ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 39 แผนรับมือ
ตอนที่ 39 แผนรับมือ
ทำไมไป๋หลิงหลงถึงต้องทำแบบนี้?
เป็นความคิดของไป๋หลิงหลงเอง หรือว่าเป็นความคิดของฉินอี๋ หรือว่าเป็นความคิดของฉินเต้าเปียน?
เขาไม่มีทางลืมบทสนทนาระหว่างเขากับหลิ่วจวินจวินในคืนนั้น หลิ่วจวินจวินมาพูดแทนใครนั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก หากฉินเต้าเปียนอยากจะจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเขามันก็มีความเป็นไปได้
เขาได้ก่อเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาในเมืองปู่เชวี่ยอย่างไม่ตั้งใจ แต่เรื่องแบบนี้ทำให้สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบใกล้เข้ามา ทำให้เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้าและลงมือแก้ไขมันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ไฟหน้ารถที่อยู่ภายในที่รกร้างภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิดส่องสว่างหลินยวนที่กำลังยืนครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ข้างไฟหน้ารถ
หากนี่เป็นความคิดของฉินเต้าเปียน เขาก็สามารถมองข้ามมันไปได้ ไม่ได้เป็นอันตรายในแบบที่เขาต้องกังวล
ถ้าหากเป็นความคิดของฉินอี๋ นั่นก็ยิ่งไม่อาจเรียกว่าอันตรายได้ มันก็เป็นแค่เพียงความคิดที่อยากจะแก้แค้นทำให้อับอายเท่านั้น
เพียงแต่วิธีการแก้แค้นและทำให้อับอายของผู้หญิงคนนั้นทำให้เขาค่อนข้างงุนงงอยู่บ้าง ลากเขาเข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่นี่กลับให้เขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องเทพมหาวิญญาณที่ไม่ใช่งานปกติอีก ดูแล้วไม่คล้ายเป็นการแก้แค้นเลย นี่ทำให้เขาอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าหรือผู้หญิงคนนี้จะยังมีเยื่อใยกับตนเองอยู่
แต่ภายหลังเมื่อลองคิดๆ ดูแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากไป จากกันมาสามร้อยปี มันจะยังมีความรักคงเหลืออยู่มากน้อยเท่าไรกันเชียว?
เขากลับมาด้วยสภาพตกอับเช่นนี้ หากไม่เปิดเผยความจริงใดๆ ออกไป ผู้หญิงคนไหนจะมามองเขา? ก็มีแต่ผู้หญิงอย่างเถาฮวาที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพนักงานระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉินเท่านั้นถึงจะมีโอกาสชายตามามองเขา ทั้งสองฝ่ายไม่เคยติดต่อกันมาเป็นเวลาสามร้อยปี หากเขายังคิดว่าฉินอี๋ที่เป็นถึงประธานของหอการค้าตระกูลฉินในวันนี้ยังคงมีเยื่อใยกับตัวเองอยู่ล่ะก็ นั่นมันก็ออกจะหลงตัวเองเกินไปหน่อยแล้ว
วันเวลาสามร้อยปี ผ่านความยากลำบากมามากมาย แล้วก็เคยเห็นเรื่องราวที่กาลเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนมาแล้วมากมายเช่นกัน
เมื่อกลับมาอีกครั้ง เขาก็ไม่ใช่หลินยวนเมื่อในอดีตอีกแล้ว อารมณ์ความคิดเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มไม่มีเหลืออยู่อีก
ถึงแม้ในอดีตจะมีความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย แต่มันก็มีความรู้สึกดีๆ แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ในตอนนี้ เขาไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ในด้านของความรักหนุ่มสาวต่อฉินอี๋อีกแล้ว
พูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ต่อฉินอี๋ สิ่งที่มีอยู่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกผิดที่เคยทำผิดพลาดลงไปด้วยความไม่รู้เมื่อในอดีตเท่านั้น
ดังนั้นหากเป็นเพียงแค่การติดกล้องจับตาดูเพื่อการแก้แค้นของฉินอี๋ เช่นนั้นมันก็ไม่ได้มีอันตรายใดๆ ที่เขาต้องกังวล ส่วนในเรื่องอื่นๆ ในเมื่อเขาสามารถเข้าไปทำงานในหอการค้าตระกูลฉินได้ เขาก็ย่อมสามารถอดทนได้
คนที่เขารู้สึกกังวลจริงๆ ในเวลานี้กลับเป็นไป๋หลิงหลง หากเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉินเต้าเปียนและฉินอี๋ แต่เป็นความคิดของไป๋หลิงหลงเพียงคนเดียวล่ะก็ อย่างนั้นไป๋หลิงหลงคิดจะทำอะไรกันแน่? เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?
บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป แต่เรื่องที่เขาเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องนั้นเป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก นี่ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ถึงสาเหตุของเรื่องนี้
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องตัดคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป จำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นความคิดของใครกันแน่ เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับมือในขั้นต่อไป
ซินกว่างเฉิงที่ยังหอบหายใจเบาๆ ทำลายความเงียบขึ้นมา จู่ๆ เขาพลันถามว่า “แกเป็นใครกันแน่?”
หลินยวนพลันจ้องมองสองตาของเขาด้วยสายตาเย็นชา “แกคิดว่าฉันเป็นใคร?”
ซินกว่างเฉิงยิ้มอย่างเจ็บปวด “ฉันไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่าคนที่ทำให้ผู้ช่วยไป๋สนใจถึงขนาดนี้ได้จะต้องไม่ใช่พนักงานธรรมดาๆ ในหอการค้าแน่ ได้ยินว่าแกเพิ่งจะเข้ามาทำงานในหอการค้า แกคิดจะทำอะไรในหอการค้ากันแน่?”
คิดจะทำอะไร? หลินยวนอยากจะบอกเขาจริงๆ ว่าหากมิเป็นเพราะฉินอี๋คนนั้นบังคับให้เขาเข้ามา แกคิดหรือว่าฉันอยากจะเข้ามา?
แต่พูดเรื่องนี้กับอีกฝ่ายไปก็ไม่มีประโยชน์ คำพูดนี้ของอีกฝ่ายทำให้เขามั่นใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ จึงปล่อยสาบเสื้อของอีกฝ่าย จู่ๆ สองมือพลันคว้าจับแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นดึงแล้วดัน เกิดเสียงกึกๆ ดังขึ้น
“อึก…” ซินกว่างเฉิงส่งเสียงขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด จู่ๆ พลันรู้สึกได้ถึงกระแสความร้อนสองสายที่ไหลไปยังหัวไหล่ทั้งสองข้าง ความเจ็บปวดบริเวณข้อต่อหัวไหล่สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก อีกทั้งยังรู้สึกสบาย รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้พลังช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ตัวเอง ซินกว่างเฉิงมองดูหลินยวน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่
เมื่อรักษาได้พอประมาณแล้ว หลินยวนก็ปล่อยมือจากเขา “กลับไปทายาซะ พรุ่งนี้ไปทำงานได้ไม่มีปัญหา”
ซินกว่างเฉิงแสดงสีหน้าเย้ยหยันตัวเอง “พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดไปแล้ว แกคิดว่าหอการค้ายังจะเอาฉันไว้อย่างนั้นเหรอ?”
หลินยวนตอบไม่ตรงกับคำถามของเขา “กล้องที่เกิดปัญหาตัวนั้น ฉันเป็นคนทำเอง”
ซินกว่างเฉิงงุนงง ไม่รู้ว่าที่เขาพูดมันหมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็เข้าใจ อีกฝ่ายจงใจทำให้กล้องเสียแค่ตัวเดียวแทนที่จะทำให้เสียทั้งหมด นั่นก็เพื่อจะล่อให้เขามาทำการตรวจสอบและซ่อมแซม เขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะติดกับที่อีกฝ่ายวางเอาไว้
หลินยวนกล่าว “ไม่มีใครรู้เรื่องในวันนี้ แกสามารถทำตัวเหมือนปกติได้ ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น”
สีหน้าของซินกว่างเฉิงค่อยๆ บิดเบี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย เขาแสยะยิ้มพลางกล่าว “แกคิดจะทำให้ผู้ช่วยไป๋คิดว่าแกไม่พบอะไรอย่างนั้นเหรอ แกคิดจะทำให้ผู้ช่วยไป๋คิดว่าแกยังอยู่ในการจับตาดูของเธออย่างนั้นเหรอ?”
