ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 56 คนหน้าด้าน
ตอนที่ 56 คนหน้าด้าน
โจวหม่านเชารู้สึกสนใจขึ้นมา “ทำไม? แผนหอบดอกไม้ไปขอความรักของหยวนเฉินถูกตอกกลับมา แกเองก็รู้สึกสนใจผู้หญิงคนนี้เหมือนกันเหรอ? ดูจากรูปแล้ว หน้าตานับว่าใช้ได้ทีเดียว”
เผิงซีกล่าวว่า “ถ้าเธอยินดีกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องราวมันคงจะง่ายกว่านี้ครับ พวกเราเองก็ไม่ต้องไปร่วมมือกับหอการค้าตระกูลพานด้วย แต่เมื่อดูจากสิ่งที่เธอทำแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมาหวั่นไหวเพราะความรักได้ง่ายๆ เราเลิกคิดเรื่องแบบนี้ไปได้เลยครับ”
โจวหม่านเชากล่าวว่า “ฉินอี๋คนนี้อาจจะไม่สนใจผู้ชาย มีข่าวลือว่าเธอกับผู้ช่วยสาวของเธอคนนั้นมีอะไรกันอยู่ เหมือนจะเป็นประเภทเดียวกับพานหลิงอวิ๋นของตระกูลพานคนนั้น ที่พานหลิงอวิ๋นเสนอตัวไปที่เมืองปู๋เชวี่ย ก็เหมือนจะมีความคิดทำนองนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ผลสุดท้ายกลับถูกเล่นงานจนต้องขายหน้ากลับมา”
เผิงซีกล่าวว่า “คุณน้าครับ ที่ผมอยากไปเจอเธอไม่ได้มีความคิดอย่างอื่นครับ ผมแค่อยากจะไปเห็นกับตาตัวเองว่าเธอเป็นคนยังไง ถ้าดูแค่ข้อมูลที่อยู่ในกระดาษอาจจะทำให้วิเคราะห์ผิดพลาดได้ แล้วก็ยังมีเรื่องการตายของพี่หยวนเฉิน ถ้าไม่ใช่ตระกูลฉินทำ แล้วจะเป็นใครทำ? ผมเป็นห่วงว่าจะมีกลุ่มอำนาจจากที่อื่นแอบเข้ามาในเมืองปู๋เชวี่ยเพราะเรื่องประมูลเทพมหาวิญญาณหรือเปล่า ผมอยากจะไปตรวจดูที่นั่นด้วยตัวเองหน่อย จะได้รู้รายละเอียดมากขึ้น แล้วก็จะได้ดูว่าพอจะหาเบาะแสอื่นเพิ่มได้ไหมครับ”
แล้วก็จะได้ทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย
โจวหม่านเชายืนมือไพล่หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ พลันกล่าวถามว่า “ฆาตกรเป็นใครก็ยังไม่มีใครรู้ ตอนนี้แกไปที่นั่น แกไม่กลัวเหรอ?”
เผิงซีกล่าวว่า “ฆาตกรย่อมต้องรู้ว่าเรื่องราวใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกทางการของเมืองปู๋เชวี่ยจับตาดูอย่างไม่คลาดสายตาอยู่อย่างแน่นอน คงจะเป็นไปได้ยากที่จะลงมืออีกครั้ง ขณะเดียวกัน ตัวลั่วเทียนเหอเองก็น่าจะมีความกังวลเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าผมไป เขาก็น่าจะจับตาดูผมเอาไว้ คงจะรอดูว่าเหยื่ออย่างผมจะสามารถล่อให้ฆาตรกรออกมาได้หรือเปล่า และเมื่อมีลั่วเทียนเหอคอยจับตามอง โอกาสที่ผมจะเกิดเรื่องก็มีไม่สูงเท่าไรนัก และก่อนที่ผมจะกลับมาที่นี่ ผมบังเอิญได้ตัวยอดฝีมือคนหนึ่งมาทำงานด้วยโดยบังเอิญ ถ้ามีเขาคอยคุ้มครอง ก็น่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยครับ”
โจวหม่านเชาร้องโอ้ “ใครเหรอ?”
เผิงซีกล่าว “เชอมั่ว”
โจวหม่านเชาประหลาดใจ “เซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่จอมยุทธ์พเนจรคนนั้นน่ะเหรอ?”
