ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 44 หยุดฝัน
ตอนที่ 44 หยุดฝัน
หลินยวนไม่พูดอะไรอีก จ้องมองดูโจ๊กที่อยู่ภายในหม้อที่ไม่รู้ถูกใส่อะไรลงไปจนกลายเป็นสีสันต่างๆ ก่อนจะมองดูจางเลี่ยเฉินที่มีท่าทีผ่อนคลาย สุดท้ายลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังมอเตอร์ไซค์
จางเลี่ยเฉินเหลือบมองขึ้นมา “จะออกไปเหรอ? โจ๊กหม้อนี้ฉันตั้งใจทำตั้งนานนะ”
หลินยวนขึ้นคร่อมรถ “ถึงยังไงลุงก็เก็บเงินผมไปแล้ว นอกจากโจ๊กแล้ว ลุงทำอะไรอย่างอื่นที่มันอร่อยๆ ไม่เป็นเหรอ?”
จางเลี่ยเฉินกล่าว “ด้วยสภาวะของแกกับฉัน จะกินหรือไม่กินก็ไม่ได้ต่างกัน แค่กินๆ เข้าไปให้คลายความหิวตามธรรมชาติในท้องก็พอ อย่าเลือกกินเลย อีกอย่าง สมุนไพรที่ฉันใส่ลงไปในนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ แกอย่าโง่ไปหน่อยเลย”
หลินยวนบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์หมุนวนอยู่ภายในสวน “ผมจะออกไปทำธุระหน่อย ลุงกินไปแล้วกัน ผมไม่กิน” กล่าวจบก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
จางเลี่ยเฉินเหลือบมองดูประตูที่ปิดลงพลางส่ายศีรษะ จากนั้นโน้มตัวลงดมกลิ่นหอมของโจ๊กเล็กน้อย รู้สึกว่าได้ที่แล้ว จึงดับไฟแล้วยกหม้อลง….
……..
เมื่อออกมาจากโรงอีหลิว หลินยวนที่ขี่มอเตอร์ไซค์อย่างไม่เร่งร้อนมองดูกระจกมองหลัง หลังเลี้ยวตรงทางแยกที่อยู่เบื้องหน้า จู่ๆ เขาก็เร่งความเร็วพุ่งออกไป
ในตอนที่มาถึงสถานที่ลับตาคนแห่งหนึ่งภายในเมือง จู่ๆ เขาก็เลี้ยวลงไปจากทางหลัก มอเตอร์ไซค์บรรทุกคนพุ่งเข้าไปในป่า
รถคันหนึ่งที่ตามหลังมาไม่กล้าวิ่งตามเส้นทางของมอเตอร์ไซค์ไป จึงจอดลงตรงที่ที่หนึ่งที่อยู่ห่างจากจุดที่มอเตอร์ไซค์หักเลี้ยวลงข้างทางไป
คนสามคนลงมาจากรถ กระโดดเข้าไปในป่า อาศัยสภาพแวดล้อมอำพรางร่างกาย ค่อยๆ เดินหน้าไปตามทิศทางที่มอเตอร์ไซค์ขับตรงไป
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสามคนก็พบร่องรอยของมอเตอร์ไซค์ มันถูกจอดเอาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แต่หลินยวนที่เป็นคนขี่มันกลับหายตัวไปแล้ว
ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ทั้งสามคนซุ่มดูอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่เห็นหลินยวนปรากฏตัว ทั้งสามคนกระซิบกระซาบหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคนคนหนึ่งก็กระโดดขึ้นไปบนพุ่มไม้ด้านบน กระโจนไปตามต้นไม้คอยสอดส่อง ส่วนอีกสองคนกระจายตัวออกไปซ้ายขวา แยกกันค้นหาสามทาง
หลังเข้าไปในป่าได้ระยะหนึ่ง ทั้งสามคนก็ไม่พบร่องรอยใดๆ ของหลินยวน ทั้งรู้สึกกลุ้มใจและประหลาดใจ จึงลงมารวมตัวกันที่พื้น ขณะที่กำลังจะปรึกษาหารือกัน หนึ่งในนั้นพลันแสดงสีหน้าตกใจ อีกสองคนหันหน้ากลับไปมองทันที
พวกเขามองเห็นที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงทิศทางที่พวกเขาเข้ามามีคนผู้หนึ่งยืนพิงอยู่ โครงร่างที่มัดผมม้าเอาไว้หมุนตัวเดินมาทางพวกเขา นั่นคือหลินยวน
หลินยวนเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างไม่เร่งร้อน ฝ่าเท้าเหยียบย่ำไปบนใบไม้แห้งที่กองพะเนิน การย่างก้าวดูคล้ายไม่เร็ว แต่กลับเหมือนว่าพื้นที่กำลังหดสั้นลงอย่างไรอย่างนั้น ไม่นานก็เข้าไปใกล้พวกเขาทั้งสาม
ทั้งสามคนสบตากัน ในเมื่อถูกพบแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องหลบซ่อนตัวอีก พวกเขารีบสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นพลันส่งสายตา ก่อนจะกระจายตัวเป็นค่ายกลโจมตีสามมุม ล้อมหลินยวนเอาไว้ตรงกลาง
หลินยวนหยุดฝีเท้า กวาดตามองทั้งสามคน กล่าวถามว่า “พวกแกเป็นใคร ตามฉันมาทำไม?”
