู้ชายคนนี้เหมือนจะชอบเธอจริงๆ แต่เธอไม่มีทางเลือก
ไม่นาน ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจก็ถูกความตื่นเต้นและความหวาดกลัวชะล้างออกไปจนหมด
ชอบเหรอ? ด้วยฐานะและชื่อเสียงที่เธอมีอยู่ในตอนนี้ ผู้ชายที่ชอบเธอมีมากมายก่ายกอง แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไร?
ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการที่ตัวเองได้ใช้ชีวิตดีๆ แล้ว
เมื่อเห็นหลัวคังอันกำลังมองมาทางนี้อย่างเหม่อลอย ภายในใจเธอพลันมีความรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน ยิ่งมีความมั่นใจในการดำเนินแผนการครั้งนี้
เธอค่อนข้างมั่นใจในหน้าตาของตัวเอง หลายปีมานี้ไม่รู้มีผู้ชายมากน้อยเท่าไรที่ยอมสยบอยู่ใต้ชายกระโปรงของเธอ
ยิ่งไปกว่านั้นการแสดงก็ยังเป็นเรื่องที่เธอทำเป็นอาชีพอยู่ในตอนนี้ด้วย
เมื่อเห็นเธอปรากฎกายขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งยังเดินมาทางนี้ ยิ่งเดินยิ่งใกล้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเดินมาทางตนเองด้วย หลัวคังอันขบกรามขึ้นมา ภายในใจมีเพลิงโทสะลุกโชน นังแพศยาคนนี้ทำร้ายเขาไว้เจ็บนัก
เสวี่ยหลานยืนอยู่ตรงหน้าของเขา มองดูหลินยวนที่อยู่ตรงที่นั่งชั้นลอย ร่างกายโน้มเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย ขยับเข้าไปใกล้หลัวคังอัน กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ขอคุยกับคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
เธอเปลี่ยนแผน เดิมทีแผนเข้าใกล้หลัวคังอันไม่ใช่แบบนี้
แต่เธอมีสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนแผนการไปตามสถานการณ์ เพราะสถานการณ์บางอย่างมันไม่สามารถกำหนดให้ชัดเจนได้ หากไปกำหนดตายตัว นั่นกลับจะทำให้แผนการล้มเหลวได้ การที่ให้สิทธิ์เธอปรับเปลี่ยนแผนไปตามสถานการณ์นั้นมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือจัดการเรื่องราวให้สำเร็จ
เธอไม่ได้บอกเรื่องที่เธอเคยทำร้ายหลัวคังอันเพื่อเงินให้คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้รับรู้
ที่แท้ก็ยังจำตัวเองได้อยู่ หลัวคังอันสูดหายใจ เหลียวหน้ากลับไปมองดูหลินยวนเช่นเดียวกัน ก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง พยักหน้าเล็กน้อย
เสวี่ยหลานหมุนตัวเดินออกไป หลัวคังอันเพิ่งจะก้าวเท้าออกไป หลินยวนที่ยืนชมการแสดงอยู่พลันหันหน้ากลับมา กล่าวว่า “ระวังตัวด้วย”
ทันทีที่พูดออกไป หลินยวนก็นึกเสียใจขึ้นมา นี่ไม่ใช่คำพูดที่เขาควรจะพูด
เขาไม่รู้ว่าหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจววางแผนจะทำอะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาสามารถจินตนาการได้ นั่นคือการกำจัดหลัวคังอันที่หอการค้าตระกูลฉินจ้างมาควบคุมเทพมหาวิญญาณในการประมูล
คนเราเมื่อใกล้ชิดกันนานวันเข้า ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ทุกคนล้วนแต่จะมีความผูกพันเกิดขึ้นมา เมื่อครู่เขาอดใจไม่ไหวจริงๆ พูดอีกอย่างคือเป็นการตอบสนองออกไปโดยไม่รู้ตัว เขาถึงได้พูดเตือนออกไปแบบนั้น
หลัวคังอันไม่รู้ว่า ‘ระวังตัวด้วย’ ที่เขาพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร อยู่ที่นี่ยังต้องระวังอะไร?
