ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 8 เงินเดือนหนึ่งหมื่น
ตอนที่ 8 เงินเดือนหนึ่งหมื่น
ใช้หนี้คืนหมดก่อนเวลา? หลินยวนไม่มีความคิดเช่นนี้ แล้วก็ไม่คิดที่จะตั้งใจทำงานให้ดี เขาเพียงแต่อยากจะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ เพราะว่าไม่กล้าทำตัวโดดเด่น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขยันทำงาน
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ เขาเองก็คิดได้แล้ว ตอนนี้เขากำลังอยากได้ตัวตนที่จะมาใช้ตั้งหลักอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยอย่างเป็นทางการพอดี เมื่อมีหอการค้าตระกูลฉินอยู่เบื้องหลัง บางทีอาจจะลดความยุ่งยากในเรื่องนี้ลงไปก็ได้
“เข้าใจแล้ว” หลินยวนกล่าวก่อนเดินออกไป
ฉินอี๋กล่าวหยุดเขาไว้อีกประโยคหนึ่ง “นายไม่อยากรู้หรือว่าฉันจะให้นายทำงานอะไร? เงินเดือนหนึ่งหมื่นมุกในเมืองปู๋เชวี่ยมันไม่ใช่น้อยๆ นะ”
หลินยวนที่เดินหายไปตรงหัวมุมเดินกลับออกมาอีกครั้ง เขาเดินมาตรงหน้าโต๊ะกินข้าว มองดูเธอ รอคำพูดต่อไปของเธอ
ความจริงแล้วเขาอยากจะตะโกนออกไปว่า ‘มีอะไรก็รีบๆ พูดออกมา!”
ฉินอี๋วางแก้วคริสตัลในมือลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ กล่าวว่า “ได้ยินว่าวิชาเอกที่นายเรียนตอนอยู่ที่หลิงซานคือเทพมหาวิญญาณ?”
หลินยวนนิ่งเงียบไป ภายในหัวครุ่นคิดว่าผู้หญิงคนนี้คิดอยากจะทำอะไรกันแน่ ไม่ได้เจอกันหลายปี ทำไมถึงรู้สึกว่าความคิดของผู้หญิงคนนี้คาดเดาไม่ได้เลย เทียบกับเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ยอมปล่อยให้เขาหลอกลวงเมื่อในอดีตคนนั้นแล้วเรียกได้ว่าเป็นคนละคน
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายเขาก็ตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจออกมาว่า “อืม”
ฉินอี๋กอดอก “บริษัทฉันเพิ่งจะจ้างคนมาคนหนึ่ง เขาก็เรียนจบมาจากหลิงซานเหมือนกัน แล้วก็เรียนวิชาเอกด้านเทพมหาวิญญาณเหมือนอย่างนายด้วย นับๆ ดูแล้วเป็นรุ่นพี่ที่หลิงซานของนาย เข้าเรียนที่หลิงซานเร็วกว่านายร้อยกว่าปี เพียงแต่เขาใช้เวลาเรียนอยู่ไม่กี่สิบปีก็เรียนจบแล้ว ไม่เหมือนนายที่เรียนไปสามร้อยกว่าปีก็ยังเรียนไม่จบ”
หลินยวนกล่าว “เธออยากจะพูดอะไรกันแน่?”
ฉินอี๋กล่าว “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป นายเป็นผู้ช่วยเขาก็แล้วกัน”
หลินยวนกล่าว “แค่นี้เหรอ? มีอะไรอีกไหม?”
