ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 81 พบเสวี่ยหลานอีกครั้ง
ตอนที่ 81 พบเสวี่ยหลานอีกครั้ง
ทันทีที่รถวิ่งเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพ หลินยวนกับหลัวคังอันก็รับรู้ได้ว่าค่ายผู้พิทักษ์เทพในวันนี้แตกต่างไปจากปกติ เห็นได้ชัดว่ามีการยกระดับการป้องกันให้แน่นหนาขึ้นกว่าเดิม
ทั้งสองเพียงมองดูก็รู้ว่าการแสดงปลอบขวัญจะจัดแสดงขึ้นที่นี่
ทางปู๋เชวี่ยวีดีโอได้ประกาศแจ้งแล้วว่าการแสดงจะแบ่งจัดเป็นสองเวทีในเมืองปู๋เชวี่ย
เวทีแรกจะเป็นการแสดงปลอบขวัญเหล่ากองกำลังผู้พิทักษ์เมือง โดยจะทำการปลอบขวัญผู้พิทักษ์เทพเป็นอันดับแรก การที่มาจัดการแสดงขึ้นในค่ายผู้พิทักษ์เทพก็ทำให้เห็นแล้วว่าผู้พิทักษ์เทพมีสถานะที่สูงกว่าผู้พิทักษ์เมืองทั่วๆ ไป ที่เมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ผู้พิทักษ์เมืองคนอื่นๆ ที่สามารถเข้ามาชมการแสดงภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพได้มีจำนวนไม่มาก แค่ส่งคนมาจำนวนหนึ่งพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่สามารถให้ผู้พิทักษ์เมืองทั้งหมดแห่กันมาชมการแสดงในค่ายผู้พิทักษ์เทพได้ ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ยังเป็นช่วงที่ผู้พิทักษ์เมืองต้องระแวดระวังป้องกันเหตุร้ายอย่างสูงสุด ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งคนมาจำนวนหนึ่งเท่านั้น แค่เพียงพอให้ทางปู๋เชวี่ยวีดีโอใช้ในการถ่ายทำรายการก็พอ
เวทีต่อไปถึงจะไปจัดแสดงให้ประชาชนได้ชม โดยใช้คำพูดที่ฟังดูดีว่าเป็นการปลอบประโลมและปลุกขวัญกำลังใจ
การที่ต้องแบ่งการแสดงออกเป็นสองเวทีนั้นเพราะว่ามีความจำเป็น เพราะถ้าเอาประชาชนกับผู้พิทักษ์เมืองมารวมกัน เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
ในตอนที่จัดแสดงเวทีที่สอง ผู้พิทักษ์เมืองที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขก็สามารถเปลี่ยนชุดลำลองมารับชมการแสดงกับประชาชนได้….
……
การทดสอบเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินยังคงดำเนินต่อไป แต่หลินยวนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าวันนี้หลัวคังอันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลังการทดสอบในช่วงบ่าย จู่ๆ ทั้งสองก็ได้รับแจ้งว่าในช่วงที่มีการแสดงในช่วงเย็นให้หยุดการทดสอบเอาไว้ก่อน รอให้การแสดงจบแล้วค่อยดำเนินการทดสอบต่อ
นี่เป็นคำแนะนำที่คนในค่ายผู้พิทักษ์เทพได้เสนอต่อเบื้องบนไป ด้วยกลัวว่าผลกระทบจากการทดสอบจะไปรบกวนการป้องกันทั้งในและนอกค่ายผู้พิทักษ์เทพ
เพราะถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจะจัดการได้ลำบาก จึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน ทางเหิงเทาได้แจ้งไปทางหอการค้าตระกูลฉินให้หยุดการทดสอบในเวลานั้นไว้ชั่วคราว
ถึงแม้จะได้รับแจ้งมาอย่างปุบปับกะทันหัน แต่หอการค้าตระกูลฉินก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้ดินแดนเซียนจะอนุญาตให้หอการค้าที่มีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดเอาไว้สามารถมีส่วนร่วมในการจัดสร้างเทพมหาวิญญาณได้ แต่ก็ต้องกระทำภายใต้การควบคุมดูแลของผู้พิทักษ์เทพในแต่ละพื้นที่ จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้พิทักษ์เทพในแต่ละพื้นที่