เขาเข้าใจผิดนึกว่าอีกฝ่ายกำลังบอกตัวเองว่าอย่าซี้ซั้วเดินเที่ยวไปทั่ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย รีบเดินตามเสวี่ยหลานออกไป
หลินยวนไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็ไม่ได้เปิดโปงอะไรออกมา เขาไม่มีทางบอกความจริงอะไรแก่หลัวคังอัน
เขาค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมา สายตามองไปยังเวทีที่กำลังทำการแสดงอยู่เบื้องล่าง การแสดงอันยอดเยี่ยมอยู่ตรงเบื้องหน้า แต่ความจริงกลับดูอะไรไม่รู้เรื่องเลย ความคิดล้วนแต่อยู่ที่ตัวหลัวคังอัน หลังผ่านคืนนี้ไป หรือบางทีอาจจะอีกไม่นานหลังจากนี้ เขาก็คงจะไม่ได้เห็นหน้าไอ้คนพูดมากที่ชอบวิ่งพล่านไปทั่วคนนั้นแล้ว
บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่ บางทีพอตัวเองไม่ได้เป็นผู้ช่วยของหลัวคังอันแล้ว เขาอาจจะหลุดพ้นออกจากเรื่องการประมูลที่วุ่นวายนี้ก็ได้
แต่หอการค้าตระกูลฉินจะยอมรามือง่ายๆ เหรอ? เกรงว่าคงจะคิดวิธีหาคนอื่นมา เมื่อถึงตอนนั้นอาจจะให้ตัวเองไปเป็นผู้ช่วยให้กับคนนั้นก็ได้
เขาได้เริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์หลังจากที่หลัวคังอันเสียชีวิตเอาไว้แล้ว ครุ่นคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร เขาพอจะนึกภาพออกว่าตนเองคงต้องถูกพาไปสอบสวนอีกอย่างแน่นอน
เจ้าหน้าที่ที่มานำทางก่อนหน้านี้คนนั้น ทั้งหน้าตาและรูปร่างล้วนแต่ถูกเขาจดจำเอาไว้ในหัวสมองแล้ว แล้วก็ยังมีเรื่องที่พวกเขาถูกจัดให้มาอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดล้วนแต่ถูกเขาจัดเตรียมเอาไว้ในสมอง พร้อมที่จะเอาไว้ใช้รับมือ….
……
เสวี่ยหลานไม่ได้เลี้ยวไปยังทางที่ตรงไปยังห้องแต่งหน้า หากแต่เดินตรงไปตามทางเดิน เดินไปสุดทางแล้วถึงจะเลี้ยวลงบันไดไป
ก่อนหน้านี้ได้มีคนวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าควรจะเดินอย่างไร เธอเพียงแค่ทำตามก็พอ
หลัวคังอันไม่พูดไม่จา เดินตามอยู่ด้านหลังเธอ มองดูแผ่นหลังของเธอ
ขณะที่กำลังเดินลงบันไดมาแล้วเลี้ยวอีกครั้ง ทั้งสองคนก็เจอกับคนคนหนึ่ง เป็นทหารที่สวมชุดเกราะของทางสภาเซียนที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา มิใช่ใครอื่น เป็นจ่าเซียวที่เป็นผู้บังคับการคนปัจจุบันของค่ายผู้พิทักษ์เทพ
เมื่อเจอหน้ากัน เสวี่ยหลานตื่นตระหนกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ภายในใจลอบอุทานแย่แล้ว อย่าบอกนะว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่นี่?
จ่าเซียวกล่าวตะคอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ใครน่ะ?” คล้ายไม่รู้จักเสวี่ยหลาน จากนั้นสายตามองไปที่ใบหน้าของหลัวคังอัน จึงร้องโอ้ออกมา “หลัวคังอัน พวกคุณมาทำอะไรที่นี่?”
