ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 47 เดิมพันชีวิต
ตอนที่ 47 เดิมพันชีวิต
สายตาของหลินยวนมองตรงไปอย่างเยือกเย็น คล้ายมองไม่เห็นอู่เวยและเวินเหลียงที่อยู่ด้านข้างเลย “อยากอยู่ฉันให้อยู่ อยากตายฉันให้ตาย!”
เหมือนจะยังมีโอกาสรอดชีวิตอยู่ ร่างกายเฉาลู่ผิงโยกไหวขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ไม่กล้าบุ่มบ่ามขยับตัว “ย่อมต้องอยากอยู่ ทำอย่างไรถึงจะรอดได้ ขอสหายได้โปรดบอกด้วย!”
หลินยวนกล่าว “ใครให้แกสืบหลินยวน?”
หลินยวน? อีกฝ่ายมานี่เพราะหลินยวนอย่างนั้นเหรอ? เฉาลู่ผิงประหลาดใจเล็กน้อย “ตระกูลฉินเหรอ? ตระกูลฉินเป็นคนส่งคุณมาสินะ….” จู่ๆ พลันหยุดชะงักไปอีกครั้ง “ไม่สิ คุณไม่ใช่คนที่ตระกูลฉินส่งมา” เรียกได้ว่าหลุดออกมาจากความเข้าใจผิดได้อย่างรวดเร็ว
เหตุผลนั้นง่ายมาก หากอีกฝ่ายเป็นคนที่ตระกูลฉินส่งมาจริงๆ อีกฝ่ายจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเขารับคำสั่งมาจากใคร ก่อนหน้านี้ไม่นานไป๋ซานเป้าเพิ่งจะมาพูดคุยกับเขาไปเอง
เขาถึงขนาดสงสัยด้วยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มิใช่คนของเมืองปู๋เชวี่ย นอกจากเพราะข้อสงสัยที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว มันก็ยังเป็นเพราะฝีมือของอีกฝ่ายด้วย
เขาถือเป็นคนที่มีอิทธิพลเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองปู๋เชวี่ย มิเช่นนั้นเจ้าหยวนเฉินคงจะไม่มาหาเขา เขาอาศัยอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยมานานขนาดนี้ แต่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในเมืองปู๋เชวี่ยมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่เคยรับรู้ถึงร่องรอยการมีอยู่ของคนผู้นี้มาก่อนเลย
เขาอยากได้คำอธิบายจากหลินยวน จึงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “สามารถเชิญยอดฝีมือแบบคุณให้ออกหน้าได้ ดูเหมือนคนที่อยู่เบื้องหลังหลินยวนผู้นั้นจะไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”
หลินยวนกล่าว “ตอบคำถามฉัน”
ภายในหัวเฉาลู่ผิงกำลังคิดหาวิธีที่จะหลุดออกไปจากที่นี่ ขณะเดียวกันก็พยายามหยั่งเชิงว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่ามีคนอื่นใช้ให้แซ่เฉาไปสืบเรื่องหลินยวนคนนั้นล่ะ หรือไม่คิดว่าเป็นตัวแซ่เฉาเอง?”
หลินยวนกล่าว “เพราะแกไม่คู่ควร”
เหตุผลนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก โดนดูถูกจนพูดไม่ออก มุมปากเฉาลู่ผิงกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นแซ่เฉาที่ไม่รู้จักประมาณตนเอง ผมบอกได้ว่าใครเป็นคนใช้ผมไปสืบ แต่คุณจะรับรองได้อย่างไรว่าถ้าผมพูดไปแล้วคุณจะปล่อยผม?”
หลินยวนดึงข้อมือเล็กน้อย เฉาลู่ผิงรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายถูกรัดแน่นขึ้น ตรงตำแหน่งที่ถูกรัดรู้สึกเหมือนถูกมีดเฉือนลงไป บนรอยรัดสีแดงแต่ละเส้นมีโลหิตไหลซึมออกมา ไม่นานทั่วทั้งร่างก็อาบชโลมไปด้วยโลหิตสดๆ
ตัวเองยังไม่ได้เปิดเผยความจริงออกไป เฉาลู่ผิงนึกว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น จึงคิดจะถ่วงเวลาเอาไว้ไม่ยอมพูด แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไร เพียงแค่ดึงตาข่ายกลับไปทีละน้อยๆ คล้ายจะมองดูเขาตายไปเฉยๆ อย่างไรอย่างนั้น หลังความเจ็บปวดบาดลึกลงไปในกระดูก เขาไม่เห็นอีกฝ่ายจะมีท่าทีรามือ จึงรีบกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจว่า “คุณไม่ให้การรับรองกับแซ่เฉา แล้วจะให้แซ่เฉาเปิดปากได้อย่างไร?”