……
เผิงซีและพานหลิงเยวี่ยที่อยู่ในเรือนมีสีหน้าคร่ำเคร่ง
หลังจากชิงจั๋วที่คุยโทรศัพท์อยู่ด้านข้างวางสายไป เขาก็รีบก้าวเข้ามาหาเผิงซี กล่าวรายงานว่า “คุณชายครับ หยุดแล้วครับ”
เผิงซีถอนใจออกมา “ให้ทางนั้นดำเนินการตามแผน ต้องทำให้หลัวคังอันออกมาดูการแสดงให้ได้ แล้วก็ต้องทำให้เสวี่ยหลานกับหลัวคังอันพบหน้ากันให้ได้”
“ครับ” ชิงจั๋วรับคำสั่ง
พานหลิงเยวี่ยที่ฟังอยู่ข้างๆ รู้ว่าถึงแม้นี่จะเป็นคำสั่งเพียงประโยคเดียว แต่การเตรียมการที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังคำสั่งประโยคนั้นไม่มีทางน้อยไปกว่าการเตรียมการของหอการค้าตระกูลพานเลย การจะเข้าไปทำอะไรในค่ายผู้พิทักษ์เทพที่มีการป้องกันแน่นหนา เผิงซีต้องลงทุนลงแรงไปมากเท่าไรก็พอจะนึกออก
แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ ตอนนี้คนที่สามารถพาเสวี่ยหลานเข้าไปในตัวเทพมหาวิญญาณได้นั้นมีแค่เพียงหลัวคังอันเท่านั้น
เทพมหาวิญญาณที่หอการค้าตระกูลฉินกำลังทำการทดสอบไม่เหมือนกับเทพมหาวิญญาณที่ทางค่ายผู้พิทักษ์เทพใช้ในการสู้รบ เทพมหาวิญญาณของทั้งสองฝ่ายไม่มีทางนำมาปนกัน ค่ายผู้พิทักษ์เทพเองก็ไม่มีทางปล่อยให้คนของหอการค้าตระกูลฉินมาแตะต้องเทพมหาวิญญาณของทางค่าย หอการค้าตระกูลฉินเพียงแค่หยิบยืมสถานที่ของทางค่ายผู้พิทักษ์เทพเท่านั้น พูดอีกอย่างก็คือผู้พิทักษ์เทพของหอการค้าตระกูลฉินไม่ได้อยู่ภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยแบบเดียวกับในค่ายผู้พิทักษ์เทพ
พื้นที่ส่วนหนึ่งภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพได้ถูกมอบให้ทางหอการค้าตระกูลฉินนำไปจัดการกันเอง หากไม่ได้รับการเห็นชอบทางเบื้องบน คนที่อยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพก็ไม่สสามารถเข้าไปในพื้นที่ทำการทดสอบของหอการค้าตระกูลฉินโดยพลการได้
การที่หอการค้าตระกูลฉินและค่ายผู้พิทักษ์เทพทำข้อตกลงแบบนี้ขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องมีการคิดถึงผลดีผลเสียของตนเอาไว้แล้ว
และหลัวคังอันก็คือคนที่มีสิทธิ์เข้าออกในพื้นที่ที่หอการค้าตระกูลฉินใช้งาน
เผิงซีเหลียวหน้ากลับมาถาม “มั่นใจนะว่าเสวี่ยหลานจะไม่มีปัญหา?”
พานหลิงเยวี่ยกล่าว “นายวางใจได้ เธอไม่มีทางเลือก”
เผิงซีกล่าว “ฉันหมายถึงปัญหาเรื่องการลงมือหลังจากที่เธอเข้าไปในตัวเทพมหาวิญญาณแล้วน่ะ”
พานหลิงเยวี่ยกล่าว “ก่อนหน้านี้ทางฉันได้เตรียมเทพมหาวิญญาณเอาไว้ให้เธอฝึกพิเศษแล้ว ขอเพียงนายสามารถเปิดทางให้เธอเข้าไปในตัวเทพมหาวิญญาณได้ อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา หอการค้าตระกูลพานของพวกฉันทำขนาดนี้เพื่อพาคนเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์แล้ว ส่วนที่เหลือก็ต้องดูหอการค้าตระกูลโจวของพวกนายแล้วล่ะ”
เผิงซีลุกขึ้นยืน เดินไปตรงริมรั้วแล้วทอดตามองออกไป “ตอนนี้ได้แต่ต้องฝากความหวังไว้ที่หลัวคังอันแล้ว”
พานหลิงเยวี่ยรีบลุกขึ้นมา เดินมาข้างกายเขา กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “นายหมายความว่ายังไง?”