“ใช่ครับ” เผิงซีพยักหน้า “ระหว่างทางเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย ผมช่วยเขาเอาไว้ เขาติดหนี้ชีวิตผมอยู่”
โจวหม่านเชากล่าว “ดี ในเมื่อแกอยากไป อย่างนั้นก็ไปซะ จะได้ไปยืนยันศพของพี่หยวนเฉินแล้วพากลับมาด้วย”
เผิงซีรับคำ “ครับ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์บนโต๊ะพลันดังขึ้นมา โจวหม่านเชาเดินไปยกหูโทรศัพท์ “มีเรื่องอะไร?”
ไม่รู้ว่าในโทรศัพท์พูดอะไรบ้าง รู้เพียงแต่ว่าสีหน้าของโจวหม่านเชาคร่ำเคร่งลงทันที ก่อนจะตะโกนด่าออกมาว่า ‘เหลวไหล’ แล้ววางโทรศัพท์ไป
เผิงซีกำลังคิดอยากจะถามว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างนี้ แต่โทรศัพท์มือถือที่อยู่บนตัวเขาก็ดังขึ้นมา พอหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นพ่อบ้านของตัวเองโทรมา หลังรับสายถึงได้ทราบว่าเหตุใดโจวหม่านเชาถึงได้โมโหขนาดนี้
โจวหม่านอวี้ที่เป็นแม่ของเขาเกิดเรื่องแล้ว เธอไปที่บ้านน้าหญิงเพื่อปลอบใจ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ไม่สามารถปลอบได้ อีกทั้งยังถูกด่ากลับมา ถูกด่าอย่างที่ยากจะทนฟังได้
โจวหม่านฟางคล้ายจะโยนความผิดเรื่องการตายของลูกชายเธอมาที่ครอบครัวของน้องสาว พรั่งพรูความโกรธแค้นทั้งหมดที่มีออกมา จู่ๆ ขณะที่กำลังด่าทอก็คว้าหยิบมีดคัตเตอร์ที่อยู่ข้างๆ มาแทงโจวหม่านอวี้
หากมิเป็นเพราะผู้คุ้มกันที่ติดตามอยู่ข้างกายตอบสนองได้ทันเวลา โจวหม่านอวี้คงต้องเสียชีวิตไปแล้ว โชคดีที่ผู้คุ้มกันช่วยเหลือได้ทันเวลา บนลำคอของโจวหม่านอวี้จึงถูกมีดบาดเป็นแผลแผลหนึ่ง ทำเอาโจวหม่านอวี้ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ขณะนี้กำลังช่วยปฐมพยาบาลกันอยู่
เผิงซีที่วางโทรศัพท์มือถือลงนิ่งเงียบไป
เมื่อดูจากปฏิกิริยาของเขา โจวหม่านเชาคิดว่าเขาเองก็คงทราบแล้ว “โชคดีที่ไม่เป็นไร เรื่องนี้ก็แล้วกันไปแล้วกัน อย่าไปโกรธแค้นอะไรน้าหญิงแกเลย”
เผิงซีกล่าว “ผมเข้าใจความรู้สึกของน้าหญิงครับ คุณน้าวางใจได้ครับ”
ในเวลานี้เอง ด้านนอกพลันมีคนเคาะประตู ชายที่ดูอายุยังน้อยมากคนหนึ่งเดินอมยิ้มเล็กน้อยเข้ามา
เผิงซีพยักหน้าทักทายเขาอย่างเกรงใจ เขาเป็นคนที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลโจวได้เพียงร้อยกว่าปี แต่กลับได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญ มีนามว่าเมิ่งซู่ เป็นผู้ช่วยของโจวหม่านเชา ตอนนี้เท่ากับเป็นคนสนิทของน้าชาย เผิงซีย่อมต้องแสดงความเคารพนอบน้อมต่ออีกฝ่าย
“ท่านประธานครับ ท่านประธานพานมาถึงแล้วครับ ตอนนี้เชิญไปรอที่ห้องรับรองแล้วครับ” เมิ่งซู่กล่าวรายงาน
“อ้อ” โจวหม่านเชากล่าวกับเผิงซี “เรื่องในตระกูลวางไว้ก่อน ไปเจอแขกด้วยกันก่อนเถอะ”
เผิงซีพยักหน้า เดินตามเขาไป
ภายในห้องรับรอง โจวหม่านเชาและพานชิ่งแสดงท่าทียินดีที่ได้พบกัน พานหลิงเยวี่ยผู้เป็นบุตรสาวของพานชิ่งยืนอยู่ข้างๆ เผิงซีพยักหน้าทักทายเธอ พวกเขาต่างรู้จักกัน
หลังเจ้าบ้านและแขกนั่งลง โจวหม่านเชาก็บอกให้คนอื่นออกไปก่อน จากนั้นกล่าวถามว่า “มาที่นี่ด้วยตัวเอง ทำไม ลั่วเทียนเหอจะจับหลิงอวิ๋นเหรอ?”
