ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 42 ขอร้องคุณเรื่องหนึ่งได้ไหม
ตอนที่ 42 ขอร้องคุณเรื่องหนึ่งได้ไหม
เมื่อพูดถึงเรื่องขังคุก พานหลินอวิ๋นก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย “นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ตระกูลโจวส่งนายมาทำไมเนี่ย?”
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “เธอมาโมโหใส่ฉันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันแค่อธิบายสถานการณ์ให้ฟังเท่านั้น แต่ขอเพียงเธอยังมีสติอยู่ เธอก็น่าจะเข้าใจที่ฉันพูด การลงมือในเมืองปู๋เชวี่ยตอนนี้มันไม่เหมาะจริงๆ เธอไปทำให้ลั่วเทียนเหอโกรธมาแล้วทีหนึ่ง ถ้าเราก่อเรื่องขึ้นอีก ตระกูลเธอกับตระกูลฉันคงรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่”
“เธอเชื่อหรือเปล่าว่าขอเพียงตระกูลฉินเกิดเรื่องขึ้น ลั่วเทียนเหอจะต้องสงสัยว่าพวกเราเป็นคนทำอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่มีหลักฐานอะไร มันก็มีโอกาสที่เขาจะจับเราไปก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ไม่มีหลักฐาน เขาก็สร้างมันขึ้นมาได้อยู่ดี ถ้าเธอจะก่อเรื่องให้ได้ล่ะก็ เธอช่วยบอกฉันก่อนล่วงหน้าก็แล้วกัน ให้ฉันออกไปจากเมืองปู๋เชวี่ยก่อน ถึงตอนนั้นเธออยากทำอะไรก็แล้วแต่เธอเลย ฉันว่านะคุณหนูสาม ที่ท่านประธานพานยังให้เธออยู่ที่นี่ได้ เขาคงจะเตือนเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามไม่คิดหน้าคิดหลัง?”
เมื่อพูดถึงเรื่องคำเตือนของผู้เป็นพ่อ พานหลิงอวิ๋นก็ใจเย็นขึ้นมาไม่น้อยทันที ครั้งนี้ที่เธอให้พี่รองกลับไปได้ สามารถทำให้ตัวเองยังอยู่ที่นี่ได้ นั่นเป็นเพราะเธอรับรองกับพ่อของเธออย่างหนักแน่น พ่อของเธอถึงได้รับปากให้โอกาสเธอได้ล้างอายอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนที่สายตากวาดมองไปบนโต๊ะ เธอพลันหยุกชะงักไปเล็กน้อย คล้ายคิดถึงอะไรขึ้นมา ยื่นมือไปเคาะบนรูป “หลัวคังอันคนนี้ลามกเจ้าชู้จริงๆ เหรอ?”
เจ้าหยวนเฉินกล่าว “ก็ประมาณนั้นแหละมั้ง ได้ยินว่ามาแค่ไม่กี่วันก็พาสาวออกไปจากไนต์คลับหลายคนแล้ว”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “ได้ยินว่า? ป่านนี้แล้ว การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว นายยังไม่แน่ใจอะไรสักอย่างแบบนี้น่ะเหรอ?” ปลายนิ้วของเธอชี้ไปบนนิตยสารที่ติดอยู่บนกำแพงในรูปถ่ายรูปนั้น “เสวี่ยหลานคนนี้ นายไปสืบมาให้แน่ว่าหลัวคังอันมันชอบเธอจริงๆ หรือเปล่า นายต้องให้คำตอบที่แน่ชัดกับฉันให้ได้!”
คำพูดนี้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายเท่าใดนัก เจ้าหยวนเฉินเลิกคิ้วพลางกล่าว “พานหลิงอวิ๋น พวกเราร่วมมือกันด้วยสถานะเท่าเทียมกัน ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังเธอออกคำสั่งนะ”
พานหลิงอวิ๋นเคาะไปบนรูปถ่ายอีกครั้ง “แซ่เจ้า เราจะทำอะไรกับเทพมหาวิญญาณของตระกูลฉินได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ตรงหน้ามีโอกาสแล้ว นายจะทำหรือไม่ทำ?”