คนที่หันหน้าตรงกับหลินยวนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เตรียมจะติดต่อเบื้องบนเพื่อแจ้งสถานการณ์ว่าพวกเขาถูกพบตัวแล้ว ด้วยคิดอยากจะขอคำชี้แนะหน่อยว่าควรจะทำอย่างไร
แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ หลินยวนจะหายตัวไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขาราวดวงวิญญาณ มีเสียงผัวะดังขึ้น
ในตอนที่ร่างของหลินยวนปรากฏขึ้นอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็ค่อยๆ คุกเข่าลงไป โทรศัพท์มือถือและมือที่ถือโทรศัพท์ข้างนั้นถูกยัดเข้าไปในปากตัวเอง แขนครึ่งท่อนแทงจากปากลงไปในลำคอของตัวเอง ดวงตาเบิกโพลง ภายในกระบอกตามีเลือดไหลซึมออกมา ค่อยๆ ล้มลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น
อีกสองคนที่เหลือตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างรู้ว่าตัวเองมิใช่คู่ต่อสู้ของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้ หนึ่งในนั้นตอบสนองออกมาอย่างรวดเร็ว เคลื่อนตัวหายวับไปทันที
จากนั้นมีเสียงฉัวะๆ ดังขึ้นกลางอากาศ ร่างคนทั้งร่างถูกตัดออกเป็นหลายท่อน ละอองโลหิตสาดกระเซ็นลงมาบนพื้น
ผู้โชคดีที่รอดชีวิตที่กำลังคิดหนีพลันหยุดฝีเท้าทันที กวาดมองไปรอบด้านอย่างหวาดกลัว รับรู้ได้ถึงจิตสังหารบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าที่แอบซุ่มอยู่รอบด้าน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเหยียบใบไม้ดังลอยมาจากทางด้านหลัง เขาพลันเหลียวหน้ากลับไปมองทันที ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงด้วยความหวาดกลัว ค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างช้าๆ
หลินยวนที่เดินเข้ามาใกล้กล่าวออกมาอีกครั้งว่า “บอกมา ตามฉันมาทำไม?”
ผู้โชคดีโบกมือ กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในแหวนสารพัดนึก ปรากฏขึ้นในมือของเขา ต้องการต่อสู้ขัดขืน
หลินยวนยกมือเล็กน้อย กำไลข้อมือที่ดูโบราณเทอะทะบนข้อมือเริ่มหมุนขึ้นมา ภายในอากาศรอบด้านมีเสียงดังหวึ่งๆ
ผู้โชคดีตกใจกลัวจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่าง ทั่วทั้งร่างกายขยับเคลื่อนไหวได้ยาก คล้ายตกลงไปในตาข่ายดักนก
ตาข่ายล่องหนปากหนึ่งรัดตัวเขาเอาไว้ กระบี่ที่อยู่ในมือพยายามฟันตาข่ายให้ขาด เกิดเป็นเสียงดัง ‘เคร้งๆ’ ขึ้นมา กระบี่หักออกเป็นสามท่อน
นิ้วมือของหลินยวนตวัดทีหนึ่ง ตาข่ายพลันรัดแน่น
กระทั่งกระบี่ก็ยังถูกตัดขาด เจ้าสิ่งที่มองไม่เห็นนี้มีความคมแค่ไหนก็คงจะนึกออกได้ คนที่อยู่ภายในตาข่ายไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ทั้งตกใจและหวาดกลัว ไม่รู้ว่าถูกสิ่งที่น่ากลัวอะไรรัดเข้าแล้ว ไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วก็ไม่เคยเห็นมาก่อน กระทั่งใช้เนตรทิพย์แล้วก็ยังมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร
เพื่อนสองคนล้วนตายอยู่ตรงหน้า จุดจบของตัวเองเกรงว่าคงจะจินตนาการได้ไม่ยากเท่าไร ภายในใจรู้สึกหวาดกลัวจนถึงขีดสุด
หลินยวนกล่าวถามอีกครั้ง “ตามฉันมาทำไม?”
