ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 6 วางมาดเสียใหญ่โต
ตอนที่ 6 วางมาดเสียใหญ่โต
ภาพเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหิงเทาฉายมันซ้ำอีกครั้ง จากนั้นก็หยุดภาพเอาไว้ ชี้ไปยังเทพมหาวิญญาณที่ถีบป้าหวังองค์นั้นพลางกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองครับ คนที่ควบคุมเทพมหาวิญญาณองค์นี้ก็คือหลัวคังอัน ภาพเหตุการณ์ที่เขาประมือกับป้าหวังก็มีเพียงภาพนี้เท่านั้น ที่ฉินอี๋พูดถึงน่าจะเป็นภาพนี้นี่แหละครับ”
แม้จะเป็นภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ทว่ามันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลั่วเทียนเหอตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขามองข้ามมันไป ยามนี้เลยอุทานออกมาด้วยความตกใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “มีคนผู้นี้อยู่จริงๆ ด้วยขณะที่ท่านสองผู้เป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งสภาเซียนกับป้าหวังที่เป็นหนึ่งในสิบสามมารสวรรค์กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลัวคังอันผู้นี้กลับกล้าที่จะพุ่งเข้าไป อาศัยเพียงความกล้าหาญในส่วนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเขาร้ายกาจแค่ไหน ดูท่าฉินอี๋จะโชคดีจริงๆ ด้วย”
ทว่าเหิงเทากลับมีสีหน้าร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกอยู่หลายส่วน เอ่ยถามว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านไม่เห็นอะไรแปลกๆ ในภาพนี้หรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอสังเกตเห็นท่าทีของเขา “มีปัญหาอะไรเหรอ?”
เหิงเทาฉายภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำอีกครั้ง ชี้พลางกล่าวเตือนสติว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านลองดูนะครับ หากหลัวคังอันผู้นี้เป็นฝ่ายรุกเข้าโจมตี หากเขาเข้าไปเผชิญหน้ากับป้าหวัง แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้อาวุธที่อยู่ในมือ แต่กลับพุ่งเข้าไปใช้เท้าถีบแทนล่ะครับ?”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ ลั่วเทียนเหอก็อดลูบเคราพลางครุ่นคิดไม่ได้ “แปลกๆ จริงด้วย”
เหิงเทากล่าวว่า “ข่าวที่ส่งมาจากเมืองหลวงก็ได้อธิบายทุกอย่างแล้วครับ อันที่จริงหลัวคังอันผู้นี้มิได้เป็นฝ่ายรุกเข้าโจมตีเลย ตอนที่เกิดการต่อสู้กัน เขากลับเอาแต่กลัวหัวหดหลบอยู่ด้านหลัง ทำให้ผู้บังคับบัญชาโมโห จนถูกผู้บังคับบัญชาโยนตัวออกไป ตอนนั้นเขาตั้งตัวไม่ทัน ด้วยความรู้สึกตกใจทำอะไรไม่ถูกถึงได้ถีบใส่ป้าหวังไปครับ”
“หลังจบเรื่อง คิดไม่ถึงว่าชายผู้นี้จะไร้ยางอาย เอาดีเข้าตัว คุยโวว่าตนเองทำให้ป้าหวังบาดเจ็บสาหัส บอกว่าตัวเองเป็นคนช่วยท่านสองออกมาจากวงล้อมศัตรูในช่วงเวลาคับขัน ทำราวกับว่าหากไม่มีเขา ท่านสองก็ไม่อาจคว้าชัยชนะได้ ทันทีที่คำพูดนี้แพร่ออกไป มันก็ทำให้เกียรติของท่านสองเสื่อมเสีย แม้นท่านสองจะไม่ได้ว่าอะไร แต่มีหรือที่คนรอบกายท่านสองจะยอมให้เขาพูดจาเหลวไหลแบบนี้ต่อไปได้?”
“หลังสั่งสอนเขาไปยกหนึ่ง เขาก็ถูกบีบให้ต้องออกจากกองทัพผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณแห่งเมืองหลวง เมื่อภายในมีเรื่องอัปยศเกิดขึ้น ทางผู้พิทักษ์เทพมหาวิญญาณแห่งเมืองหลวงเองก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ด้วยเกรงว่าจะทำลายเกียรติของสภาเซียน จึงทำให้ฉินอี๋ถูกหลัวคังอันผู้นี้หลอกลวง อีกทั้งยังว่าจ้างด้วยเงินเดือนสูงลิ่วด้วย”
“คำวิจารณ์ที่ทางผู้พิทักษ์เทพแห่งเมืองหลวงมีต่อหลัวคังอันคือเขาชอบหลบไปตะโกนสร้างขวัญและกำลังใจอยู่ด้านหลัง ทว่าความจริงแล้วขี้ขลาดตาขาว สนใจแต่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทั้งยังลามกเจ้าชู้ครับ!”