หลินยวนสังเกตดูท่าทีของอีกฝ่าย เขามองออกแล้ว การที่อีกฝ่ายสามารถกลายเป็นผู้จัดการแผนกธุรการของหอการค้าได้ นั่นแสดงว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่หอการค้าทำการคัดเลือกออกมาเป็นอย่างดีแล้ว ภายในใจย่อมต้องมีความภักดีต่อหอการค้าตระกูลฉิน เวลานี้เมื่อได้สติขึ้นมา เขาคล้ายจะไม่ยอมทรยศเป็นครั้งที่สอง
แต่การตอบสนองของหลินยวนนั้นเฉยชาเป็นอย่างมาก “ไม่ แกคิดมากไปแล้ว สาเหตุที่ฉันเข้าไปในหอการค้าตระกูลฉินนั้นไม่ได้มีแผนชั่วอะไรเหมือนอย่างที่แกคิดเลย ที่ฉันมาหาแกก็แค่อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าใครในหอการค้าที่มาจับตาดูฉัน กล้องตัวนั้นฉันเป็นคนทำเสียเอง …… พรุ่งนี้ฉันจะหากล้องออกมาทั้งหมดแล้วไปหาท่านประธาน”
“ส่วนเรื่องที่ว่าไป๋หลิงหลงทำแบบนี้ทำไม นี่ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องสนใจ เดี๋ยวท่านประธานจะเป็นคนจัดการเอง ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก ฉันเพียงแค่มาหาแกเพราะต้องการยืนยันเรื่องเล็กๆ บางเรื่องเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องทำลายอาชีพของแก ฉันต้องขอโทษด้วยที่สร้างความลำบากให้แก”
บอกเรื่องทั้งหมดกับท่านประธาน? ซินกว่างเฉิงรู้สึกสงสัย อีกฝ่ายจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?
หลินยวนกล่าว “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่แก แกลองไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ได้ หรือแกจะไปสารภาพกับไป๋หลิงหลงก็ได้ว่าแกทรยศเธอไปแล้ว แกจะเลือกอย่างไรฉันไม่บังคับ แกจัดการเอาเองก็แล้วกัน” กล่าวจบก็หมุนตัวจากไป
หลังขึ้นไปบนเนินด้านบน เขาก็เหลียวหน้ากลับมามองอีกครั้ง พร้อมทั้งกล่าวทิ้งท้ายให้กับคนที่ยืนแหงนหน้ามองอยู่ในหลุมว่า “เสื้อผ้าสกปรกแล้ว ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาอะไร ก่อนกลับบ้านก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ จะได้ไม่มีคนสงสัยอะไร” กล่าวจบร่างกายพลันวูบไหว หายไปราววิญญาณดวงหนึ่ง
ซินกว่างเฉิงงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ สีหน้าดูสับสน หมุนตัวกลับมาอย่างทุกข์ใจ เดินไปยังประตูพลางยื่นมือออกไปเปิดประตูรถ จากนั้นถึงได้พบว่าแขนทั้งสองข้างของตนเองขยับได้แล้ว แขนทั้งสองข้างที่ไหล่หลุดฟื้นตัวกลับเป็นปกติ เพียงแค่มีความรู้สึกไม่ค่อยชินเล็กน้อยเท่านั้น….
……
เงาร่างสายหนึ่งกระโดดเข้าไปในพุ่มหญ้า หลินยวนกลับมายืนอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์ที่ซ่อนอยู่ในพุ่มหญ้า ก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรหากวนเสี่ยวไป๋
กวนเสี่ยวไป๋ที่กำลังจัดของอยู่ภายในโกดังหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมามอง ก่อนจะเดินหลบออกมาจากพนักงานสองคนนั้นทันที เมื่อมาถึงมุมเงียบๆ แล้วจึงรับสาย กล่าวถามว่า “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หลินยวนกล่าวถาม “แกถามเสี่ยวชิงเรื่องซินกว่างเฉิงเหรอ?”
กวนเสี่ยวไป๋งุนงง “ก็แกให้ฉันถามเสี่ยวชิงไม่ใช่เหรอ?”
หลินยวนกล่าวถาม “แกถามยังไง?”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “ก็ต้องหาข้ออ้างสิ ฉันทำรับซื้อของเก่าใช่ไหมล่ะ ซินกว่างเฉิงดูแลแผนกธุรการอยู่ เรื่องทิ้งของเก่าซื้อของใหม่เขาต้องเป็นคนจัดการอยู่แล้ว ฉันอยากรู้จักซินกว่างเฉิงหน่อยมันก็สมเหตุสมผลอยู่ ก็เลยบอกเสี่ยวชิงว่าให้นัดให้หน่อย…ทำไม ใช้ข้ออ้างนี้ไม่เหมาะเหรอ?”
หลินยวนกล่าว “ฉันก็แค่ถามดู แล้วเสี่ยวชิงรับปากหรือเปล่า?”
กวนเสี่ยวไป๋แค่นหัวเราะออกมา “นังเด็กนั่นไม่ยอมรับปาก บอกว่าเพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่ง กลัวจะมีผลกระทบกับงาน”
หลินยวนกล่าว “ไม่เป็นไร ในเมื่อแกถามแล้ว ต่อไปพอเสี่ยวชิงเจอซินกว่างเฉิงอีก เธอจะต้องจับตามองดูมากขึ้นแน่”
กวนเสี่ยวไป๋กล่าว “หมายความว่าไง?”