ผู้โชคดีกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “ถึงฆ่าฉันไป แกก็หนีไม่รอดอยู่ดี”
นิ้วมือของหลินยวนตวัดทีหนึ่ง ตาข่ายที่ไร้รูปลักษณ์ค่อยๆ รัดตัว เฉือนศีรษะของอีกฝ่ายจนเป็นรอย
ผู้โชคดีส่งเสียง ‘อื้อ’ ออกมาด้วยความเจ็บปวด บนใบหน้าเขามีรอยปริแตกสีแดงเป็นรูปตาข่ายไม่สมมาตรปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเฉือนลงไปในผิวหนังของเขาอย่างช้าๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าหวาดกลัว
หลินยวนจ้องมองดูเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “แกไม่พูด ฉันก็สืบได้อยู่ดี แต่ถ้าแกพูด ฉันจะไว้ชีวิตแก!”
ผู้โชคดีที่จมอยู่ในความเจ็บปวดสามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเฉือนเข้าไปในกระดูกของตน ความรู้สึกเจ็บปวดที่ค่อยๆ จมลงไปในกระดูกนั้นทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ส่งเสียงร้องอื้อๆ ออกมาพลางกล่าวว่า “ฉันบอกแล้วๆ ผีหงใช้ให้พวกฉันมา”
“ผีหงเป็นใคร?” หลินยวนกล่าวถาม
ผีหงเป็นหนึ่งในหัวหน้าแกงค์ใต้ดินของเมืองปู๋เชวี่ย พื้นที่เกือบหนึ่งในสามของเมืองเป็นเขตอำนาจของเขา
ผู้โชคดีที่รอดชีวิตเองก็ไม่รู้ว่าทำไมผีหงถึงต้องส่งคนมาตามหลินยวน อย่างไรซะก็คือผีหงส่งพวกเขาให้มาตามสืบหลินยวน
หลังจากสอบถามเรื่องราวจนชัดเจนแล้ว ข้อมือของหลินยวนก็สะบัดเล็กน้อย กำไลบนข้อมือหมุนขึ้นมาช้าๆ สุดท้ายสิ่งที่ดูเหมือนสมอเรืออันเล็กๆ อันหนึ่งก็ถูกเชือกที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งลากขึ้นมาจากในกองใบไม้แห้งบนพื้น เสียง ‘คลิก’ ดังขึ้น สมอเรืออันนั้นฝังเข้าไปในช่องบนกำไลข้อมือ ทำให้กำไลข้อมือกลับเป็นเหมือนปกติ
สิ่งที่ดูคล้ายสมอเรือแล้วก็คล้ายหัวลูกธนูนี้ฝังแนบสนิทไปบนกำไลข้อมือ คล้ายเป็นเนื้อเดียวกัน
ความจริงหลินยวนเองก็ไม่รู้ว่ากำไลข้อมือนี้มันคืออะไร ในอดีตหลังอาจารย์ผู้ลึกลับคนนั้นถ่ายทอดวิชาให้กับเขา อีกฝ่ายก็ให้ของขวัญเขามาชิ้นหนึ่ง บอกเพียงแต่ว่าชื่อของมันคือ ‘หยุดฝัน’ ความหมายที่แฝงอยู่ในชื่อนี้คือคนที่ตกอยู่ในการพันธนาการของมันอย่าได้คิดเพ้อฝันที่จะหลุดรอดไปได้
ภายในกำไลสามารถลากเชือกที่ยาวอย่างมากออกมาได้ เป็นเชือกที่มีขนาดเล็กอย่างมาก ไร้เงา ไร้สี ไร้แสง กระทั่งเนตรทิพย์ก็ยังยากที่จะมองเห็นได้
แล้วก็มีความเหนียวทนทานเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีความคมเป็นอย่างมาก สามารถตัดเหล็กตัดทองได้เหมือนตัดเต้าหู้
แต่ของที่ดูเหมือนมีขนาดเล็กจ้อยเช่นนี้ หากเป็นคนที่ไม่รู้จักวิธีใช้ก็ยากจะควบคุมมันได้
ปัจจุบันนี้เขาแทบจะไม่ค่อยได้ใช้มันแล้ว เพียงแต่ตอนนี้สภาวะถูกทำลายไปเกือบครึ่ง ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของผู้มาเยือน จึงไม่อยากทำพลาดอะไรง่ายๆ ถึงได้ใช้เจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