หลัวคังอันเข้าๆ ออกๆ ค่ายผู้พิทักษ์เทพอยู่เป็นประจำ ถึงแม้จะไม่สนิทกับจ่าเซียว แต่ก็ถือว่ารู้จักกัน จึงรีบยิ้มพลางกล่าวว่า “ผบ.เซียว ไม่มีอะไรครับ แค่มาเดินเล่นน่ะ”
จ่าเซียวส่งเสียงอืม “เดินๆ น่ะได้ แต่ที่นี่คือค่ายผู้พิทักษ์เทพ อย่าเที่ยววิ่งซี้ซั้วล่ะ”
หลัวคังอันหัวเราะแหะๆ พลางกล่าว “จะวิ่งซี้ซั้วได้ยังไงล่ะครับ สถานที่สำคัญล้วนมีคนคอยเฝ้าอยู่ ต่อให้อยากจะวิ่งซี้ซั้วก็เข้าไปใกล้ไม่ได้หรอกครับ”
“รู้ก็ดีแล้ว ทางที่ดีอย่าทำให้เกิดความเข้าใจผิดอะไร” จ่าเซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นไม่ได้กล่าวอะไรอีก เดินผ่านทั้งสองคนไป
เสวี่ยหลานที่เหลียวหน้ากลับไปเล็กน้อยเดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆ หลัวคังอันเดินตามไป
ทั้งสองคนเดินออกจากโพรงถ้ำมายังโลกด้านนอก ด้านนอกไม่มีใครคอยเฝ้า ทั้งคู่เหลียวหน้ากลับไปมองยังเวทีแสดงที่กำลังคึกคักเต็มไปด้วยความสนุกสนาน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปในความมืดด้วยกัน
…..
“พวกนายไปพักผ่อนหน่อยไป ไปดูการแสดงสิ เดี๋ยวฉันเฝ้าเอง”
จ่าเซียวเดินเข้าไปในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดของค่ายผู้พิทักษ์เทพ กล่าวกับเจ้าหน้าที่สองคนที่เข้าเวรอยู่
เจ้าหน้าที่สองคนที่เข้าเวรอยู่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ยังบ่นอิดออดว่าโชคร้ายจัง ตอนที่มีการแสดงกลับต้องมานั่งเข้าเวร ในเวลานี้ได้รับอนุญาตให้ไปชมการแสดง ทั้งคู่ต่างคิดว่าผบ.กำลังเห็นใจพวกเขา จึงรีบกล่าวขอบคุณทันที
“ไปซะ” จ่าเซียวโบกมือ
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนรีบออกไปอย่างมีความสุข
ทันทีที่ประตูปิดลง จ่าเซียวก็เดินมาตรงหน้าแท่นควบคุมตัวหนึ่ง สายตากวาดมองดูฉากแสงที่ปรากฏเรียงรายอยู่ตรงหน้า ก่อนจะมองเห็นหลัวคังอันและเสวี่ยหลานที่อยู่ในฉากแสงแถบหนึ่ง
เขายื่นมือไปกดปุ่มสื่อสาร ออกคำสั่งกับหน่วยลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งว่า “ไปดูตรงทางเดินทิศใต้หน่อย อย่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้”
หน่วยลาดตระเวนรีบเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปตรวจสอบยังทิศทางที่ได้รับแจ้งมา ไม่นานก็มาเจอเข้ากับหลัวคังอันและเสวี่ยหลานที่คล้ายกำลังเดินเล่นอยู่ จึงบอกให้ทั้งสองคนออกไป
คำสั่งแล้วคำสั่งเล่าทยอยออกมา หน่วยลาดตระเวนหน่วยแล้วหน่วยเล่าก็มาเปลี่ยนทิศทางการเดินของหลัวคังอันและเสวี่ยหลานไม่หยุด
ทั้งสองคนอยากจะพูดคุยกัน หลายครั้งอยากจะหาที่เงียบๆ คุยกัน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมารบกวนหลายต่อหลายครั้ง
กระทั่งในที่สุดก็ไม่ถูกไล่ให้ต้องเดินหนีไปทางนั้นทีทางนี้ที เสวี่ยหลานจึงถอนใจพลางกล่าว “คิดไม่ถึงว่าค่ายผู้พิทักษ์เทพจะตรวจตราเข้มงวดขนาดนี้ กระทั่งโอกาสให้ได้คุยกันดีๆ ก็ยังไม่มีเลย”
หลัวคังอันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะวันนี้มีคนนอกเข้ามาเยอะ ก็เลยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรา มีอะไรก็พูดตรงนี้เถอะ”
เสวี่ยหลานหันมองซ้ายขวา มองไปยังเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่คล้ายกำลังเดินมาทางนี้ “ไปหาที่ที่ไม่มีคนรบกวนคุยกันไม่ได้เหรอ?”