เผิงซีกล่าว “ก็ต้องขึ้นอยู่กับหลัวคังอัน ถ้าหลัวคังอันไม่ยอมพาเสวี่ยหลานเข้าไปในเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉิน แผนของเราก็หมดหวัง”
พานหลิงเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว “เรื่องแบบนี้ ทำไมนายไม่เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน ทำได้เพียงฝากความหวังเอาไว้แบบนี้ เผิงซี นายเล่นตลกอยู่เหรอ?”
เผิงซีเหลียวหน้ากลับมา “ก็ไม่ใช่เพราะหอการค้าตระกูลพานของเธอก่อเรื่องหรอกเหรอ เดิมทีหอการค้าตระกูลฉินก็จับตาดูเขาทุกฝีก้าวอยู่แล้ว ลงมือไม่สะดวก แต่พวกเธอก็ยังจะสร้างเรื่องเงินรางวัลอะไรนั่นขึ้นมาอีก หลัวคังอันไปแจ้งความขอความคุ้มครอง ตอนนี้ข้างกายหลัวคังอันมีผู้พิทักษ์เมืองคอยให้การคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ จนทางฉันไม่มีโอกาสจะเข้าไปชักจูงเขาได้เลย”
พานหลิงเยวี่ยกล่าว “ความหมายคือจะให้ตระกูลพานของฉันไม่สนใจเรื่องที่น้องของฉันหายตัวไปอย่างนั้นเหรอ?”
เผิงซีกล่าว “เธอเคยพูดออกมาเองว่าน้องสาวเธอหายตัวไป ความจริงภายในใจพวกเธอต่างรู้ดี จนถึงตอนนี้ยังไม่เจอร่องรอยอะไรเลย น้องเธอตายไปแล้วล่ะ กลับมาไม่ได้แล้ว”
พานหลิงเยวี่ยกล่าวว่า “ต่อให้มีหวังแม้เพียงน้อย….”
“เอาล่ะ” เผิงซีหมุนตัวกลับมาพลางยกมือห้าม “ฉันไม่ได้จะมาทะเลาะกับเธอ ถึงแม้ด้านนอกจะไม่มีโอกาส แต่ภายในค่ายผู้พิทักษ์เทพฉันก็ได้เตรียมการไว้มากพอแล้ว พอจะชักนำเขาได้อยู่ จากข้อมูลของหลัวคังอันที่สืบมาได้ก่อนหน้านี้ เขาเป็นพวกบ้าผู้หญิง พวกเรายังมีโอกาสอยู่”
“ขอให้เป็นแบบนั้น ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็แจ้งฉันมาทันทีล่ะ” พานหลิงเยวี่ยกล่าวทิ้งท้ายแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เผิงซีเองก็หมุนตัวกลับมา หลังเห็นอีกฝ่ายเดินจากไปแล้ว เขาก็กล่าวพึมพำขึ้นมา “ฉันว่านะ เราไม่ควรร่วมมือกับหอการค้าตระกูลพานเลย”
ชิงจั๋วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยความรู้สึกสงสัย “เรื่องแบบนี้ สองตระกูลร่วมมือกัน ต่างฝ่ายต่างออกแรงช่วยกัน มันก็ดีออกไม่ใช่เหรอครับ?”
เผิงซีกล่าว “นี่มันเรื่องอะไร? หัวหลุดได้เลยนะ ถ้าความลับรั่วไหลออกไป ฉันเองก็ไม่กล้าคิดเหมือนกันว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หอการค้าตระกูลโจวจะต้องกลายเป็นผุยผงในพริบตาแน่”
ชิงจั๋วกล่าว “หอการค้าตระกูลพานน่าจะทราบเรื่องนี้นี่ครับ หรือพวกเขาจะกล้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป?”
เผิงซีเหลือบมอง “ถ้าวันไหนหอการค้าตระกูลพานกำลังจะล่มจม หรือหอการค้าตระกูลโจวจะไม่ช่วย?”
ชิงจั๋วเข้าใจขึ้นมาทันที หอการค้าตระกูลพานสามารถลากหอการค้าตระกูลโจวไปเป็นแพะรับบาปได้ทุกเมื่อ เพียงแต่เมื่อดูจากในตอนนี้แล้ว หอการค้าตระกูลพานก็ยังดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ท่านผู้นี้ถึงได้พูดถึงวันที่หอการค้าตระกูลพานจะจบเห่ขึ้นมา?