หลินยวนกล่าว “จะลองเดิมพันดูก็ได้นะ”
เฉาลู่ผิงกล่าว “ถ้าเดินทางไหนก็ต้องตาย อย่างนั้นแซ่เฉายอมตายไม่ยอมพูด!”
หลินยวนกล่าว “หัวแข็งแบบนี้ฉันเคยเห็นมาแล้ว แต่ไม่ใช่พวกที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์แบบแก ไม่พูด ตาย!”
เฉาลู่ผิงกล่าว “อย่างนั้นคุณก็ลงมือเถอะ ถ้าผมตายไป คุณก็อย่าหวังว่าจะได้รู้ความจริง!”
หลินยวนกล่าว “สำคัญตัวผิดแล้ว แกมันก็แค่เศษสวะที่ทำงานแทนคนอื่นเท่านั้น ถ้าแกตายไป พวกคนที่อยู่เบื้องหลังแกก็จะหาคนมาทำงานแทนแก ช้าเร็วฉันก็สืบรู้ความจริง แกไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับฉัน ฉันไม่สนใจความเป็นความตายของแก”
ใจของเฉาลู่ผิงตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม “คุณปล่อยผมก่อนสิ ปล่อยผมก่อน แล้วผมจะบอก”
เขาคิดว่าตัวเองแพ้แบบไม่ยุติธรรม ที่เขาไม่สามารถใช้พลังของตัวเองออกมาได้ เป็นเพราะว่าหลงติดกับของอีกฝ่าย ขอเพียงหลุดออกจากการพันธนาการนี้ไปได้ เขาก็ยังมีโอกาสตอบโต้อยู่
แต่หลินยวนไม่มีทางหลงกลเขา ตาข่ายที่อยู่ในมือยังคงหดตัวลงอย่างช้าๆ ใช้การกระทำพิสูจน์คำพูดของเขาประโยคนั้น ‘แกไม่มีสิทธิ์มาต่อรองกับฉัน!’
ในที่สุดเฉาลู่ผิงที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่มัดร่างกายของตัวเองอยู่มันคืออะไร เขาคล้ายมองเห็นเชือกที่มีขนาดเล็กอย่างมากเส้นหนึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ดวงตาของตัวเอง
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาในเวลานี้ ‘อื้อ…’ ลูกตาถูกรัดจนแตก
อู่เวยและเวินเหลียงตกใจกลัวจนเกี่ยวแขนเข้าไว้ด้วยกัน สำหรับพวกเขาแล้ว ภาพเหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้ คิดอยากจะหนีก็ไม่กล้าหนี จึงยืนเนื้อตัวสั่นเทาอยู่กับที่ด้วยความหวาดกลัว
ในเวลานี้ทั้งสองคนได้รู้แล้ว เมื่อเทียบกับคนที่เลือดเย็นไร้ความปราณีสังหารคนโดยตาไม่กะพริบที่อยู่ตรงหน้าคนนี้แล้ว พวกแกงค์อันธพาลใต้ดินในไนต์คลับเหล่านั้นดูอ่อนโยนน่ารักขึ้นมาทีเดียว
“หยุดก่อน ฉันบอกแล้ว” เฉาลู่ผิงตะโกนโหยหวนออกมาจากในลำคอ ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทนต่อไปได้ ยอมทำตามที่อีกฝ่ายว่า ลองเอาชีวิตของตัวเองมาเดิมพันดู
นิ้วมือสองนิ้วของหลินยวนตวัดเล็กน้อย คล้ายเกี่ยวสายพิณอย่างแผ่วเบา ท่าทางกลับมีความสง่างามอยู่หลายส่วน กำไลที่โบราณเทอะทะบนข้อมือหมุนย้อนกลับสองสามรอบ
เฉาลู่ผิงรับรู้ได้ว่าเจ้าสิ่งที่เฉือนลงไปในกระดูกกำลังคลายตัวออกเล็กน้อย ในที่สุดร่างกายที่ถูกบีบรัดจนต้องหดตัวแน่นก็ค่อยๆ กล้ายืดตัวออก แต่ลมหายใจยังคงถี่กระชั้นอยู่
หลินยวนกล่าวเตือน “ฉันไม่มีความอดทน แกไม่มีโอกาสครั้งที่สอง”
ดวงตาข้างหนึ่งเสียไปแล้ว ความเสียใจและโกรธเกรี้ยวภายในใจเฉาลู่ผิงไม่มีที่ให้ระบาย เขาจึงรีบตอบไปทันทีว่า “เจ้าหยวนเฉิน”
หลินยวนกล่าว “เป็นใคร?”