ลั่วเทียนเหอดูท่าทางเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง ค่อยๆ เอามือไพล่หลัง นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก เหิงเทาจึงลองเอ่ยถามดูว่า “ท่านเจ้าเมือง ฉินอี๋ถูกหลอกแบบนี้ ถ้ายังจะให้เจ้าหลัวคังอันผู้นี้เข้าร่วมการประมูล เกรงว่ากิจการของตระกูลฉินคงจะต้องถูกคนปอดแหกแบบนี้ทำลายป่นปี้ในคราวเดียวแน่ เราบอกความจริงกับทางฉินอี๋ดีไหมครับ เตือนเธอสักหน่อย ฉินอี๋จะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ?”
“เตรียมอะไรล่ะ?” ลั่วเทียนเหอหันหน้าไปถามกลับ
เหิงเทาชะงักไปเล็กน้อย “ก็ให้ฉินอี๋เปลี่ยนคนไงครับ เปลี่ยนคนตอนนี้ยังทันนะครับ”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ไม่ต้องเตือนหรอก ในเมื่อดื้อรั้นไม่ยอมฟังคำเตือน เช่นนั้นก็ปล่อยเธอไปเถอะ”
เหิงเทาแปลกใจ “ท่านเจ้าเมือง ท่านกับตระกูลฉินคบหาสมาคมกันมาหลายปี หรือว่าจะนั่งดูตระกูลฉินพังพินาศไปโดยไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอกล่าวว่า “ก็เพราะคบหากันมานานหลายปีนั่นแหละ ถึงไม่จำเป็นต้องไปเตือน”
เหิงเทาสงสัย ประสานมือขึ้นมาพลางเอ่ย “ผู้น้อยไม่เข้าใจ หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะช่วยชี้แนะด้วย”
ลั่วเทียนเหอกล่าว “ตระกูลฉินเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างไปกับการประมูลครั้งนี้ ฉินอี๋ก็บอกเองนี่ว่าลงทุนไปแล้ว ลูกธนูที่ยิงออกไปแล้วไม่อาจย้อนคืนได้ พวกเขาถอยไม่ได้แล้ว นายคิดว่าตระกูลฉินมีหวังที่จะคว้าชัยชนะไหมล่ะ”
เหิงเทากล่าวอย่างลังเล “หลายปีนี้ที่ฉินอี๋ดูแลตระกูลฉินมา เธอค่อนข้างมีความสามารถ นับว่าเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่งเลยทีเดียว อีกทั้งเบื้องหลังก็ยังมีฉินเต้าเปียนที่มีประสบการณ์คอยช่วยดูอยู่ เมื่อมองดูตระกูลฉินจากหลายๆ มุมแล้ว พวกเขาน่าจะมีความมั่นใจอยู่เป็นแน่ ดูแล้วคงจะมีสิ่งที่ทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถคว้าเอาสิ่งที่ต้องการมาได้ ผู้น้อยเชื่อว่าตระกูลฉินมีโอกาสที่จะชนะสูง ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากมาลงทุนแบบนี้หรอกครับ”
ลั่วเทียนเหอส่ายหน้าเล็กน้อย “ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าตระกูลฉินไม่มีโอกาสที่จะชนะ อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่เสียเงินที่ลงทุนไป แต่ยังรักษาตัวให้ปลอดภัยได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มอำนาจอื่นในดินแดนเซียนแล้ว ตระกูลฉินยังเล็กและอ่อนแอเกินไป ผลประโยชน์จากเทพมหาวิญญาณนั้นมีมากมายมหาศาล และก็เพราะตระกูลฉินมีโอกาสที่จะชนะนี่ล่ะ มันถึงได้ยุ่งยาก”
เหิงเทาตกตะลึง “ท่านกำลังกังวลว่าจะมีคนลงมือทำร้ายคนของตระกูลฉินโดยไม่เลือกวิธีเพื่อเอาชนะการประมูลครั้งนี้หรือครับ”
ลั่วเทียนเหอเหล่มอง “หรือนายคิดว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้?”