ผ้าคลุมสีดำผืนหนึ่งบินออกมาจากในแหวนสารพัดนึก คลุมลงบนร่างของหลินยวนพอดี
ผ้าสีเทาอ่อนผืนหนึ่งลอยตกลงมา ห่อหุ้มศีรษะของเขาเอาไว้ ภายใต้การใช้พลัง มันรัดเข้ากับศีรษะของเขาด้วยตัวเอง ตรงตำแหน่งดวงตาจมูกและปากปรากฏเป็นช่องขึ้นมา
หลินยวนยกมือดึงหมวกคลุมศีรษะที่ห้อยอยู่ด้านหลังผ้าคลุมขึ้นมาสวมไปบนศีรษะ ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกบดบังเอาไว้ ใบหน้าอีกครึ่งที่เหลืออยู่ก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นกัน
รอบด้านพลันมีลมพัดขึ้นมา ใบไม้แล้วก็ศพอีกสองศพม้วนเข้ามาหาเขา จู่ๆ เขาพลันสะบัดผ้าคลุมทีหนึ่ง สายลมที่โหมกระพือขึ้นมาส่งเสียงหวีดหวิวรุนแรง
โผละ! มีเสียงทึบๆ ดังขึ้น ศพระเบิดออก….
หลินยวนเดินออกมาจากละอองโลหิต บนมือหิ้วผู้โชคดีที่รอดชีวิตคนนั้นเอาไว้ โบยบินลงจากเขาไป
หลังหารถที่สะกดรอยตามมาคันนั้นพบแล้ว เขาก็มุดเข้าไปในรถแล้วขับออกไป…..
…….
ภายในห้องที่อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ผีหงที่ร่างกายกำยำนั่งพาดขาข้างหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะ พลิกเปิดดูสมุดบัญชี
หญิงวัยกลางคนที่มีเสน่ห์เย้ายวนที่อยู่ด้านข้างผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าไข่มุกเม็ดเล็กๆ ที่เปล่งแสงเบาบางและนุ่มนวลลังหนึ่ง เธอกำลังทำการนับเงินอยู่
อุปกรณ์ที่ใช้นับเงินคือแผ่นกระดานที่เจาะเป็นรูเล็กๆ เอาไว้พันรู เธอเอากระดานโกยลงไปในกองไข่มุก จากนั้นใช้แท่งไม้เรียบๆ แท่งหนึ่งปาดไปบนแผ่นกระดาน ไข่มุกที่ไม่ถูกปาดออกไปก็จะลงไปอยู่ในรูทั้งหนึ่งพันรูได้พอดี จากนั้นเทใส่ถุง รัดปากถุงให้แน่น ถุงละหนึ่งพันเม็ดพอดิบพอดี
หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็คือภรรยาของผีหง มีนามว่าสวีผิง
โทรศัพท์มือถือของผีหงดังขึ้น เขาถือสมุดบัญชีด้วยมือข้างเดียว หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย กล่าวถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
ปลายสายมีเสียงดังขึ้นมา “หัวหน้า พวกเราจับคนมาแล้วครับ”
ผีหงงุนงง โยนสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ฉันให้พวกแกไปสืบ ให้พวกแกไปจับตามอง บอกพวกแกว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ใครใช้ให้แกไปจับคนมา?”
สวีผิงที่นับเงินอยู่เงยหน้าขึ้นมา หยุดงานที่อยู่ในมือลงเช่นกัน
ปลายสายกล่าวว่า “หัวหน้า พวกเราก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เจ้านั่นมันระวังตัวอย่างมาก ก็เลยถูกมันพบเข้า จากนั้นก็ชิงลงมือกับพวกเราก่อนครับ”
ผีหงกัดฟัน “อีกสองคนล่ะ? เอาโทรศัพท์ให้เฮยโก่ว”
ปลายสายกล่าวว่า “เฮยโก่วถูกเป้าหมายเล่นงานจนบาดเจ็บหนักครับ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ผมเองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน หัวหน้า ถ้าไงหัวหน้าออกมาพาคนเข้าไปไหมครับ?”