กระทั่งเจ้าหยวนเฉินก็ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ? เฉาลู่ผิงหมดคำพูด ยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้มิใช่คนที่ตระกูลฉินส่งมา “หลานนอกของโจวหม่านเชาที่เป็นประธานหอการค้าตระกูลโจวแห่งเมืองฝูปอ”
หอการค้าตระกูลโจวแห่งเมืองฝูปอ? หลินยวนไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “เขาสืบหลินยวนทำไม?”
“ฉันเพียงแค่ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เรื่องรายละเอียดฉันไม่รู้เรื่อง น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณ…” เฉาลู่ผิงเล่าเรื่องที่ตนเองได้รับคำสั่งออกมา
ตระกูลฉินจะสอดมือเข้าไปยุ่งกับธุรกิจเทพมหาวิญญาณอย่างนั้นหรือ? หลินยวนพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฉินอี๋ถึงซื้อเทพมหาวิญญาณองค์นั้นมา เรื่องราวเหมือนจะเหนือไปจากความคาดคิดเล็กน้อย พบว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ จึงรีบถามต่อไป
เฉาลู่ผิงมาถึงขั้นที่กำลังเดิมพันชีวิตของตัวเอง เดิมพันทางรอดของตัวเอง เรียกได้ว่าอีกฝ่ายถามอะไรก็ต้องตอบออกไป
หลังสอบถามเรื่องราวทั้งหมด หลินยวนก็พอจะเข้าใจแล้ว ตัวเองเหมือนจะทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว อีกฝ่ายไม่ได้มาสืบเขาเพราะเรื่องที่เขากังวลใจเลย อันที่จริงคืนนี้ตัวเองไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยด้วยซ้ำ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองที่อีกฝ่ายสามารถสืบมาได้ก็ปล่อยให้อีกฝ่ายสืบไปได้เลย เดี๋ยวพอสืบจนถึงเรื่องที่หลิงซานก็หยุดสืบไปเอง
สรุปแล้วก็คือขอเพียงไม่ได้มาสืบเรื่องเบื้องหลังที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้ของเขา เขาก็สามารถปล่อยให้ผู้สั่งการที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่ายสืบไปได้เลย
หลินยวนมองไปทางอู่เวย เขารู้จักนักเต้นสาวคนนี้ เคยเห็นตอนที่ตามหลัวคังอันไปที่ไนต์คลับ
อู่เวยหดตัว ถูกเขาจ้องมองจนทั่วทั้งร่างรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
หลินยวนกล่าวถาม “ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกแกพูดถึงหลัวคังอัน ที่ผู้หญิงคนนี้เข้าไปใกล้ชิดกับหลัวคังอันก็เพราะเรื่องการประมูลเทพมหาวิญญาณใช่ไหม?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “ใช่”
หลินยวนกล่าว “เธอเข้าไปใกล้ชิดหลัวคังอันแล้วจะทำอะไรได้?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “ผมไม่รู้เรื่องรายละเอียดแผนการของพวกเขา ผมให้เธอไปใกล้ชิดกับหลัวคังอันเพื่อต้องการรู้เรื่องบางอย่างของหลัวคังอันเท่านั้น”
หลินยวนกล่าว “แล้วรู้เรื่องอะไรบ้าง?”