มีโอกาส? เจ้าหยวนเฉินงุนงงไปเล็กน้อย กล่าวถามอย่างสงสัยว่า “พวกเราเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพไม่ได้…หรือว่าเธออยากจะใช้แผนหญิงงามทำให้หลัวคังอันหักหลังฝั่งนั้น? ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าแผนนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ แต่ฉันกล้ารับรองเลยว่าทุกคนที่ติดต่อกับหลัวคังอันจะต้องอยู่ภายใต้การจับตามองของตระกูลฉินอย่างแน่นอน ถ้ามีตระกูลฉินคอยจับตามองอยู่ แผนหญิงงามแผนนี้ก็ไม่มีทางใช้ได้ผล”
พานหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ฉันย่อมต้องมีวิธีของฉัน นายรีบไปตรวจสอบเรื่องนี้มาก็แล้วกัน เดี๋ยวนายก็รู้เองว่าฉันจะทำอะไร”
สายตาที่เจ้าหยวนเฉินจ้องมองดูเธอวูบไหวไปมา เขากำลังครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้วิธีอะไรกันแน่
“เรื่องอื่นๆ เดี๋ยวฉันเป็นคนจัดการเอง นายจัดการเรื่องนี้ให้เร็วก็แล้วกัน” พานหลิงอวิ๋นลุกขึ้น พร้อมกับหยิบรูปถ่ายรูปหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า วางลงไปตรงหน้าเจ้าหยวนเฉิน “ยังมีอีกคนหนึ่ง ฉันกำลังจะสืบเรื่องเขา เดี๋ยวให้นายเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ไปสืบประวัติของคนคนนี้มา พวกเราต้องแยกกันไปจัดการ”
เจ้าหยวนเฉินหยิบเอารูปขึ้นมาดู พบว่าเป็นผู้ชายที่มัดผมหางม้าคนหนึ่ง นั่นคือรูปของหลินยวน เขาอดงุนงงไปเล็กน้อยไม่ได้ “คนคนนี้ฉันเคยสืบเรื่องเขามาเล็กน้อย ชื่อหลินยวน เป็นคนขับรถพาหลัวคังอันเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพ ต่อให้เขาสามารถเข้าไปในค่ายผู้พิทักษ์เทพได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้เข้าใกล้เทพมหาวิญญาณ ทางที่ดีที่สุดตอนนี้อย่าอะไรที่ไม่จำเป็นจนแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า”
พานหลิงอวิ๋นกล่าว “เป็นคนขับรถน่ะไม่ผิดหรอก แต่ที่น่าแปลกก็คือคนในหอการค้าตระกูลฉินกลับไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไรกันแน่ แล้วก็ได้ยินว่าห้องทำงานของเขาดีกว่าห้องทำงานของหลัวคังอันอีก นายไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ? ระวังเอาไว้หน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”
เจ้าหยวนเฉินเข้าใจแล้ว ผู้หญิงคนนี้ได้แอบวางหูตาของตัวเองเอาไว้ในหอการค้าตระกูลฉิน
“รีบจัดการซะ” พานหลิงอวิ๋นกล่าวทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
เจ้าหยวนเฉินเหลียวหน้ากลับไปมองดูเธอหายไปตรงบันได ปากกล่าวพึมพำขึ้นมา “ไอตัวประหลาดจะชายไม่ชาย จะหญิงไม่หญิง อวดดีอะไร? สักวันเธอจะต้องเสียใจ!”