ฉินอี๋กล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “นายอย่าทำเป็นเล่นนะ รุ่นพี่นายคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ในการบุกโจมตีเมืองหลวงของกลุ่มสนับสนุนราชวงศ์ก่อนครั้งนี้ รุ่นพี่นายคนนี้คือคนที่เคยสู้กับป้าหวังแห่งสิบสามมารสวรรค์ แล้วยังทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัสด้วย ฉันลงทุนลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะดึงตัวเขามาจากเมืองหลวงได้ ได้ติดตามคนที่มีประสบการณ์โชกโชนแบบนี้ คนอื่นชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีโอกาสแบบนี้ ฉันมอบโอกาสนี้ให้กับนาย ช่วยรู้ค่ามันหน่อย ติดตามเขาแล้วก็ตั้งใจเรียนรู้ให้ดี พยายามคืนเงินฉันให้หมดเร็วๆ ซะ”
แววตาหลินยวนเป็นประกายขึ้นมา “ทำให้ป้าหวัง…บาดเจ็บสาหัส? ใคร? อย่าบอกนะว่าเธอไปพาตัวเทพสงครามมาจริงๆ”
ฉินอี๋อดกรอกตาใส่เขาไม่ได้ “ตระกูลฉินของฉันไม่คู่ควรถือรองเท้าให้ท่านสองด้วยซ้ำ นายคิดว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ? หลัวคังอัน อดีตผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณแห่งเมืองหลวงต่างหากล่ะ พรุ่งนี้เจอเขาก็รู้เอง”
“หลัวคังอัน?” ดวงตาหลินยวนฉายแววสงสัย รู้สึกคุ้นหู ภายในหัวครุ่นคิดไปมา พบว่าเหมือนจะเคยเห็นชื่อนี้มาก่อนจริงๆ เขาเคยพลิกดูรายชื่อนักเรียนวิชาเอกผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณรุ่นต่างๆ พบว่ามีชื่อนี้อยู่จริงๆ แต่มันก็เพียงเท่านั้น เขาไม่มีความทรงจำอย่างอื่นเกี่ยวกับอีกฝ่าย ทหารตัวเล็กๆ ที่ไร้ชื่อสามารถทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัสได้อย่างนั้นหรือ?
ฉินอี๋กล่าว “ออกจากเมืองปู๋เชวี่ยไปนานหลายปี โรงอีหลิวยังอยู่สบายไหม? ตระกูลฉินมีที่พักให้กับพนักงาน สภาพน่าจะถือว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่มีทางแย่ไปกว่าโรงอีหลิว แต่ว่าต้องหักค่าใช้จ่ายจากเงินเดือน หนึ่งพันมุกรวมกินรวมอยู่ นายลองคิดดูได้”
หลินยวนได้สติกลับมา รีบปฏิเสธทันที “ไม่ต้อง โรงอีหลิวเหมาะกับฉันมากกว่า”
ฉินอี๋ไม่ฝืนบังคับ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “อาหารพวกนี้รสชาติไม่เลวนะ ไม่ลองชิมหน่อยเหรอ?”
หลินยวนกล่าวว่า “ไม่ล่ะ ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”
ฉินอี๋กล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เงินหนึ่งหมื่นมุกไม่ใช่ให้เอาไปเปล่าๆ นอกจากจะเป็นผู้ช่วยให้หลัวคังอันแล้ว หากที่นี่มีอะไรให้ช่วย ก็อาจจะต้องให้นายไปทำธุระเล็กๆ น้อยๆ ด้วย นายไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
ไม่มีทางเลือกอื่น หลินยวนเองก็คร้านที่จะพูดอะไรมาก จึงกล่าวถามว่า “ยังมีอะไรอีกไหม?”
ฉินอี๋แค่นหัวเราะ “นายไม่ต้องมาทำหน้าหงุดหงิดแบบนี้ใส่ฉันหรอก ไม่อยากกินก็ออกไปเถอะ ลงไปแล้วถามเวลาเข้างานพรุ่งนี้ด้วย อย่ามาสายล่ะ”
หลินยวนเหลียวหน้าเดินออกไป
คนจากไปแล้ว ฉินอี๋เทเหล้าให้ตัวเองเต็มแก้ว เงยหน้าดื่มอึกๆๆ ลงไปในท้องจนหมด
หลังจากนั้นคีบแก้วเหล้าเอาไว้ในมือ เดินไปตรงหน้าเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่กำลังบรรเลงเพลง มองดูแสงไฟในเมืองปู๋เชวี่ยที่อยู่ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด สีหน้าประเดี๋ยวสุขประเดี๋ยวเศร้า ไม่รู้กำลังคิดอะไร….
ในตอนที่เธอออกไปจากห้องทำงาน ฟ้าก็มืดมากแล้ว เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ร่างกายอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา
ภายในซอกมีคนก้าวออกมาอย่างรวดเร็วคนหนึ่ง เป็นไป๋หลิงหลง เธอไม่ได้กลับไปก่อน หากแต่คอยฉินอี๋อยู่ด้านนอก
ฉินอี๋เพียงมองก็เข้าใจ ไม่ได้กล่าวอะไรมาก พูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “ไป กลับกันเถอะ”
ไป๋หลิงหลงรีบกวักมือ ภายในมุมมืดมีผู้คุ้มกันจำนวนหกคนเดินออกมา ในนั้นมีชายชราฝาแฝดอยู่คู่หนึ่ง สะพายดาบเอาไว้ด้านหลัง
ผู้คุ้มกันหกคน มีคนเดินเปิดทางอยู่เบื้องหน้า มีคนอยู่ด้านหลัง มีคนประกบซ้ายขวา อารักขาทั้งสองคนเอาไว้ตรงกลาง คุ้มกันพวกเธอเดินออกไป….