เฉาลู่ผิงรีบเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมา
หลังหลินยวนได้ฟังก็จ้องมองไปทางอู่เวยอีกครั้ง “ที่เขาพูดมาเป็นความจริงไหม?”
อู่เวยพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว
ภายในใจหลินยวนทั้งโมโหและขบขัน ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้แล้วว่าช้าเร็วหลัวคังอันผู้นั้นจะต้องตายด้วยน้ำมือผู้หญิง นี่เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่เท่าไรเอง ก็ถูกคนอื่นใช้จุดอ่อนเรื่องผู้หญิงเข้ามาเล่นงานแล้ว
เสวี่ยหลาน? หลินยวนจำชื่อนี้เอาไว้ ขณะเดียวกันภายในใจก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย นักแสดงคนหนึ่งจะทำอะไรได้ หรือว่าจะใช้เธอมาทำให้หลัวคังอันหักหลังตระกูลฉิน?
เขาคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา การต่อสู้กันระหว่างตระกูลฉิน ตระกูลพานและตระกูลโจวเขาเพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น ใครจะชนะใครจะแพ้เขาไม่ได้ใส่ใจเลย ครั้งนี้เขาเพียงแค่ถูกดึงเข้าไปพัวพันด้วยเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อไรที่เรื่องนี้ผ่านไปก็ไม่มีอะไร
จากนั้นเขาก็ถามเฉาลู่ผิงอีกครั้งว่า “แกแน่ใจนะว่าพานหลิงอวิ๋นเป็นคนให้รูปถ่ายของหลินยวนกับเจ้าหยวนเฉิน?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “ไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมแน่ใจว่ารูปของหลินยวนรูปนั้นไม่ใช่รูปที่ผมเคยให้เจ้าหยวนเฉินไปก่อนหน้านี้ ในรูปที่ผมให้ไปไม่มีรูปใบนั้นอยู่ และก่อนหน้านี้เจ้าหยวนเฉินก็ไม่ได้สนใจหลินยวนด้วย บอกว่าไม่อยากทำอะไรไม่จำเป็น ก็เลยเลิกสืบหลินยวนไป แต่หลังจากที่พานหลิงอวิ๋นมาหาเจ้าหยวนเฉินครั้งล่าสุด เจ้าหยวนเฉินก็เอารูปใบนี้ให้ผม แล้วก็ให้ผมไปสืบเรื่องหลินยวนมาใหม่ ผมเลยสงสัยว่าพานหลิงอวิ๋นเป็นคนให้รูปนี้กับเจ้าหยวนเฉิน”
หลินยวนกล่าว “เจ้าหยวนเฉินอยู่ที่ไหน?”
เฉาลู่ผิงได้ฟังก็ตกตะลึง หรือคนผู้นี้จะไปหาเจ้าหยวนเฉินด้วย?
แต่สำหรับเขาแล้วนี่ถือเป็นเรื่องดี เขาอยากจะให้คนผู้นี้มีเรื่องกับตระกูลโจวจะแย่อยู่แล้ว ด้วยอิทธิพลของตระกูลโจว พวกเขาน่าจะทำให้คนผู้นี้มีปัญหาได้ไม่ยากหรือเปล่า?
ไม่ตอบหรือ? หลินยวนเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา
เฉาลู่ผิงรีบตอบ “อยู่ที่หออวิ้นเสีย” ก่อนจะกล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ผมพาคุณไปได้นะ”
สำหรับเขาแล้ว เมื่อมาถึงขั้นนี้ ขอเพียงตัวเองยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ตัวเองก็จะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น
หลินยวนไม่รับข้อเสนอนี้ “พานหลิงอวิ๋นอยู่ไหน?”
