ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 61 ดำเนินต่อไปได้
ตอนที่ 61 ดำเนินต่อไปได้
ณ หออวิ้นเสีย เผิงซีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะพลิกดูข้อมูลปึกหนึ่ง นั่นคือข้อมูลเกี่ยวกับคดีของทางผู้พิทักษ์เมือง ล้วนแต่เป็นสำเนา ส่วนต้นฉบับไม่กล้าเอามา ถ้าทำฉบับจริงหายอาจจะทำให้สายที่ทางนี้แอบส่งไปอยู่ที่นั่นถูกเปิดเผยได้ง่าย ถ้าเกิดผู้พิทักษ์เมืองสืบย้อนกลับมาจะกลายเป็นปัญหายุ่งยากได้
หลังเปิดอ่านดูอย่างรวดเร็วอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าข้อมูลที่อยากจะอ่านเป็นอันดับแรกนั้นไม่มี จึงเหลียวหน้ากลับไปถามทันที “บันทึกการสอบปากคำของพวกฉินเต้าเปียนกับฉินอี๋อยู่ที่ไหน? แล้วก็ยังมีบันทึกคำให้การของหลินยวนคนนั้นอีก เขาก็ถูกจับไปในคืนเดียวกันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่มีคำให้การของเขา?”
ชิงจั๋วกล่าว “ทางตระกูลบอกว่ามีคำให้การส่วนหนึ่งที่ถูกเหิงเทาเอาไปเก็บไว้เองครับ ดูแล้วน่าจะเป็นส่วนที่คุณชายบอกว่าขาดหายไป”
เผิงซีชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “เหิงเทาเก็บคำให้การส่วนหนึ่งเอาไว้เอง ดูแล้วน่าจะเกี่ยวข้องกับความลับอะไรบางอย่าง คำให้การของพวกตระกูลฉินถูกเหิงเทาเก็บเอาไว้ยังไม่มีอะไรน่าแปลก แต่กระทั่งคำให้การของหลินยวนก็ถูกเก็บเอาไว้ด้วยมันหมายความว่าอะไร? คำให้การของหลัวคังอันยังอยู่ที่นี่ แต่คำให้การของหลินยวนที่เป็นผู้ช่วยของหลัวคังอันกลับถูกดึงออกไป ดูเหมือนหลินยวนคนนี้จะรู้เรื่องความลับที่ว่านั้นด้วยสินะ มันคือเรื่องอะไรกัน?”
เขาเดาไม่ผิด หลินยวนมีความเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างจริงๆ เรื่องความสัมพันธ์ของฉินอี๋กับหลินยวนไม่อาจให้คนอื่นรู้เรื่องได้ อีกทั้งฉินอี๋กับฉินเต้าเปียนต่างก็เคยขอร้องเอาไว้ ดังนั้นเหิงเทาจึงเอาคำให้การของพวกเขาเหล่านั้นออกไป เพื่อที่เรื่องนี้จะได้ไม่เล็ดลอดออกไป
ขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาก็สั่งการไปอีกประโยคว่า “เร่งทางตระกูลไปอีกหน่อย บอกให้รีบสืบเรื่องของหลินยวนตอนอยู่ที่หลิงซานมา”
“ครับ” ชิงจั๋วรับคำสั่ง เดินไปอีกด้านหนึ่งแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรติดต่ออีกครั้ง
ส่วนเผิงซีก็นั่งพลิกอ่านข้อมูลเกี่ยวกับคดีอยู่ที่โต๊ะต่อ สีหน้ามีสมาธิอย่างมาก
หลังดูไปได้ครู่ใหญ่ เผิงซีก็ค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมา กวาดตามองดูสถานที่เกิดเหตุภายในห้องที่ยังไม่ได้ทำการขยับเขยื้อนอะไร เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมาอีกว่า “แผนที่ หาแผนที่ภายในเมืองปู๋เชวี่ยมาหน่อย”
ชิงจั๋วรีบควานหาภายในแหวนสารพัดนึกทันที หยิบเอาแผนที่เมืองปู๋เชวี่ยที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเดินทางมาที่เมืองปู๋เชวี่ยออกมา
จากนั้นกางลงบนโต๊ะ เผิงซีมองดูแผนที่ กำลังค่อยๆ หาอะไรบางอย่าง
ในเวลานี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงคนรายงานว่า “คุณชายครับ คุณหนูสามจากตระกูลพานมาครับ”