หลินยวนที่ขี่เจ้าลาน้อยออกมา สำรวจดูทิวทัศน์รอบๆ
หลังกลับมาถึงเมืองปู๋เชวี่ย เวลาส่วนใหญ่เขาก็รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงอีหลิว ตอนกลางคืนไม่เคยออกไปข้างนอก คืนนี้ถือเป็นการออกมาข้างนอกครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขากลับมา
ป่าไม้ที่ตั้งเป็นหย่อมๆ ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ถึงแม้นต้นไม้ใหญ่แต่ละต้นจะไม่ได้สูงใหญ่เหมือนอย่างต้นไม้ในหอการค้าตระกูลฉิน แต่ภายในต้นไม้ที่ทำการดัดแปลงแล้วก็ยังเพียงพอที่จะให้คนอยู่อาศัยได้ บนต้นไม้ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีแสงไฟส่องสว่าง ประดับประดาอยู่ทั่วทั้งเมืองปู๋เชวี่ย
ในสถานที่หลายๆ แห่งของดินแดนเซียนก็ล้วนแต่เป็นแบบนี้ คล้ายใช้ชีวิตอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ คนที่มีฐานะดีหน่อยล้วนแต่ชอบดัดแปลงต้นไม้ใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย
แต่แน่นอน บางคนก็ชอบอยู่บ้าน เพราะมันสามารถออกแบบและสร้างตามรูปแบบที่ตนเองชอบได้
จางเลี่ยเฉินชอบสวนที่เปิดโล่ง
เจ้าลาน้อยกลับเข้ามาในสวนของโรงอีหลิว จางเลี่ยเฉินกำลังรอเขาอยู่ เมื่อเห็นเขากลับมาจึงรีบเดินเข้าไป ก่อนกล่าวถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ครั้งนี้ได้เจอไหม?”
เขารู้สึกสงสัยจริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ชายหญิงคู่นี้ได้พบกัน เรื่องราวในอดีตเขาเองก็ทราบดี
หลิวยวนที่ลงมาจากรถส่งเสียง ‘อืม’
จางเลี่ยเฉินถามต่อ “ว่ายังไงบ้าง? เธอยอมให้เวลาแกไหม?”
หลินยวนสูดหายใจ “ไม่ เธอไม่ยอม ผมเองก็ไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นเธอจะทำให้ผมกลายเป็นคนร้ายในดินแดนเซียน บางที ครั้งนี้ผมไม่น่ากลับมาเลย”
จางเลี่ยเฉินถอนใจพลางส่ายศีรษะ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ สรุปแล้วก็คือแกต้องไปทำงานใช้หนี้ให้เธอ เธอจะให้แกทำอะไร?”
หลินยวนกล่าว “รายละเอียดตอนนี้ยังไม่รู้”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “ได้บอกไหมว่าเงินเดือนเท่าไร?”
หลินยวนกล่าว “บอกว่าเดือนละหมื่นมุก”
“หมื่นมุก?” จางเลี่ยเฉินตื่นตัวขึ้นมาทันที สายตาเป็นประกาย กล่าวว่า “นั่นมันไม่น้อยนะนั่น ที่เมืองปู้เชวี่ยถือว่าค่อนข้างสูงเลยทีเดียว”
หลินยวนเองก็ไม่ได้ปิดบังเขา “จ่ายถึงมือจริงๆ แค่สองพัน อีกแปดพันหักใช้หนี้” ก่อนจะกล่าวเสริมอีกประโยคว่า “เธอบวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วย ต้องคืนให้เธอหนึ่งล้านห้าแสนมุก”
จางเลี่ยเฉินลูบคางพลางกล่าวพึมพำ “นังเด็กนี่ ไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียวจริงๆ ด้วย”
หลินยวนมองดูสวนด้านหน้า “พรุ่งนี้ต้องไปทำงานที่ตระกูลฉินแล้ว ลุงเฉิน ต่อไปผมอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ไม่รบกวนใช่ไหม?”