ปากด่าทอไป ส่วนตัวคนก็ลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง กวักมือออกไปด้านนอก
ไม่นานเฉาลู่ผิงก็กลับเข้ามา เดินเข้ามาใกล้เขา “เจ้าซยง”
เจ้าหยวนเฉินหมุนตัวไปมองเขา “เสวี่ยหลานคนนั้น ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีอะไร ฉันต้องการรู้ให้ได้ว่าหลัวคังอันมันชอบเธอจริงๆ หรือเปล่า จำเอาไว้ ต้องสืบมาให้ได้ ต้องเร็วด้วย ฉันมีเวลาไม่มากแล้ว”
เฉาลู่ผิงพยักหน้าตอบรับ
เจ้าหยวนเฉินส่งรูปให้เขาอีกใบหนึ่ง “คนที่ชื่อหลินยวนคนนี้ นายไปสืบมาอีกที”
เฉาลู่ผิงประหลาดใจ ตอนแรกเจ้าหยวนเฉินกลัวว่าจะไปแหวกหญ้าให้งูตื่น คนที่ไม่สำคัญประเภทนี้ได้ถูกเจ้าหยวนเฉินตัดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงต้องกลับไปจับตามองใหม่อีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ในเมื่อเขาถูกคนของตระกูลโจวใช้งานแล้ว เขาก็ได้แต่ต้องทำตาม เพราะเขาแบกรับผลของการปฏิเสธไม่ไหว
……
ภายในไนต์คลับที่มีแสงไฟวูบไหวไปมาดูสับสน หลัวคังอันที่นั่งอยู่โบกมือเล็กน้อย
อู่เวยที่เดินลงมาจากเวทีรับเอาเสื้อนอกตัวหนึ่งมา คลุมไว้บนร่างที่สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นของเธอ ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างกายหลัวคังอัน
หลังดื่มเบียร์ไปขวดนึง เธอก็กล่าวขึ้นมาว่า “ที่นี่เสียงดังเกินไป ไปนั่งเล่นบ้านคุณกันเถอะค่ะ”
หลัวคังอันตาเป็นประกาย
อู่เวยยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายศีรษะ ก่อนจะหยิบเอาเบียร์อีกขวดหนึ่งมากระดกเข้าปาก
เธอรีบวางขวดเบียร์แล้วบิดกายหลบ ขณะเดียวกันยังกวาดตามองดูรอบๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกคนรู้จักพบเข้า
ครั้งที่แล้วเธอแกล้งทำเป็นเมา แต่ครั้งนี้เธอยังมีสติครบถ้วน เธอยังคงหวาดกลัวสายตาของคนรู้จักที่มองมา
แต่ความจริงนั่นล้วนแต่เป็นการปลอบใจตัวเอง
เพราะว่านี่เป็นที่สถานที่เปิด หลัวคังอันจึงได้แต่ต้องอดใจเอาไว้ มือที่ยื่นออกไปดึงกลับมา ชนขวดเบียร์กับเธอแล้วกล่าวหยอกล้อว่า “ไม่รีบ หรือฉันต้องกลัวเธอหนี?”
อู่เวยกล่าวว่า “คุณก็รู้ ฉันมีแฟนอยู่ เอาไว้เขาหายป่วยแล้วฉันจะเลิกกับเขา” ก่อนจะชี้ไปที่หัวใจของตัวเองเพื่อบอกว่าแบบนั้นเธอจะได้สบายใจหน่อย
หลัวคังอันลอบยินดี เขาวางขวดเบียร์ลง มือหนึ่งคีบซิการ์ขึ้นมา อีกมือหนึ่งเชยคางเธอเล็กน้อย กล่าวว่า “ฉันจะรอเธอ”
อู่เวยชี้ไปที่หูของตัวเอง ก่อนจะชี้ไปรอบๆ เพื่อบอกว่าที่นี่หนวกหูจริงๆ จากนั้นเอียงศีรษะเพื่อบอกให้ออกไปข้างนอก
หลัวคังอันลุกขึ้นแล้วคิดเงินทันที
เมื่อเดินออกมาจากประตูร้าน ออกห่างจากความวุ่นวาย อากาศด้านนอกค่อนข้างเย็น อู่เวยเอาเสื้อมาคลุมตัว ขณะเดียวกันก็เอาเชือกเส้นหนึ่งขึ้นมามัดผมไว้อย่างช่ำชอง เดินตามหลัวคังอันขึ้นรถไป
รถวิ่งไปบนถนน หลัวคังอันที่ขับรถเห็นเธอดูคล้ายเหม่อลอย จึงกล่าวถามว่า “คิดอะไรอยู่เหรอ?”