พานชิ่งกล่าว “เขาคงไม่ถึงกับจะจับหลิงอวิ๋นไปทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานหรอก แต่เขาจะให้หลิงอวิ๋นไปสอบปากคำที่เมืองปู๋เชวี่ย หลิงอวิ๋นเคยทำให้เขาโมโหมาแล้วครั้งหนึ่ง มีหรือที่ฉันจะยอมให้หลิงอวิ๋นตกอยู่ในมือเขาง่ายๆ”
โจวหม่านเชากล่าวว่า “เห็นๆ อยู่ว่าเกี่ยวข้องกับคดี ถ้าไม่ไปมันจะไม่เหมาะหรือเปล่า? ถ้าไปแสดงท่าทีขัดขืนอย่างโจ่งแจ้ง กลัวว่าจะถูกลั่วเทียนเหอหาข้ออ้างมาจับตัวไปนะ”
พานชิ่งกล่าว “ไปน่ะไปอยู่แล้ว แต่ฉันไปหาเจ้าเมืองมู่มาแล้ว เดี๋ยวเจ้าเมืองมู่จะทำเป็นว่าให้ความสำคัญกับคดีนี้อย่างมาก จะให้คนพาหลิงอวิ๋นเดินทางไปช่วยสืบเรื่องนี้”
โจวหม่านเชาโล่งใจขึ้นมาทันที พานหลิงอวิ๋นรู้เรื่องแผนการทั้งหมด ถ้าเธอถูกบังคับให้เปิดปากพูดจริงๆ อย่างนั้นก็เท่ากับความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่า หลานของตัวเองก็ต้องตายเปล่า แต่ถ้าเจ้าเมืองเทียนกู่ส่งคนไปจับตาดูด้วยตัวเอง โอกาสที่ลั่วเทียนเหอจะบังคับใส่ความเธอก็มีไม่มาก สามารถวางใจได้
แต่หลังจากนั้นโจวหม่านเชาก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “อย่างนั้นนายมาที่นี่ทำไม?”
พานชิ่งกล่าว “แผนการอาจจะมีปัญหา ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังจะทำตามแผนต่อไปได้หรือไม่….” เขาเงยหน้าเหลือบมองไปทางเผิงซี
โจวหม่านเชามองตามสายตาของเขาไป กล่าวอธิบายว่า “เขารู้เรื่องแผนการแล้ว พูดมาได้ไม่เป็นไร เมื่อกี้ที่ว่าหมายความว่ายังไง?”
พานชิ่งถึงได้บอกว่า “หมายความว่ายังไง? ฉันต่างหากที่ต้องถามนายว่าหมายความว่ายังไง? หลานของนายคนนั้นก่อนตายจัดการงานไม่เรียบร้อย ทางฉันสืบรู้มาว่าในรังของเฉาลู่ผิงที่ถูกฆ่าตายจนหมดยังมีคนรอดอยู่อีกสองคน หนึ่งในนั้นก็คือนักเต้นหญิงที่ชื่ออู่เวยคนนั้น”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ล้วงเอาข้อมูลออกมาจากปากหลัวคังอัน เธอย่อมต้องรู้ว่าหนึ่งในจุดประสงค์ที่เข้าใกล้หลัวคังอันก็เป็นเพราะเรื่องเสวี่ยหลาน ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของเฉาลู่ผิงหรือว่าฆาตกร แล้วก็ไม่รู้ว่าเธอปากโป้งพูดเรื่องเสวี่ยหลานออกไปหรือเปล่า”
“สรุปแล้วตอนนี้เธอตกอยู่ในมือลั่วเทียนเหอ ในเมื่อจับผู้หญิงคนนั้นมาได้ เช่นนั้นลั่วเทียนเหอก็ต้องสืบไปถึงตัวหลัวคังอันอย่างแน่นอน แล้วก็จะต้องขุดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลัวคังอันกับอู่เวยขึ้นมาแน่ แล้วก็ไม่รู้ว่าหลัวคังอันได้พูดเรื่องเกี่ยวกับเสวี่ยหลานออกมาหรือเปล่า”
“ทันทีที่ลั่วเทียนเหอรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเสวี่ยหลาน แผนการก็เท่ากับใช้ไม่ได้แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะดำเนินการตามแผนต่อ ตอนนี้หลิงอวิ๋นที่ดำเนินแผนการอยู่ที่เมืองหลวงก็ไม่สามารถจัดการต่อไปได้ ได้แต่ต้องหยุดเอาไว้ก่อนชั่วคราว”
ทำงานกันยังไง คนที่สำคัญขนาดนี้กลับปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้? โจวหม่านเชาสีหน้าคร่ำเคร่ง หากมิเป็นเพราะเจ้าหยวนเฉินตายไปแล้ว เขาคงจะด่าอีกฝ่ายจนไม่มีชิ้นดี
หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหันหน้ากลับไปพูดกับเผิงซีว่า “ทางอุโมงค์เคลื่อนย้ายเดี๋ยวฉันไปคุยให้เอง แกไปเตรียมตัวซะ รีบเดินทางไปที่นั่น ไปดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ครับ” เผิงซีรับคำสั่ง สีหน้าคร่ำเคร่ง รู้ว่าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว
……
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงาน แล้วก็เป็นเหมือนอย่างที่หลินยวนคิดเอาไว้ หลัวคังอันมาดักรอเขาอีกครั้ง เหมือนว่ามีเงินเยอะจนไม่รู้จะเอาไปใช้ที่ไหน คล้ายว่าถ้าไม่เลี้ยงหลินยวนให้เต็มคราบสักมื้อจะรู้สึกผิดต่อตัวเอง
บางครั้งคนเรานี่ก็แปลก ถ้าหลินยวนเอาแต่ให้เขาเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา บางทีเขาอาจจะรู้สึกไม่ชอบใจ แต่พอหลินยวนไม่อยากไปกิน เขากลับพยายามจะลากหลินยวนไปกินให้ได้
พออ้างเรื่องจูลี่อะไรนั่น หลัวคังอันก็ไม่หลงกลอีก
หลินยวนจึงได้แต่ต้องบอกว่า “ผมมีธุระต้องไปพบท่านประธาน”
หลัวคังอันหัวเราะฮี่ๆ “ฉันไปเป็นเพื่อนนาย เดี๋ยวฉันรอนาย ตกลงไหม?”
หลินยวนกล่าว “ไม่จำเป็น เสร็จเรื่องผมก็จะกลับแล้ว เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พี่ยังกล้าเที่ยวเล่นไปทั่วอีกเหรอ? พี่บอกจะอยู่เงียบๆ หน่อยไม่ใช่เหรอไง?”
หลัวคังอันกล่าว “ฉันไม่ได้จะเที่ยวเล่นไปทั่ว รู้จักนายมานานขนาดนี้ ลุงของนายคนนั้น ฉันยังไม่เคยเจอเลย วันนี้ได้โอกาสไปเยี่ยมพอดีเลย”
หลินยวนขี้เกียจจะพูดอะไรอีก จึงเลือกที่จะเดินออกไป หลัวคังอันก้าวอาดๆ ตามอยู่ด้านหลัง
หลังทั้งสองคนมาถึงห้องผู้ช่วย หลัวคังอันก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย นี่มาหาท่านประธานจริงๆ อย่างนั้นเหรอ? เขาไม่สะดวกที่จะตามเข้าไป จึงได้แต่ต้องรออยู่ด้านนอก
แต่ตอนนี้ทางฉินอี๋เองก็ไม่ได้ต้องการให้หลินยวนมาทำความสะอาด ไป๋หลิงหลงจึงบอกให้เขากลับไป
หลังเกิดเรื่องเมื่อคืนขึ้น ฉินอี๋ยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้ต้องจัดการ ไหนเลยจะมีใจมานั่งหยอกล้อหลินยวนเล่น
เดิมหลินยวนมีเรื่องอยากจะมาคุยกับฉินอี๋ แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ต้องรีบ รอดูท่าทีของกวนเสี่ยวชิงก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน
เมื่อเห็นหลินยวนเดินกลับออกมาอย่างรวดเร็ว หลัวคังอันก็ดีใจขึ้นมา นึกว่าตัวเองเกือบจะถูกหลินยวนหลอกอีกแล้ว โชคดีที่เขายังไม่ออกไป
ทั้งสองคนออกมาจากหอการค้า หลินยวนขี่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองโต้ลมอยู่บนถนน หลัวคังอันขับรถตามอยู่ด้านหลัง
ระหว่างทาง หลินยวนเหลียวหน้ากลับไปมองเป็นระยะ ถึงขนาดเกิดความคิดที่จะฆ่าหลัวคังอันทิ้งเอาไว้ที่ไหนสักแห่งกลางทาง เมื่อเจ้านี่ตายไปแล้ว เรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณอาจจะกลายเป็นโมฆะก็เป็นได้ ไม่แน่อาจจะปลอดภัยมากกว่า
แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที ถ้าฆ่าเจ้านี่ไปแล้ว ฉินอี๋ก็น่าจะไม่มีทางล้มเลิกง่ายๆ เธออาจจะหาคนอื่นมาแทน
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงโรงอีหลิว หลัวคังอันที่เปิดประตูลงมาจากรถจุ๊ปาก กล่าวว่า “นายอยู่ที่นี่เหรอเนี่ย?”