เผิงซีร้องอ้อ “เชิญเข้ามา” แล้วก็วางงานที่อยู่ในมือลง
ไม่นานก็มีเสียงเดินขึ้นบันไดมา พานหลิงอวิ๋นที่ยังคงแต่งตัวเหมือนผู้ชายเดินขึ้นมา ท่าทางดูทะมัดทะแมงน่าเกรงขาม ด้านหลังคือโกวซิงที่เป็นผู้ติดตามคนสนิท
ทันทีที่ขึ้นมา สายตาของพานหลิงอวิ๋นก็กวาดมองดูภายในห้องอย่างอดไม่ได้ พบว่ารอยคราบเลือดบนพื้นยังคงอยู่ สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่ที่ตัวเผิงซี “นี่มันห้องที่เจ้าหยวนเฉินเคยอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
เธอเคยมาที่นี่ เคยมาพบเจ้าหยวนเฉินที่นี่สองครั้ง ตอนที่อยู่เมืองหลวงหลังทราบข่าวเจ้าหยวนเฉินถูกฆ่าตาย เธอก็ยังรู้สึกยากจะเชื่อได้ เธอเพิ่งจะเดินทางออกไป เจ้าหยวนเฉินก็ถูกฆ่าอย่างนั้นเหรอ?
เผิงซีพยักหน้า ยกมือชี้ขึ้นไปยังตำแหน่งที่อยู่บนคาน “ถูกแขวนคอตายอยู่ตรงนั้น”
พานหลิงอวิ๋นเหลือบมองขึ้นไป ก่อนจะมองดูเตียงที่ยังไม่ถูกเลื่อนกลับไปยังตำแหน่งเดิม พบว่าเครื่องนอนที่อยู่บนเตียงดูเหมือนจะถูกคนใช้งานไป จึงอดกล่าวถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ได้ยินว่าเมื่อคืนนายนอนที่นี่?”
เผิงซีพยักหน้า “อยากจะสัมผัสสภาพก่อนที่พี่หยวนเฉินจะตายอย่างใกล้ชิดหน่อยน่ะ”
อยู่ในห้องที่มีคนตายอย่างนั้นเหรอ พานหลิงอวิ๋นมีความรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา อยากจะถามเผิงซีว่านายเป็นโรคจิตหรือเปล่า
เธอไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเคยพบเผิงซีเป็นครั้งแรก หากแต่เคยพบมาแล้วหลายครั้ง ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร รู้เพียงแต่ว่าพ่อของเธอเคยเตือนพวกเธอสามพี่น้องอยู่หลายครั้ง บอกว่าเผิงซีคล้ายกับผู้เป็นพ่อของเขาที่เสียชีวิตไปเพื่อช่วยให้หอการค้าตระกูลโจวขยายอิทธิพลจนมาถึงทุกวันนี้ได้ เรียกได้ว่าเหนือกว่าผู้เป็นพ่อเสียอีก อีกทั้งเผิงซีคนนั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรด้วย บอกให้พวกเธอสามพี่น้องระวังเอาไว้ หากมีโอกาสที่เหมาะสมก็ให้กำจัดเขาทิ้งซะ
เธอมองออกว่าพ่อคล้ายจะหวาดระแวงในตัวเผิงซีคนนี้อย่างมาก
ก่อนหน้านี้เธอไม่เห็นด้วย คิดว่าพ่อของเธอประเมินอีกฝ่ายสูงเกินไป เธอไม่คิดว่าตัวเองจะด้อยไปกว่าเผิงซีอะไรนั่น แต่วันนี้เมื่อได้เห็นคนที่นอนอยู่ในห้องที่มีคนตายแล้วยังยิ้มออกมาได้อย่างใจเย็นผู้นี้ เธอก็คล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา ภายในใจเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
เผิงซียิ้มพลางกล่าว “ได้ยินว่าถูกผู้พิทักษ์เมืองพาไปสอบปากคำไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงถูกปล่อยตัวออกมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
พานหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ยังต้องสอบปากคำอีกหลายครั้ง ตอนนี้ฉันยังออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยไม่ได้ ถ้าผู้พิทักษ์เมืองเรียกไปสอบสวนก็ต้องไป จุดประสงค์ที่นายมาที่นี่ฉันรู้แล้ว สืบมาได้หรือยังว่าอู่เวยได้หลุดปากเรื่องความลับออกไปหรือเปล่า?”