อู่เวยยิ้มเล็กน้อย “กลัวว่าคุณจะไม่รักษาคำพูด”
เธอรู้สึกกลัวจริงๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้กำลังบังคับขืนใจ อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเพียร หากเขายืนกรานที่จะทำจริงๆ เธอก็ไม่มีแรงที่จะตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
แต่ครั้งนี้เธอจำเป็นต้องออกมากับหลัวคังอันอีกครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องที่วันนี้เธอออกจากบ้านมาได้เพียงครู่หนึ่ง หลังจากกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง เธอก็พบเข้ากับนิ้วมือที่อาบเลือดนิ้วหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะภายในบ้าน เธอใจสั่นขึ้นมาทันที รู้ว่านั่นเป็นนิ้วมือของใคร ตอนนั้นเธอร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก ในตอนนี้ก็ยังตื่นตระหนกอยู่
หลัวคังอันยิ้มพลางกล่าว “วางใจได้ ฉันเป็นคนมีหลักการ”
ภายนอกแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไร แต่ภายในใจกลับลอบสาปแช่งแฟนหนุ่มของอู่เวยคนนั้น ตอนนี้ถูกอู่เวยดึงความสัมพันธ์เอาไว้แบบนี้ เขาเองก็ไม่สะดวกจะไปเกี้ยวผู้หญิงคนหนึ่งในไนต์คลับ ด้วยกังวลว่าอู่เวยที่กำลังจะอยู่ในกำมือเขาจะหนีไป จึงได้แต่ต้องอดทนเอาไว้ก่อน
“คุณพอจะช่วยฉันเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ?” อู่เวยพลันเหลียวหน้ากลับมาถาม
หลัวคังอันตอบทันที “ว่ามา”
อู่เวยมองดูเขาด้วยสายตาที่มีความคาดหวังอยู่เล็กน้อย “เพื่อนของฉันคนหนึ่งไปทำให้พวกนักเลงบางคนไม่พอใจ คุณพอจะช่วยหน่อยได้ไหมคะ?”
เธอมองว่าคนที่สามารถสู้กับป้าหวังได้ แล้วยังทำให้พวกเฉาเหยี่ยระมัดระวังได้เช่นนี้จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจจะช่วยเธอให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเฉาเหยี่ยได้ก็เป็นได้
ภายในใจหลัวคังอันเริ่มบ่นงึมงำขึ้นมา แต่เขาไม่อยากก่อปัญหาอะไร จึงยิ้มกรุ้มกริ่มพลางกล่าวว่า “ฉันจะได้อะไร?”