จางเลี่ยเฉินโบกมือ “ไม่รบกวน ไม่รบกวน แกให้ฉันเดือนละพันมุกก็พอ รวมกินอยู่”
หลินยวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ตระกูลฉินมีที่พักให้พนักงาน รวมกินอยู่ก็หนึ่งพันเหมือนกัน สภาพดีกว่าที่นี่ด้วย”
จางเลี่ยเฉินรีบชูนิ้วขึ้นมาทำเป็นสัญลักษณ์ “แปดร้อย! ลดกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันเสี่ยงช่วยแก้พิษให้แก ถ้าคิดเป็นเงินมันเท่าไรล่ะ? ฉันเคยเก็บเงินแกไหม?”
หลินยวนหมดคำพูด เขาคิดว่าการที่คนสองคนคบหากันนานหลายปีได้เป็นเพราะมีความผูกพันระหว่างกัน ดังนั้นสถานที่แรกที่เขานึกถึงหลังออกมาจากเมืองหลวงก็คือที่นี่ แต่ลุงคนนี้มักจะใช้เงินมาเป็นตัววัดความรู้สึกระหว่างพวกเขาทั้งสองคน นี่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยใจ
หลินยวนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “ก็เอาตามนี้แล้วกัน” จากนั้นหมุนตัวเดินไปห้องพักของตัวเอง
……
รถสามคันกลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลฉิน ฉินอี๋เพิ่งจะลงจากรถ ชายชราที่สวมชุดสีดำผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาต้อนรับ เขามีรูปร่างผอม ดวงตาทั้งสองข้างยังเปล่งประกาย เขาคือไป๋ซานเป้า พ่อบ้านของตระกูลฉิน
“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะครับคุณหนู” ไป๋ซานเป้ายิ้มพร้อมกล่าวทักทาย
ฉินอี๋ตอบกลับตามมารยาท “คุณตาไป๋ก็เหนื่อยหน่อยนะคะ”
ไป๋ซานเป้ากล่าว “นายท่านยังไม่เข้านอน กำลังรอคุณหนูอยู่ครับ”
“อื้อ” ฉินอี๋พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปอย่างไม่รีบร้อน
ไป๋หลิงหลงที่ลงจากรถมาส่งเสียงตะโกน “ตา”
ไป๋ซานเป้ารอจนกระทั่งฉินอี๋เดินออกไปไกลแล้วถึงจะถามขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าเจ้าขยะที่โรงอีหลิวนั่นกลับมาแล้วเหรอ แล้ววันนี้ยังไปเจอคุณหนูที่หอการค้าอีก คุยอะไรกัน?”
ไป๋หลิงหลงลอบถอนใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนั้นไม่มีทางรอดพ้นสายตาฉินเต้าเปียนไปได้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
เธอกล่าวเสียงกลุ้มใจ “ตา พวกเราตกลงกันแล้วไงว่าจะแยกเรื่องงานออกให้ชัดเจน ตากับหนูไม่เหมือนกัน คนแต่ละรุ่นก็มีเรื่องให้ทำไม่เหมือนกัน หนูไม่ใช่คนใช้ในคฤหาสน์ตระกูลฉิน หนูรับผิดชอบแต่เรื่องของท่านประธาน ถ้าหนูพูดออกไป แล้วต่อไปหนูจะมองหน้าท่านประธานอย่างไร แล้วจะให้ท่านประธานมองหนูอย่างไร?”
ไป๋ซานเป้ายิ้มเจื่อน “เอาล่ะ เหนื่อยแล้วก็รีบไปพักผ่อนเถอะ”
“หนูไปอาบน้ำก่อนล่ะ” ไป๋หลิงหลงกล่าวแล้วรีบวิ่งออกไป เรื่องบางเรื่องเธอไม่สะดวกที่จะพูดอะไรเยอะจริงๆ
ไป๋ซานเป้ามองส่งด้วยสายตา ก่อนจะเดินไปหาชายชราฝาแฝดที่เป็นผู้คุ้มกันว่า “วันนี้ปกติไหม?”