เฉาลู่ผิงกล่าว “จิ่งซั่งชุน แต่จากที่สายของผมบอกมา วันนี้พานหลิงอวิ๋นได้ออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำอะไร แต่ดูจากที่เธอร่วมมือกับเจ้าหยวนเฉินแล้ว เธอน่าจะให้เจ้าหยวนเฉินจัดการเรื่องทางนี้ ส่วนตัวเธอไปจัดการเรื่องอื่น”
หลินยวนเหลือบมองเขาจากบนลงล่าง พบว่าอีกฝ่ายอธิบายออกมาอย่างละเอียดทีเดียว ดูท่าคงอยากจะมีชีวิตรอดอย่างมาก
เฉาลู่ผิงกล่าว “ถ้าคุณไม่เชื่อ อยากจะไปสืบดูที่จิ่งซั่งชุน ผมพาคุณไปดูได้เหมือนกันนะ”
“ไม่ต้องวุ่นวาย” หลินยวนปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเฉยชา กำไลบนข้อมือเริ่มหมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จู่ๆ แขนพลันตวัดทีหนึ่ง
“แก…” ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของเฉาลู่ผิงเบิกโพลง เสียงอุทานพลันขาดหายไป ภาพเบื้องหน้าเลือนราง ก่อนจะมองอะไรไม่เห็นอีก
เชือกเส้นเล็กที่มองไม่เห็นหดกลับมาดังฟิ้วๆ ภายในอากาศมีหมอกโลหิตบางๆ ฟุ้งกระจาย เสียง ‘คลิก’ ดังขึ้น สิ่งที่ดูเหมือนสมอเรือประกบกลับไปบนกำไลข้อมือ
ความเคลื่อนไหวของเฉาลู่ผิงดูแปลกประหลาดอย่างมาก อู่เวยกับเวินเหลียงมองดูอยู่ จู่ๆ ก็เกิดภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองคนตกใจอย่างมาก
จู่ๆ ร่างกายของเฉาลู่ผิงพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แยกตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลายสิบชิ้น แหลกละเอียดยิ่งกว่าลูกน้องที่ตายไปก่อนหน้านี้เสียอีก กระจัดกระจายอยู่บนกองเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น ทำเอาทั้งคู่เกือบจะอาเจียนออกมา
หลินยวนหมุนตัวเดินผ่านพวกเขาไป
ทั้งสองคนลนลานขึ้นมาทันที ต่างกอดกันแน่น ลมหายใจถี่กระชั้น ลูกกระเดือกเวินเหลียงขยับขึ้นลง อู่เวยกล่าวขอร้องอ้อนวอนว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันนะคะ ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วย ฉันถูกบังคับจริงๆ ปล่อยพวกเราไปเถอะนะคะ”
เมื่อเห็นหลินยวนที่มองด้วยสายตาเย็นชาไม่มีความเคลื่อนไหว อู่เวยพลันตะโกนออกมาว่า ‘ไป’ ก่อนจะลากตัวเวินเหลียงวิ่งออกไป
เวินเหลียงตั้งตัวไม่ทัน ถูกกระชากจนสะดุดล้มลงไปกับพื้น สภาพล้มลุกคลุกคลาน
หลินยวนยื่นมือทั้งสองข้างออกมาจากในผ้าคลุม ลมโหมกระพือขึ้นมา ทั้งสองคนบินกลับมา หัวไหล่ของแต่ละคนถูกมือของหลินยวนกดเอาไว้
ภายในดวงตาของอู่เวยเต็มไปด้วยสายตาขอร้องวิงวอน เธอส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ได้โปรดเถอะนะคะ ปล่อยพวกเราไปเถอะค่ะ…”
หลินยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเธอ ฉันจะไม่ฆ่าพวกเธอ”
ทั้งสองคนตกตะลึง ไม่รู้ว่าที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่การถูกอีกฝ่ายจับเอาไว้แบบนี้มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะการแต่งกายที่แปลกประหลาดของอีกฝ่าย
หลินยวนชะโงกหน้ามา กระซิบกระซาบที่ข้างหูอู่เวย น้ำเสียงกลับเป็นเสียงปกติ แต่ยังคงแผ่วเบาอย่างมาก “ลืมทุกอย่าง ไปเริ่มต้นใหม่ซะ จำหลัวคังอันเอาไว้ ถ้าจะแค้นก็แค้นเขา”
หลินยวนยืดตัวถอยกลับไป จู่ๆ ลักษณะมือพลันเปลี่ยนแปลง กางออกเป็นกรงเล็บ ครอบลงไปบนศีรษะของทั้งสองคน
……………………………………………………………….