เผิงซีหมุนตัว หยิบเอาเอกสารที่อยู่บนโต๊ะออกมาฉบับหนึ่งแล้วส่งให้เธออ่าน
พานหลิงอวิ๋นรับเอาเอกสารมาดู พบว่าเป็นคำให้การของหลัวคังอัน จึงรีบเดินไปดูเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ ยื่นมือไปหมายจะหยิบขึ้นมา แต่ใครจะไปรู้ว่าเผิงซีจะยื่นมือมากดเอาไว้ทันที ไม่ให้เธอเอาไป!
ทั้งสองคนสบตากัน โกวซิงทำท่าเหมือนจะขยับตัวขึ้นมาทันที ชิงจั๋วขยับเท้าเล็กน้อยด้วยความระแวดระวัง
ชายชุดเทาที่ผมยาวปรกบ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สายตาโกวซิงเหลือบมองไปอย่างรวดเร็ว สัมผัสได้ถึงไอพลังที่ไม่ธรรมดาบางอย่างจากตัวอีกฝ่าย ไอพลังนั้นคล้ายเข็มที่ทิ่มแทงร่างกาย ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
พานหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “นายหมายความว่าอะไร? หรือว่าไม่เห็นด้วยกับการร่วมมือกันของพวกเราสองตระกูล?”
เผิงซีดึงเอาเอกสารที่อยู่บนโต๊ะกลับมาไว้ในมือ จากนั้นไพล่ไว้ด้านหลังแล้วกล่าวว่า “ของที่ไม่เกี่ยวกับความร่วมมือไม่สะดวกให้ดู ขออภัยด้วย” นิ้วมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปที่เอกสารที่อยู่ในมืออีกฝ่ายเพื่อบอกว่านั่นเกี่ยวข้องกับความร่วมมือ
เขาไม่มีทางให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองมีข้อมูลอยู่มากน้อยเท่าไร เพราะแบบนั้นจะทำให้สายของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในผู้พิทักษ์เมืองไม่ปลอดภัย
อีกอย่าง เขาไม่ใช่เจ้าหยวนเฉินที่จะไปตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตกเป็นเบี้ยล่างพานหลิงอวิ๋นอย่างงุนงง ความได้เปรียบบางอย่างกุมเอาไว้ในมือของตัวเองจะดีกว่า
เขาเหลียวหน้ากลับไปกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่เป็นไร”
ชิงจั๋วและชายชุดเทาผู้นั้นถึงจะค่อยๆ คลายความระแวดระวังลง
โกวซิงเองก็ลอบโล่งใจ ก่อนจะเหลือบมองดูชายชุดเทาที่อยู่ตรงมุมห้องอีกหลายครั้ง
พานหลิงอวิ๋นจ้องมองเผิงซีอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานว่าของที่อยู่ในมือไม่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือ เธอเองก็ไม่สะดวกที่จะแย่งชิงมา จึงทำได้เพียงก้มหน้าอ่านคำให้การของหลัวคังอันต่อไป
หลังอ่านจบก็โล่งใจ “โชคดี ดูเหมือนหลัวคังอันจะไม่ได้พูดเรื่องเสวี่ยหลานออกไป ตอนนี้อู่เวยคนนั้นก็สูญเสียความทรงจำไปแล้ว เรื่องราวถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่”
เผิงซีดึงเอาคำให้การกลับมาจากมือของอีกฝ่าย “นี่ยังบอกอะไรไม่ได้ ไม่มีใครกล้ารับรองได้ว่าฆาตกรจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่อู่เวยจะสูญเสียความทรงจำไป”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “จากรูปแบบการลงมือของฆาตกร เขาไม่น่าจะปล่อยให้ใครรอดชีวิตไปได้ เป็นไปได้ว่าอู่เวยจะถูกเฉาลู่ผิงทำให้สูญเสียความทรงจำไป ก็เลยไม่ได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น ด้วยเหตุนี้จึงรอดชีวิตมาจากมือของฆาตกรมาได้”
เผิงซีกล่าวว่า “เฉาลู่ผิงไม่ใช่คนที่จะไว้ใจอะไรง่ายๆ แล้วเขาจะไปทำเรื่องยุ่งยากวุ่นวายอย่างทำให้สูญเสียความทรงอะไรแบบนั้นได้ยังไง? อู่เวยกับเวินเหลียงคนนั้นต่างสูญเสียความทรงจำไปทั้งคู่ นี่ยิ่งดูผิดปกติ”
พานหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “นายจะบอกว่าฆาตกรรู้เรื่องของเสวี่ยหลานแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
เผิงซีกล่าวว่า”ฉันไม่กล้ารับรอง เรื่องแบบนี้เราต้องมองในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน จะมามัวนั่งคิดเข้าข้างตัวเองได้เหรอ?”