ชายชราฝาแฝดคู่นี้ คนหนึ่งชื่อจินเจ่า อีกคนหนึ่งชื่อจินหว่าน เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน คนชื่อเจ่าเป็นพี่ คนชื่อหว่านเป็นน้อง
ทั้งสองคนถือเป็นยอดฝีมือในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียร เป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเซียน
จินเจ่าตอบว่า “ไม่มีอะไรผิดปกติครับ…” ก่อนจะรายงานสถานการณ์ทั้งวันออกมา
คฤหาสน์ตระกูลฉินกินพื้นที่ภูเขาลูกหนึ่งภายในเมือง พื้นที่ภายในคฤหาสน์มีมากแค่ไหนก็คงพอจะรู้ได้ ทิวทัศน์งดงาม เผยให้เห็นถึงความหรูหราที่เรียบง่าย
ภายในห้องโถงหลักของเรือนด้านใน ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา หันหน้าหาฉากแสง มองดูข่าวที่ฉายอยู่บนฉากแสง เนื้อหาที่รายงานคือสถานการณ์ของเมืองหลวงที่ทำการบูรณะขึ้นมาใหม่หลังจากที่ถูกโจมตีจนเสียหายอย่างหนัก
ผู้ชายหน้าตาเหมือนชายวัยกลางคน ผมครึ่งขาวครึ่งดำ สวมเสื้อคลุมที่ดูสบายๆ ท่าทีสุขุมเยือกเย็น รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่กำยำ เขาคือประธานสมาคมคนก่อนของตระกูลฉิน ฉินเต้าเปียน
ส่วนผู้หญิงคนนั้นสวมกระโปรงยาวรัดรูป รูปร่างดูอวบอิ่มและเย้ายวน ผมเกล้าเอาไว้ด้านบนอย่างเรียบร้อย ใบหน้าดูงดงาม เธอคือหลิ่วจวินจวิน
เธอเป็นอดีตผู้ช่วยของฉินเต้าเปียน แล้วก็เพราะเธอเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เธอจึงกลายเป็นผู้คุ้มกันข้างกายของฉินเต้าเปียนด้วย หลังจากที่ฉินเต้าเปียนต้องเสียภรรยาไปเพราะคู่แข่งทางธุรกิจใช้วิถีสกปรกเล่นงานเขา หลิ่วจวินจวินจึงกลายเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดฉินเต้าเปียนมากที่สุด แล้วก็เป็นมือขวาของฉินเต้าเปียนด้วย เมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้าจึงเกิดความรักระหว่างกันขึ้นมา ภายหลังก็เลยกลายเป็นผู้หญิงของฉินเต้าเปียนไปโดยปริยาย
ทั้งสองคนอยู่ในความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา คนอื่นที่อยู่ภายนอกเองก็ทราบถึงความสัมพันธ์นี้ เพียงแต่เป็นเพราะกฎหมายของดินแดนเซียนที่ผูกมัดเอาไว้ ฉินเต้าเปียนจึงไม่สามารถแต่งเธอมาเป็นภรรยาได้ เธอเองก็ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรแก่ฉินเต้าเปียนได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการต่อต้านกฎหมายของดินแดนเซียน และพวกเขาก็จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
กฎหมายที่ดูเหมือนโหดร้ายไร้มนุษยธรรม แต่สำหรับตระกูลฉินแล้ว มันกลับช่วยทำให้ภายในตระกูลฉินสงบสุขได้ในระดับหนึ่ง
อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าทรัพย์สินของตระกูลฉินจะตกไปอยู่ในมือของหลิ่วจวินจวินได้ง่ายๆ แล้วก็มีแต่ต้องให้สองพ่อลูกตระกูลฉินปลอดภัยเท่านั้น อำนาจและเงินทองตรงนี้ถึงจะเป็นของหลิ่วจวินจวิน
หลิ่วจวินจวินที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเหลียวหน้ากลับไปมอง จากนั้นยืนขึ้นมา ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ลูกอี๋กลับมาแล้ว”
ฉินอี๋ที่เดินเข้ามาดูสนิทสนมกับเธออย่างมาก คล้องแขนเธอเอาไว้ ท่าทางดูออดอ้อนเล็กน้อย “น้าหลิ่วขา”
แม่ของเธอจากเธอไปตั้งแต่เธอยังเล็ก หลิ่วจวินจวินแทบจะเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนใหญ่ฉินอี๋ก็จะมองหลิ่วจวินจวินเป็นแม่เช่นเดียวกัน
และเนื่องเพราะฉินเต้าเปียนจึงทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ หลิ่วจวินจวินจึงแทบจะมองฉินอี๋เป็นลูกสาวเช่นเดียวกัน เธอเอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของฉินอี๋ กล่าวอย่างไม่พอใจเล็กน้อยว่า “เหม็นเหล้าหึ่งเลย”
………………………………………………………..