อู่เวยกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ต่อไปฉันจะเป็นผู้หญิงของคุณ ฉันพูดคำไหนคำนั้น”
มุมปากของหลัวคังอันยกขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้ต้องรอให้เธอเลิกกับแฟนหนุ่มของเธอก่อนค่อยว่ากันดีกว่า”
อู่เวยรีบกล่าวว่า “เพราะว่าฉันทำงานแบบนี้ ทำให้มีผู้ชายเข้าหาเยอะ เขาคอยจับตาดูฉันทุกฝีก้าว ปกติไม่ให้ฉันคุยกับผู้ชายคนอื่นเลย นี่ฉันออกมากับคุณแบบเปิดเผยแบบนี้ เดี๋ยวเขาจะต้องรู้แน่นอน ถึงตอนนั้นไม่อยากเลิกก็คงไม่ได้แล้ว”
หลัวคังอันหัวเราะหึหึพลางกล่าว “เรื่องของพวกนักเลงเนี่ย ฉันขอแนะนำให้เธอใช้วิธีที่ถูกต้องจัดการจะดีกว่า ถ้าอีกฝ่ายทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมายดินแดนเซียน เธอก็ไปฟ้องร้องได้ เดี๋ยวคนของผู้พิทักษ์เมืองก็จะช่วยเธอเอง”
ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น อู่เวยทำงานอยู่ในไนต์คลับ รู้จักคนเหล่านั้นดี นอกเสียจากคนของผู้พิทักษ์เมืองจะฆ่าคนเหล่านั้นจนหมด มิเช่นนั้นช้าเร็วคนเหล่านั้นก็ต้องมาคิดบัญชีกับเธอแน่นอน
อู่เวยกัดฟัน “ถ้าคุณกลัวฉันจะผิดคำพูด ขอเพียงคุณรับปาก…”
หลัวคังอันรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่รับปาก “ฉันเป็นคนมีหลักการ ไม่ยุ่งกับเรื่องสกปรกของพวกคนไม่ดี”
เขาเป็นคนมีหลักการจริงๆ เหตุผลสำคัญเป็นเพราะกลัวจะก่อปัญหาให้ตัวเอง ถ้าเป็นปัญหาที่สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าไปยุ่งกับเรื่องยุ่งยากที่ทำให้ต้องเสียการเสียงานนั้นไม่จำเป็น
พูดอีกอย่างก็คือเขาขี้ขลาด
หรือก็คือเขาไม่เคยคิดที่จะให้อู่เวยมาเป็นผู้หญิงของเขา เขาไม่คิดที่จะแห้งตายอยู่บนต้นไม้ต้นเดียว
กว่าเขาจะยินดีแห้งตายอยู่บนต้นไม้ต้นเดียว นั่นก็คงเป็นตอนที่เขาคิดจะแต่งงานแล้ว ผู้หญิงสวยๆ แบบอู่เวยแล้วยังไง? เขาเห็นมาเยอะแล้ว คนที่ไม่สามารถเอามาเชิดหน้าชูตาได้แบบนี้ไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย
อู่เวยมองเขาตาปริบๆ รู้สึกผิดหวัง ค่อยๆ เอียงศีรษะไปพิงกระจกรถ มองดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกกระจกรถอย่างเหม่อลอย
เดิมทีเธอยังคิดว่าขอเพียงหลัวคังอันยินดีช่วยเธอ เธอก็จะบอกเล่าเรื่องราวให้อีกฝ่ายฟัง ในเวลานี้เธอพบว่าตัวเองไร้เดียงสาเกินไป คิดอะไรง่ายเกินไป
“ฉันว่าเธอคงเหนื่อยแล้ว บ้านเธออยู่ไหน เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านแล้วกัน” หลัวคังอันพลันกล่าวอย่างมีมารยาทขึ้นมา พูดให้ถูกคือเขาถูกคำพูดของอู่เวยดึงสติขึ้นมา กลัวว่าจะสร้างปัญหายุ่งยากให้ตัวเอง จึงหมดความรู้สึกสนใจในตัวอู่เวย
เขาตัดสินใจไปหาจูเก่อม่าน รู้สึกว่าผู้หญิงที่มีการมีการดีๆ ทำเหมือนอย่างจูเก่อม่านนั้นดีกว่า ถ้าดีก็อยู่ด้วยกัน ไม่ดีก็แยกย้ายกันไป ไม่มีทางที่จะละทิ้งงานของตัวเองเพื่อมาพัวพันกับเขา
“รู้สึกเบื่อนิดหน่อย ไม่อยากกลับบ้าน อยากสูดอากาศหน่อย คุณหาที่ปล่อยฉันลงข้างทางแล้วกันค่ะ”
“ได้ยังไง แบบนั้นอันตราย ฉันสูดลมเป็นเพื่อนเธอก็แล้วกัน”
“เสวี่ยหลานที่อยู่บนกำแพงบ้านคุณสวยกว่า หรือว่าฉันสวยกว่าคะ…”
……………………………………………