พานหลิงอวิ๋นกล่าวเสียงขรึมว่า “พูดอีกอย่างก็คือถ้าหาตัวฆาตรกรไม่พบ พวกเราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องของเสวี่ยหลานได้เล็ดลอดออกไปแล้วหรือยัง แผนการก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ใช่หรือเปล่า?”
เผิงซีกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ฉันก็คิดแบบนี้ อย่างน้อยก่อนที่จะมายังเมืองปู๋เชวี่ย ก่อนที่รู้เรื่องราวบางอย่าง ฉันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”
พานหลิงอวิ๋นฟังออกว่าในคำพูดนี้แฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่าง เธอย่อมต้องไล่ถามต่อ “หมายความว่ายังไง?”
เผิงซีจ้องมองเธอ กล่าวหยอกล้อว่า “เหตุผลง่ายๆ แบบนี้ เธอยังต้องถามฉันอีกเหรอ?”
“….” พานหลิงอวิ๋นถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออกไปทันที อีกฝ่ายบอกว่าเป็นเหตุผลง่ายๆ ถ้าตัวเองยังถามต่อไป นั่นมิเท่ากับว่าตัวเองโง่หรอกหรือ แต่ถ้าไม่ถามให้ชัดเจน แล้วเธอจะไปตอบกับทางตระกูลได้อย่างไร? จะให้หอการค้าตระกูลพานหลับหูหลับตาเดินหน้าต่อไปทั้งๆ ที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?
เธอมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังปั่นหัวตนอยู่ จึงกัดฟันยอมรับไป “มีอะไรก็รีบพูดมา!”
เผิงซีกำลังปั่นหัวเธออยู่จริงๆ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเจ้าหยวนเฉินจะเป็นอย่างไร แต่วิธีที่ผู้หญิงคนนี้ใช้กับเจ้าหยวนเฉินนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มองเจ้าหยวนเฉินอยู่ในสายตา คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง ดูแคลนหอการค้าตระกูลโจว ในเมื่อเขามาแล้ว มีหรือที่เขาจะไม่สั่งสอนเธอเสียหน่อย?
แต่แน่นอน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานกำลังร่วมมือกันอยู่ หากอยากจะให้หอการค้าตระกูลพานให้ความร่วมมือ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปิดบังสาเหตุกับทางหอการค้าตระกูพาน ต่อให้ไม่บอกพานหลิงอวิ๋น เขาก็ต้องไปบอกทางพานชิ่ง สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็ต้องรู้อยู่ดี
เขาตั้งใจทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าหยวนเฉิน ไม่ใช่คนที่จะมารังแกกันง่ายๆ เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว จึงถามกลับไปว่า “เธอคิดว่าฆาตกรกำลังช่วยหอการค้าตระกูลฉินอยู่หรือเปล่า?”
พานหลิงอวิ๋นส่ายศีรษะ กล่าวอย่างลังเลว่า “ไม่เหมือน ดูแล้วน่าจะไม่…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เธอพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้าพลางกล่าวว่า “ความหมายของนายคือ?”