เหิงเทานิ่งเงียบไป เมื่อเผชิญหน้ากับผลประโยชน์มากมายมหาศาล มันก็ยากจะรับประกันได้ว่าคนบางคนจะไม่ทำเรื่องอะไรที่เกินกว่าเหตุ ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ยังมีสูงด้วย
เมื่อเข้าใจถึงปัญหาในเรื่องนี้แล้ว เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า “ท่านอยากให้ตระกูลฉินแพ้หรือครับ?”
ลั่วเทียนเหอส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าฉันอยากให้ตระกูลฉินแพ้ แต่ตัวตระกูลฉินน่ะอ่อนแอเกินไป พวกเขายังรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหว หากฝืนดึงดันจะตายเอาได้ กระทั่งพวกเราก็ยังสืบประวัติของหลัวคังอันมาได้เลย แล้วนายคิดกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่เข้าร่วมงานประมูลจะสืบประวัติของหลัวคังอันไม่ได้หรือ? ก็มีแค่พวกอ่อนแออย่างตระกูลฉินนั่นแหละที่จะถูกคนอย่างหลัวคังอันหลอกได้”
“ตระกูลฉินจะเอาอะไรไปแข่งกับผู้มีอำนาจต่างๆ ล่ะ? หากตอนนี้เปลี่ยนคน ทันทีที่กลุ่มผู้มีอำนาจต่างๆ เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา วิธีที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือขุดรากถอนโคน ฆ่าล้างคนในตระกูลฉิน แต่ถ้ามีหลัวคังอันผู้นี้อยู่ ให้เขาได้แสดงความอ่อนแอออกมาให้คนอื่นเห็น นั่นกลับจะกลายเป็นเรื่องดี หากหลัวคังอันผู้นี้ตายอยู่ในงานประมูล นั่นก็นับว่าเขารนหาที่เอง คนต่ำช้าเช่นนี้ตายไปก็ยังไม่สาสมกับความชั่วที่เขาทำเลย”
“ส่วนตระกูลฉินน่ะ ถึงจะขาดทุนย่อยยับไปมากกว่านี้ ต่อให้ล้มครืนลงมา แต่อาศัยเพียงทรัพย์สมบัติที่เก็บสั่งสมมาของพวกเขาเนี่ย ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตโดยไม่ลำบากแล้ว ไยต้องโลภมากคิดการใหญ่ด้วย เสพสุขกับความร่ำรวยมานานหลายปีขนาดนี้แล้วยังไม่พออีกหรือ? อีกอย่าง…นายคิดว่าฉินอี๋จะพอใจกับแค่การประมูลครั้งนี้อย่างนั้นเหรอ? ถึงผลประโยชน์ในครั้งนี้จะมากมายมหาศาล แต่สำหรับเธอแล้ว เกรงว่าจะเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเสียมากกว่า เธอไม่ใช่คนที่จะรู้จักพอในสิ่งที่ตนเองมี ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่เข้าร่วมการประมูลครั้งนี้หรอก”
“ฉันเห็นยัยหนูนี่มาแต่เล็ก โดยเนื้อแท้แล้วเป็นคนดื้อรั้น เรื่องไหนที่มั่นใจแล้วก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ”
หากครั้งนี้หากปล่อยให้ตระกูลฉินชนะ พวกกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ ที่อยู่เบื้องหลังไม่มีทางยอมนั่งดูอยู่เฉยๆ แน่ ด้วยความละโมบโลภมากของกลุ่มอำนาจเหล่านั้น วันข้างหน้าเมืองปู๋เชวี่ยจะไม่อาจสงบสุขได้อีก หรือว่าพวกเราจะยอมนั่งดูคนนอกเข้ามาก่อความวุ่นวายในเมืองปู๋เชวี่ยเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร? สุดท้ายแล้ว เมืองปู๋เชวี่ยของเราก็ต้องเข้าไปพัวพันในเรื่องนี้ด้วย ยัยหนูนั่นรู้ว่าพวกเราจะไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ เธอตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากกฎของเกม เมืองปู๋เชวี่ยของเราต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความมั่นใจจนกล้าเข้าร่วมประมูลในครั้งนี้
ผู้สนับสนุนราชวงศ์ก่อนก่อความวุ่นวายไปทั่วทุกพื้นที่ แม้แต่เมืองหลวงก็กล้าโจมตี เหิงเทา กว่าเมืองปู๋เชวี่ยของเราจะสงบสุขแบบนี้ได้มันไม่ง่ายเลยนะ เราต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญ ไม่อาจทำให้คนอื่นๆ ในเมืองปู๋เชวี่ยต้องเผชิญกับเคราะห์ภัยที่จะเข้ามาอย่างไม่คาดฝันเพียงเพราะผลประโยชน์ของตระกูลเดียวได้”
เหิงเทาพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจแจ่มแจ้ง
ลั่วเทียนเหอปล่อยมือ หยิบเอาหนังสือโครงการที่ไพล่ไว้ด้านหลังส่งให้เขา “แม่สาวจูลี่คนนี้ไม่เลวเลย ฉันดูหนังสือโครงการของเธอแล้ว ไม่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ นายไปจัดการตามหนังสือโครงการของเธอซะ คอยสนับสนุนเธอทั้งด้านกำลังคน กำลังของและกำลังทรัพย์ ช่วยเธอวางกรอบของโครงการขึ้นมาให้ได้โดยเร็ว”
เหิงเทารับหนังสือโครงการด้วยสองมือ “ครับ ผู้น้อยจะรีบไปจัดการ”
……
หลินยวนที่กำลังขี่เจ้าลาน้อยหยุดลงที่หน้าประตูของหอการค้าตระกูลฉิน พูดให้ถูกคือหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หลินยวนเงยหน้ามอง นี่คือต้นไม้ขนาดใหญ่โตต้นหนึ่ง เป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองของเมืองปู๋เชวี่ย ถูกหอการค้าตระกูลฉินซื้อไว้เมื่อนานมาแล้ว
เกรงว่าต้นไม้ต้นนี้จะสูงถึงสามร้อยกว่าจ้าง ให้ความรู้สึกสูงเสียดฟ้า ใต้ร่มเงาที่แมกไม้แผ่ปกคลุมล้วนแต่เป็นที่ดินที่ตระกูลฉินซื้อเอาไว้ทั้งหมด
เมื่อเหลือบตามองขึ้นไป บนต้นไม้มีผลห้อยอยู่จำนวนไม่น้อย
ต้นไม้ต้นนี้ได้ตายลงเพราะน้ำมือมนุษย์ ถูกฉีดสารที่ทำให้ไม่เน่าเปื่อยเข้าไป ทำให้ไม้ทั้งต้นแข็งแกร่งทนทาน กลายเป็นไม้ที่ไม่เน่าเปื่อย จากนั้นก็ขุดสร้างภายใน เปลี่ยนมันให้กลายเป็นพื้นที่ทำงานของหอการค้าตระกูลฉิน
การกระทำที่คล้ายคลึงกันนี้มีอยู่ทั่วไปในดินแดนเซียน
ส่วนรากของต้นไม้มีรูอยู่รูหนึ่ง ใช้เป็นประตูใหญ่ มีคนและรถยนต์สัญจรไปมา
เมื่อหลายปีก่อนหลินยวนเคยมาแหงนหน้ามองอยู่ตรงนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปเลยสักครั้ง เนื่องเพราะที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปโดยพลการ อีกทั้งเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปด้วย
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ขี่ลาน้อยมุ่งหน้าไปทางประตูรูต้นไม้
ครั้งนี้เขาแต่งตัวมาค่อนข้างสะอาดสะอ้าน อย่างน้อยก็รวบผมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง แต่สุดท้ายก็ยังโดนยามหน้าประตูขวางเอาไว้
ก็อย่างที่พูดไว้ก่อนหน้า ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปโดยพลการ หากให้ใครต่อใครเข้าไปเดินเล่นได้ เช่นนั้นแล้วหอการค้าตระกูลฉินจะกลายเป็นอะไร?
หลินยวนแสดงนามบัตรที่ฉินอี๋ให้มา พอเห็นนามบัตร ยามที่หน้าประตูก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม รีบเปิดทางให้ ทั้งยังชี้บริเวณที่จอดรถให้ด้วย
หลังจากจอดพาหนะไว้ที่บริเวณจอดรถแล้ว หลินยวนก็เดินเท้าเข้าไปด้วยในประตูรูต้นไม้ กวาดตามองดูการตกแต่งอันหรูหราภายใน
เมื่อมาถึงโต๊ะประชาสัมพันธ์ของหอการค้าตระกูลฉิน หลินยวนก็แสดงนามบัตรให้ผู้หญิงที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ดูอีกครั้ง
การที่มีนามบัตรของฉินอี๋อยู่ในมือแบบนี้ได้ ทำให้ผู้หญิงสองสามคนที่อยู่โต๊ะประชาสัมพันธ์ถึงกับต้องมองดูหลินยวนอยู่หลายครั้ง หนึ่งในนั้นรีบโทรศัพท์ติดต่อเพื่อรายงานทันที
จากนั้นครู่หนึ่งหญิงสาวคนนั้นก็วางสาย ก่อนจะเอ่ยขอโทษกับหลินยวนว่า “คุณหลิน ขอโทษนะคะ ผู้ช่วยไป๋ให้แจ้งคุณว่าท่านประธานกำลังประชุมอยู่ ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาพบคุณ ให้คุณมาอีกครั้งตอนประมาณหกโมงเย็น หากมาสาย… คุณต้องรับผิดชอบค่ะ!”