……
แผนการดำเนินไปได้ราบรื่นกว่าที่เผิงซีคิดเอาไว้ ทางเขายังไม่ทันได้ทำอะไร หลัวคังอันก็เป็นฝ่ายติดต่อฉินอี๋ไปเองแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้ก็ถูกหยุดการทดสอบเอาไว้ อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ออกไปดูการแสดงหน่อยดีกว่า
ฉินอี๋คิดๆ ดูก็พบว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งอยู่ในค่ายผู้พิทักษ์เทพ ขอเพียงทางค่ายผู้พิทักษ์เทพไม่ว่าอะไรก็ไม่มีปัญหา
หลัวคังอันรีบไปพูดกับทางคนของค่ายผู้พิทักษ์เทพ เรื่องถูกรายงานขึ้นไป มีคนเข้าไปดูการแสดงเพิ่มอีกแค่สองคนเท่านั้น ทางค่ายผู้พิทักษ์เทพจึงตกลงเช่นกัน
เดิมทีหลินยวนไม่ได้สนใจที่จะตามไปดูด้วย แต่เขารู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องขึ้น คิดอยากจะดูว่าคนพวกนั้นจะทำอะไรกันแน่ เขาจึงปล่อยให้หลัวคัวอังลากตัวเองไปด้วย
ในตอนที่ทางผู้พิทักษ์เทพส่งคนมารับพวกเขาและพาพวกเขาไปยังสถานที่จัดแสดง การแสดงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ระหว่างภูเขาสองลูกมีการตั้งเวทีกลางแจ้งเอาไว้ บนเวทีมีการแสดงงดงาม กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็ส่งเสียงตะโกนโห่ร้องเป็นระยะ บรรยากาศค่อนข้างคึกคักทีเดียว
จ่าเซียวคือผู้บังคับการคนปัจจุบันของค่ายผู้พิทักษ์เทพ เขาคอยจับตาดูสถานการณ์รอบๆ เวที ทันทีที่เห็นหลัวคังอันและหลินยวนถูกพาเข้ามา สายตาของก็เป็นประกาย หันหน้าไปสั่งการอะไรลูกน้องที่อยู่ข้างกายเล็กน้อย
ลูกน้องรีบเดินไปต้อนรับหลัวคังอันและหลินยวน พาทั้งสองคนไปในภูเขาที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งบนที่นั่งชั้นลอยที่อยู่บนหน้าผา
หลินยวนและหลัวคังอันที่ขึ้นไปถึงที่นั่งด้านบนสบตากัน พวกเขาพบว่าที่นี่ไม่มีที่ให้พวกเขานั่ง หากแต่ให้พวกเขายืนดูอยู่ตรงนี้
มีคนมากล่าวขอโทษ “ต้องขอโทษจริงๆ ครับ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำการจองที่นั่งของพวกคุณสองคนเอาไว้ ตอนนี้ก็เลยไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว”
หลัวคังอันรีบกล่าว “ไม่เป็นไรๆ มีให้ดูก็พอแล้ว”
คนผู้นั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “ถึงแม้จะไม่มีที่นั่ง แต่ที่ตรงนี้ก็ดีมากนะครับ สามารถมองเห็นเวทีข้างล่างได้ ทางเดินที่อยู่ด้านหลังก็เป็นทางที่พวกเทพธิดาเดินเข้าๆ ออกๆ หลังและก่อนแสดง ทุกคนต้องผ่านที่นี่ครับ พวกคุณสามารถดูพวกเธอได้ในระยะใกล้ๆ เลยครับ”
หลัวคังอันดีใจ อุทานชื่นชมไม่ขาดปากเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ จะมีที่นั่งหรือไม่เขาไม่ได้สนใจเลย
เทพธิดาเข้าๆ ออกๆ? ทันทีที่ได้ยินคนผู้นั้นกล่าวเช่นนี้ หลินยวนก็หรี่ตาลงทันที จ้องมองดูอีกฝ่าย จดจำใบหน้าของเขาเอาไว้
คนผู้นั้นกล่าวกำชับประโยคหนึ่ง บอกให้ทั้งสองคนอย่าเดินไปไหนโดยพลการ จากนั้นเดินออกไป
ด้านล่างมีแสงไฟส่องสว่าง ยืนชมการแสดงอยู่บนหน้าผาก็ไม่เลวเหมือนกัน
หลัวคังอันหันมองซ้ายมองขวา
หลินยวนเองก็ใจลอยเล็กน้อยเช่นกัน เขากวาดตามองดูรอบๆ เป็นระยะ
หลังเทพธิดาผลัดกันขึ้นไปแสดงบนเวที ในที่สุดเสวี่ยหลานคนนั้นก็ได้ขึ้นไปแสดงบนเวที เธอแต่งกายเป็นผู้ชาย เริงระบำอย่างงดงามอยู่บนเวที ปกปิดร่างกายที่เธอภาคภูมิใจที่สุดเอาไว้ ไม่รู้เป็นเพราะสถานที่ในการจัดแสดงหรือเปล่า