เผิงซีพยักหน้า “ในเมื่อไม่ได้ช่วยตระกูลฉิน อย่างนั้นเรื่องที่ฆาตรกรจะรู้เรื่องเสวี่ยหลานหรือไม่ยังสำคัญอยู่อีกเหรอ? แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด ทางตระกูลพานของเธอต้องคอยระวังเอาไว้ ตอนที่ดำเนินแผนการอยู่ในเมืองหลวง อย่าให้อีกฝ่ายรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลพาน ทำลายร่องรอยทุกอย่างให้เกลี้ยง เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้มีข้อมูลเล็ดลอดออกไป ตระกูลฉินก็ไม่มีหลักฐานอะไรมาเล่นงานตระกูลพานอยู่ดี ดังนั้น แผนการยังดำเนินต่อไปได้”
ความพยายามของตัวเองไม่สูญเปล่า พานหลิงอวิ๋นตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “ใช่แล้ว ถูกอย่างที่นายว่าจริงๆ”
เผิงซีกล่าวว่า “เธอไปเมืองหลวง ไม่ได้สืบเรื่องของหลัวคังอันคนนั้นมาเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ พานหลิงอวิ๋นก็ถอนใจออกมาเบาๆ “เร่งแล้ว แต่ถึงจะหาตัวสมาชิกผู้พิทักษ์เทพในหน่วยเดียวกับเขาเจอ คำบอกเล่าที่ได้มาก็เหมือนๆ กันหมด บอกว่าหลัวคังอันถูกปลดเพราะละเลยหน้าที่ เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงหรือเปล่า ไม่แน่อาจจะเป็นเพราะไปล่วงเกินท่านสอง ถึงได้ถูกเตะออกมาจากผู้พิทักษ์เทพจริงๆ อย่างที่เขาพูดก็ได้ ถึงได้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเพื่อที่จะรักษาหน้าให้แก่ท่านสอง”
เป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ? เผิงซีเหลียวหน้ากลับไปมองดูรอยเลือดที่อยู่บนพื้น คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ยอดฝีมือที่สามารถทำให้ป้าหวังบาดเจ็บได้คนหนึ่งกลับถูกหน่วยงานในสภาเซียนเชี่ยทิ้งออกมาง่ายๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ?
“คารวะท่านหัวหน้าเหิงครับ” จู่ๆ ด้านล่างพลันมีเสียงกล่าวคารวะดังขึ้นมา เป็นเสียงของลูกน้องเผิงซี เห็นได้ชัดว่ากำลังเตือนคนที่อยู่ด้านบน
เหิงเทา? เผิงซีและพานหลิงอวิ๋นสบตากัน เผิงซีตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบตวัดมือเก็บข้อมูลเหล่านั้นเข้าไปในแหวนสารพัดนึกอย่างรวดเร็ว
เหิงเทามาเยือนจริงๆ เขาพุ่งตรงเข้ามาที่นี่ ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เพียงพริบตาก็ขึ้นไปด้านบน ด้านหลังมีผู้ติดตามตามมาสองคน
เหิงเทาที่ขึ้นมาด้านบนกวาดตามองทุกคน แล้วก็สังเกตเห็นว่าร่องรอยที่อยู่ในที่เกิดเหตุยังคงอยู่
เมื่อเห็นเหิงเทา ภายในดวงตาพานหลิงอวิ๋นพลันมีความโกรธแค้นปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่มีวันลืมเรื่องที่เธอถูกตบหน้าซ้ำๆ ในวันนั้นไปได้
แต่เธอยังคงประสานมือโค้งตัวตามเผิงซีอย่างรวดเร็ว กล่าวอย่างเคารพนอบน้อมว่า “คารวะหัวหน้าเหิง”
เหิงเทาเดินมือไพล่หลังไปตรงหน้าทั้งสองคน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พวกเธอสองคนมาที่นี่ทำอะไร?”
เผิงซีเหลือบมองพานหลิงอวิ๋น กล่าวว่า “พี่หยวนเฉินเสียชีวิตที่นี่ ผมก็เลยมาสอบถามเรื่องราวกับทางคุณหนูพานครับ” เขาแก้ตัวให้ตัวเองและพานหลิงอวิ๋น
เหตุผลของอีกฝ่ายสมเหตุสมผล เหิงเทาจึงพูดอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังกล่าวเสียงขรึมว่า “ฉันขอเตือนพวกเธอเอาไว้นะ ห้ามก่อเรื่องอะไรในเมืองปู๋เชวี่ย ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษว่าฉันลงโทษรุนแรงล่ะ!”
ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะตักเตือนจริงๆ เขารู้ว่าหอการค้าตระกูลพานและหอการค้าตระกูลโจวไม่มีทางรามือเรื่องการประมูลอย่างแน่นอน หลังจากรู้ว่าทั้งสองคนมาเจอกันที่นี่ เขาจึงกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเดินทางมาเตือนอีกฝ่ายด้วยตัวเอง หากเกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะก็ ตัวเขาคงไม่มีหน้าไปอธิบายกับทางเจ้าเมืองได้”
…………………………………………………