“…” มาเสียเที่ยวเสียแล้ว หลินยวนหมดคำพูด แถมถ้ามาสายต้องรับผิดชอบด้วย เขานึกอยากจะถามฉินอี๋นักว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร
สุดท้ายก็ต้องเหลียวหน้าเดินกลับออกไป ถ้าไม่ไปแล้วจะให้ทำอะไร? จะบุกเข้าไปหรือนั่งรอล่ะ?
ณ โรงอีหลิว เมื่อเห็นหลินยวนขี่เจ้าลาน้อยกลับมา จางเลี่ยเฉินก็รีบสาวเท้าไปยังหน้าประตู เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
หลินยวนสีหน้าดูแย่ “อย่าพูดถึงเลย วางมาดเสียใหญ่โต ไม่ได้เจอหรอก”
“ไม่ได้เจอเหรอ?” จางเลี่ยเฉินงุนงง
ไม้ซีกหรือจะงัดไม้ซุง คิดอยากจะปักหลักอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ย ก็ไม่อาจผิดใจกับตระกูลฉินได้ ยามพลบค่ำ หลินยวนมาที่หอการค้าตระกูลฉินอีกครั้ง
หลินยวนมองเห็นหน้าต่างที่อยู่บนผลของต้นไม้ใหญ่ตรงบริเวณที่อับแสงมีแสงไฟส่องสว่างขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ภายในผลของต้นไม้ใหญ่ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องทำงานจำนวนหลายห้อง
ครั้งนี้เขาเข้ามาด้านในได้อย่างง่ายดาย ไป๋หลิงหลงที่เป็นผู้ช่วยของฉินอี๋จงใจจัดเตรียมหญิงสาวที่หน้าตาดีมารอต้อนรับเขาอยู่ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์เป็นการเฉพาะ
กระทั่งเขามาแล้ว หญิงสาวก็รีบพาเขาเข้าไปด้านในอีกครั้ง โดยขึ้นลิฟต์ที่ใช้เฉพาะส่วนใน
ไป๋หลิงหลงรอเขาอยู่ด้านบน
พอขึ้นไปถึง ไป๋หลิงหลงก็ให้ผู้หญิงคนนั้นออกไปก่อน เมื่อได้พบหลินยวน สีหน้าของเธอดูสับสนเล็กน้อย ทว่ายังคงปั้นยิ้มออกมา “หลินยวน ไม่เจอกันหลายปีเลยนะ”
หลินยวนอึดอัดเล็กน้อย ในตอนนั้นผู้หญิงคนนี้คอยช่วยทำเรื่องต่างๆ ให้เขากับฉินอี๋ เช่นส่งจดหมายรักอะไรทำนองนั้น ในเวลานี้จึงทำได้เพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยไปว่า “สวัสดี”
ไป๋หลิงหลงผายมือเชื้อเชิญ “เชิญตามฉันมา”
เธอพาหลินยวนมายังห้องทำงานของฉินอี๋ที่ดัดแปลงมาจากผลของต้นไม้เช่นกัน ทั้งยังดูออกด้วยว่าอยู่ตรงบริเวณยอดของต้นไม้ใหญ่ น่าจะมองเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าและยามเย็นได้จากหน้าต่างบานใหญ่รอบด้าน สถานที่ภายในเมืองปู๋เชวี่ยที่สายตาสามารถมองไปถึงได้ล้วนแต่มองเห็นได้จากที่นี่ ช่างเป็นทิวทัศน์ที่ไม่เลวเลยจริงๆ
ทว่าหลินยวนไม่มีอารมณ์มานั่งชมวิวทิวทัศน์ เขามองไปรอบๆ ทว่าไม่เห็นใครอื่น จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ฉินอี๋ล่ะ?”
ไป๋หลิงหลงรินชาให้เขา “ท่านประธานยุ่งมาทั้งวัน เพิ่งได้พักผ่อน ตอนนี้อาบน้ำอยู่ด้านบน รอสักครู่ อีกเดี๋ยวก็ลงมาแล้ว”
หลินยวนเงยหน้ามองขึ้นไปบนหลังคาพลางเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงน้ำไหลดังแว่วมา
……………………………………………………….