หลัวคังอันกล่าว “ที่นี่แหละ”
เสวี่ยหลานกล่าว “เรื่องในอดีต ฉันรู้สึกผิดอยู่ในใจมาตลอด เสียดายที่ไม่เจอคุณเลย ก็เลยไม่ได้อธิบายกับคุณ”
หลัวคังอันกล่าว “มีอะไรให้อธิบายอีก?”
เสวี่ยหลานกล่าวด้วยใบหน้าที่ดูเจ็บปวด “คังอัน เรื่องในอดีตมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะ ฉันถูกบังคับจริงๆ พวกเขาจับแม่ของฉันเอาไว้ ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันพิสูจน์แบบนี้แล้วกัน หวังว่าคุณจะเชื่อ” กล่าวจบก็ยกสองมือดึงคอเสื้อลงมา
หลัวคังอันถูกการกระทำนี้ของเธอทำให้ตกใจ รีบยกมือมาคว้าจับมือของเธอเอาไว้แล้วช่วยเธอดึงคอเสื้อขึ้นมา กวาดตามองดูซ้ายขวา กล่าวเสียงต่ำอยู่ในลำคอว่า “เธอบ้าไปแล้วเหรอ?”
เสวี่ยหลานกล่าวอ้อนวอน “หลายปีมานี้ เรื่องนั้นคอยทรมานฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดแต่อยากจะหาคุณเพื่ออธิบายให้ฟัง ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอคุณ ไม่ว่าคุณจะยกโทษให้ฉันหรือไม่ ก็ขอโอกาสให้ฉันได้อธิบายหน่อยได้ไหมคะ?”
หลัวคังอันจ้องมองเธออย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธแค้นภายในใจหายไปไม่น้อย เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเขาคิดว่าด้วยสถานะของเสวี่ยหลานในตอนนี้ เธอไม่จำเป็นต้องมาขอร้องอ้อนวอนอะไรเขาเลย จึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ หรือเรื่องราวในตอนนั้นมันจะเป็นอย่างที่เธอว่ามาจริงๆ?
เขามองไปรอบๆ ถึงได้พบว่าตอนนี้ตัวเองได้มาอยู่ใกล้ๆ สถานที่เก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินแล้ว
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนตรวจสอบตัวตนของเขาแล้ว ก็อนุญาตให้เขาเดินไปบนเส้นทางที่เชื่อมระหว่างสถานที่ที่หอการค้าตระกูลฉินหยิบยืมกับลานแสดงเท่านั้น ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเดินไปเดินมาในเส้นทางอื่นๆ ของค่ายผู้พิทักษ์เทพ
เมื่อมองดูเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่พร้อมจะเดินเข้ามาหาได้ทุกเมื่ออีกครั้ง เขาก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะพูดคุยจริงๆ จึงกล่าวเสียงเบาๆ ทันทีว่า “ตามฉันมา”
เขาพาเธอมายังประตูทางเข้าโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน ยื่นมือไปกดลงบนประตูแล้วถ่ายพลังลงไป พลังในร่างกายเขาก็คือสิทธิ์ในการผ่านเข้าไปด้านใน ประตูบานหนึ่งค่อยๆ เปิดออก
พริบตาที่ประตูเปิดออก จ่าเซียวที่นั่งอยู่ในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดก็ยื่นมือไปกดปุ่มปุ่มหนึ่ง ปิดกล้องวงจรปิดที่อยู่ในโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน นี่เท่ากับเป็นการตัดภาพที่จะถูกบันทึกในช่วงนี้ออกไป
เขาเองก็ไม่กลัวว่าใครจะพบเห็นถึงความผิดปกติอะไร ปกติในเวลาที่ไม่มีใครมาทำอะไรในโรงเก็บเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน ภายในโรงเก็บก็จะอยู่ในสภาพเงียบเชียบ เมื่อเปิดกล้องวงจรปิดขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่ถูกบันทึกแทบจะเรียกได้ว่าเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ หากไม่ตรวจสอบให้ละเอียดก็ยากจะพบอะไรได้
…………………………………………………………………