หลินยวนไม่ได้สนใจเขา ผลักประตูใหญ่ออกแล้วขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไป หลัวคังอันเองก็เข้าไปข้างในโดยไม่มีใครเชิญ
ภายในสวนมีคนนั่งอยู่สองคน คือจางเลี่ยเฉินและกวนเสี่ยวไป๋ ทั้งสองคนรู้จักกัน กวนเสี่ยวไป๋อ้างว่าแวะมาหาเขา แต่ความจริงแล้วคือมาพบหลินยวน เป็นหลินยวนที่โทรศัพท์เรียกเขามา
มีธุระที่ต้องคุยกัน เขาย่อมไม่ชอบให้คนหน้าด้านผู้นี้ตามมาด้วย
หลังแน่ใจแล้วว่าจางเลี่ยเฉินก็คือคุณลุงที่หลินยวนพูดถึงคนนั้น หลัวคังอันก็เข้าไปพูดคุยสนิทสนมกับจางเลี่ยเฉินในทันที ส่วนกวนเสี่ยวไป๋ที่ถูกหลินยวนส่งสายตาเรียกตัวออกไปมิได้สนใจหลัวคังอัน
หลินยวนพากวนเสี่ยวไป๋เดินมาตรงมุมหนึ่ง ก่อนจะกล่าวถามถึงสถานการณ์ที่บ้านพวกเขาสามคนถูกจับตัวไปเสียงเบาๆ
กวนเสี่ยวไป๋บอกเขาว่าวางใจได้ ไม่ได้พูดเรื่องอะไรที่เป็นผลเสียกับเขาไป ส่วนเถาฮวากับเสี่ยวชิงรู้เรื่องราวไม่มาก พูดอะไรออกไปไม่ได้เช่นกัน
ตัวหลินยวนเองก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน เรื่องที่เขาเป็นห่วงจริงๆ นั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง “กล่อมเสี่ยวชิงหรือยัง?”
กวนเสี่ยวไป๋จนปัญญาอย่างมาก “กล่อมแล้ว พอดีเกิดเรื่องนี้ขึ้น ฉันก็เลยได้โอกาสใช้เรื่องนี้มากล่อมเธอ แต่ใครจะไปรู้ว่านังเด็กนั่นกลับคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้แสดงความภักดีต่อหอการค้าตระกูลฉิน บอกว่าต่อให้มีอันตรายอะไรก็จะฝ่าฟันไปพร้อมกับหอการค้าตระกูลฉิน…” กวนเสี่ยวไป๋บอกเล่าคำพูดที่ฟังดูฮึกเหิมของกวนเสี่ยวชิงออกมาอีกครั้ง
แล้วก็ยังมีเถาฮวาที่สนับสนุนการตัดสินใจของลูกสาว เธอคิดว่าพวกฉินอี๋ถูกปล่อยตัวออกมาหมดแล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก
หลินยวนยังจะพูดอะไรได้ ได้แต่บอกให้กวนเสี่ยวไป๋พยายามหาโอกาสไปเกลี้ยมกล่อมเสี่ยวชิงดูอีกครั้ง
กวนเสี่ยวไป๋ถอนใจพลางพยักหน้า “เออใช่ แกไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร” หลินยวนส่ายศีรษะ ถึงแม้เรื่องนี้เขาจะเป็นคนทำ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำลงไปโดยไม่คิดอะไร
ที่เขากล้าฆ่าเจ้าหยวนเฉินเป็นเพราะเขารู้เรื่องการประมูลเทพมหาวิญญาณ ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้แย่งชิงกันระหว่างตระกูนฉิน ตระกูลพานและตระกูลโจว ขอเพียงไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา ต่อให้ฆ่าเจ้าหยวนเฉินไปก็ยากจะสืบมาถึงเขาได้
ส่วนเรื่องที่จะสืบประวัติของเขา อันนั้นก็ปกปิดได้ไม่ยาก ตัวเองถูกจับ เรื่องที่ควรพูดก็ล้วนแต่พูดออกมาหมดแล้ว ข้อมูลล้วนแต่อยู่ในมือของผู้พิทักษ์เมืองหมดแล้ว ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นก็มิใช่ความลับอะไร พานหลิงอวิ๋นน่าจะคิดหาวิธีเอาข้อมูลเหล่านั้นออกมาได้
……………………………………………………………………………