หลินยวนเหลือบมองหลัวคังอันที่อยู่ด้านข้าง พบว่าสายตาและสมาธิของคนผู้นี้จับจ้องอยู่ที่เวทีเบื้องล่างอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
การแสดงจบลง เสวี่ยหลานลงจากเวที เดินผ่านทางเดินด้านหลังเวทีเข้ามายังภูเขาที่อยู่ทางด้านนี้ หลัวคังอันกระวนกระวายขึ้นมาทันที เหลียวหน้าไปมองทางเดินที่อยู่ด้านหลังเป็นระยะ
“เป็นอะไร?” หลินยวนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่มีอะไร ยืนดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ ด้วย” หลัวคังอันหาข้ออ้าง เอามือไพล่หลังเดินไปเดินมา ประเดี๋ยวก็แวบออกไปดูตรงริมทางเดินเป็นระยะ
หลินยวนเหลียวหน้ามองไป ไม่พูดอะไร
เสวี่ยหลานที่กลับมาหลังแสดงเสร็จเดินมาพร้อมผู้ช่วย ที่นี่มีห้องสำหรับแต่งหน้าของนักแสดง แล้วก็เป็นสถานที่เตรียมตัวของนักแสดงด้วย
ทั้งสองคนที่เดินผ่านทางเข้าที่นั่งชั้นลอยพลันเห็นว่ามีคนยืนอยู่ จึงเหลียวหน้าไปมอง เผชิญหน้าเข้ากับหลัวคังอัน
เสวี่ยหลานตกตะลึงไปเล็กน้อย หัวใจเต้นเร็วขึ้นมา รู้ว่าเป้าหมายที่ตัวเองต้องลงมือในคืนนี้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
แต่เธอไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป ขั้นตอนบางอย่างจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามแผน เธอเดินจากไปพร้อมกับผู้ช่วยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลัวคังอันยืนมองอยู่ตรงปากทางเข้าที่นั่งชั้นลอย ภายในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจำตัวเองได้หรือเปล่า
หลินยวนเหลียวหน้ากลับไปมอง
เสวี่ยหลานที่กลับมาถึงห้องแต่งหน้านั่งอยู่ตรงหน้ากระจก มองดูตัวเองที่อยู่ในกระจกอย่างเหม่อลอย
ตอนแรกที่เห็นภาพเป้าหมาย เธอรู้สึกเพียงแต่ว่าดูคุ้นตา คล้ายเคยเจอที่ไหนมาก่อน เพราะว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายร้อยปีแล้ว แต่พอได้รู้ชื่อของเป้าหมาย เธอก็จำขึ้นมาได้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนนั้น
แม้จะผ่านมาหลายร้อยปีก็ยังพอจะจำได้อยู่ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังมีความรู้สึกผิดต่อหลัวคังอัน
ท่าทางที่น่าสงสารของคนคนนั้นที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมปั่นหัวจนโกรธเกรี้ยวแต่กลับทำอะไรไม่ได้ เธอยังคงจำมันได้ลางๆ
ตอนนั้นเธอเองก็ไม่อยากทำแบบนั้น แต่ตอนนั้นเธอต้องการปักหลักอยู่ในเมืองหลวง เงินที่คนพวกนั้นให้มาก็เป็นจำนวนที่มากพอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอเองก็ไม่กล้าปฏิเสธคนเหล่านั้นด้วย
เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตอนนี้จะมีคนมาให้เธอไปเล่นงานคนคนเดียวกับเมื่อในอดีตคนนั้นอีกแล้ว
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” ผู้ช่วยจัดเสื้อผ้าแล้วถือมาให้เธอ
เสวี่ยหลานที่ได้สติขึ้นมาส่ายหน้า
ผู้ช่วยกล่าว “การแสดงของเธอจบแล้ว”
เสวี่ยหลานกล่าว “ฉันอยากอยู่เงียบๆ หน่อย”
ผู้ช่วยจึงได้แต่ต้องปล่อยเธอ อย่างไรเสียก็ยังไม่ต้องรีบกลับ เพียงแต่มีบางเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจ เหตุใดถึงต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายออกไปแสดงด้วย
………………………………………………………….