สวีผิงเหลียวหน้ามองไปทางประตู ผีหงเองก็เหลียวหน้ามองไปเช่นกัน ทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกว่าเสียงของคนที่พูดคุยด้วยดังมาจากทางด้านนอกประตู
“ตูม!” กำปั้นข้างหนึ่งเจาะทะลุประตูเข้ามา หัวลูกธนูหัวหนึ่งที่อยู่บนกำไลข้อมือถูกยิงออกมา บินว่อนไปในห้องอย่างรวดเร็ว
สองสามีภรรยาที่มีการตอบสนองรวดเร็วรีบหลบเป็นพัลวัน โต๊ะเก้าอี้ภายในห้องถูกตัดขาดเป็นชิ้นๆ ไข่มุกเม็ดเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
ทันทีที่ภายในห้องเงียบสงัด เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น ประตูถูกพังเข้ามา หลินยวนที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำเดินเข้ามา เหยียบย่ำไปบนไข่มุกที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ค่อยๆ ก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน มองเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างมาก
สองสามีภรรยาถูกรัดเอาไว้ด้วยกัน บนร่างเต็มไปด้วยรอยแผล คิดอยากจะดิ้นรนแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“แกเป็นใคร?” ผีหงกล่าวตะคอก
หลินยวนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ต้องตะโกน ด้านนอกไม่มีใครตอบแกหรอก พูดมา ใครใช้ให้แกสืบหลินยวน?”
สองสามีภรรยาที่เบียดอยู่ด้วยกันสบตากัน ผีหงกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าแกพูดเรื่องอะไร”
หลินยวนกล่าว “ฉันไม่มีความอดทนที่จะมานั่งเล่นกันพวกแกนะ ลูกของพวกแกอยู่ในมือฉัน”
สองสามีภรรยาตกใจ ผีหงกล่าวเสียงคร่ำเคร่ง “เป็นไปไม่ได้!”
ลูกชายของพวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองปู๋เชวี่ย ด้วยอาชีพของพวกเขาสองคน พวกเขาจึงได้แอบส่งลูกชายไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว กระทั่งพวกเขาก็แทบจะไม่ค่อยได้เจอหน้าลูกชาย
หลินยวนหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ท่าทางคล้ายกำลังกดโทรไปหาเบอร์เบอร์หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกับใคร “จัดการเจ้าเด็กนั่นซะ”
ทันทีที่กล่าวจบ ผีหงถลึงตาจ้องมองหลินยวน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา
สวีผิงตกใจจนหน้าถอดสี รีบตะโกนว่า “อย่า! ฉันบอกแล้ว”
หลินยวนกล่าวอีกครั้งว่า “รอก่อน เดี๋ยวฉันบอกไปอีกที” กล่าวจบก็เก็บโทรศัพท์มือถือ ไม่เปิดโอกาสให้ได้เจรจาใดๆ
ความจริงไม่มีตัวประกันอะไรทั้งนั้น เขารู้เพียงแต่ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน….
จากนั้นครู่หนึ่ง ภายในห้องมีเสียงตู้มดังขึ้น ฝุ่นควันฟุ้งกระจายออกมาจากประตูทางเข้า แล้วก็ยังมีไข่มุกเม็ดๆ สาดกระจายออกมาด้วย
หลินยวนที่สวมผ้าคลุมสีดำเดินออกมาจากในฝุ่นควัน ด้านหลังมีโซ่เหล็กอยู่เส้นหนึ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งถูกโซ่เหล็กมัดเอาไว้แล้วลากออกมา
ริมกำแพงในอุโมงค์ทางเดิน ผู้โชคดีที่ยืนพิงกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรงคนนั้นมองดูภาพเหตุการณ์นี้อย่างตกตะลึง
จู่ๆ หลินยวนที่เดินผ่านก็ผลักฝ่ามือออกมา กดศีรษะของเขาอัดเข้าไปในกำแพง ผู้โชคดีไม่ได้โชคดีอีกต่อไป แขนขากวัดแกว่งเล็กน้อย แต่กลับไม่ล้มลงกับพื้น คล้ายว่าถูกแขวนเอาไว้บนกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
…………………………………………………………………