หลินยวนกล่าว “เอาไว้แกลองถามๆ เสี่ยวชิงดูนะว่าซินกว่างเฉิงกับผู้ช่วยไป๋คนนั้นได้เจอกันหรือเปล่า แล้วพอเจอกันแล้วเขามีสีหน้าท่าทางผิดปกติหรือเปล่า ใช้ข้ออ้างของแกต่อไป ระวังเรื่องวิธีการถามด้วยล่ะ เสี่ยวชิงจะได้ไม่สงสัยอะไร”
สีหน้าของกวนเสี่ยวไป๋พลันคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที “หลินจึ แกจะทำอะไรกันแน่?”
หลินยวนกล่าว “แกวางใจได้ ก็แค่ให้เสี่ยวชิงคอยสังเกตดูนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีเรื่องอะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเสี่ยวชิงหรอก”
กวนเสี่ยวไป๋รู้สึกเป็นกังวลในเรื่องนี้อยู่ แต่เขาก็ยังกังวลในอีกเรื่องหนึ่งอย่างมากด้วย “หลินจึ ฉันฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเลย แก…แกจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หลินยวนกล่าว “อย่าคิดมาก อยู่ในเมื่อปู๋เชวี่ย พวกแกไม่เป็นอะไร ฉันก็ไม่เป็นอะไร รีบไปพักผ่อนเถอะ”
การสนทนาจบลง กวนเสี่ยวไป๋ที่วางมือลงมองดูโทรศัพท์มือถือ ถอนหายใจออกมาอย่างกลุ้มใจ
หลังได้ร่วมมือกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาก็พบว่าตัวเองยิ่งมองเพื่อนซี้ของตัวเองคนนี้ไม่ออกแล้ว คนยังเป็นคนเดิม แต่วิธีการจัดการเรื่องราวกลับทำให้เขารับรู้ได้ถึงความกดดันบางอย่าง ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะเรื่องราวหรือเป็นเพราะคนกันแน่
แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า ความรู้สึกที่เขารับรู้ได้จากตัวหลินจึ ถ้าพูดให้ฟังดูดีก็เหมือนว่าอีกฝ่ายสามารถจัดการปัญหาใหญ่ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อย มันก็เหมือนว่าหลินจึกำลังใช้งานเขาโดยไม่รู้ตัว
ก็เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ มีเรื่องให้แกไปจัดการ แกก็ไปจัดการซะ ไม่มีเพราะอะไรทำไม แกเองก็ไม่ต้องถามอะไรมาก แค่ทำตามที่บอกก็พอ
สำหรับหลินจึแล้วคล้ายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเขาแล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันกะทันหันอย่างมาก
ภายในความสุขุมเยือกเย็นกลับแฝงเอาไว้ด้วยความกดดัน นี่ใช่หลินจึที่เขารู้จักคนนั้นหรือเปล่า? ในช่วงเวลาหลายปีนี้คล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทีเดียว….
….
หลินยวนก้าวขาขึ้นคร่อมไปบนมอเตอร์ไซค์ หาจังหวะที่บนถนนด้านนอกไม่มีคนผ่านไปผ่านมาพุ่งขึ้นมาบนถนนอีกครั้ง ขี่มอเตอร์ไซค์โต้ลมภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
ภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเยือกเย็นก็มีเรื่องที่กังวลใจอยู่เช่นกัน
ความจริงเขาไม่อยากให้เสี่ยวไป๋และเสี่ยวชิงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ข้างกายไม่มีใครที่ไว้ใจได้ ตอนนี้ก็มีแต่พี่น้องตระกูลกวนเท่านั้นที่พอจะช่วยได้
แต่แน่นอนว่าเป็นเพราะเหตุผลที่เขาบอกกวนเสี่ยวไป๋ไปด้วยเช่นกัน ก็แค่ให้เสี่ยวชิงคอยสังเกตดูเท่านั้น ไม่มีทางที่จะมีเรื่องอะไรไปพัวพันกับพี่น้องคู่นี้ ดังนั้นเขาถึงได้ให้ทั้งสองคนเข้ามาช่วย
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงต้องคอยจับตาดูท่าทีของซินกว่างเฉิง นั่นเพราะเขาอยากรู้ว่าซินกว่างเฉิงจะไปพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับไป๋หลิงหลงหรือเปล่า
เขาได้อ้างชื่อของฉินอี๋เพื่อทำให้ซินกว่างเฉิงวางใจแล้ว เรื่องราวจะดำเนินไปในทางที่เขาต้องการหรือเปล่า ซินกว่างเฉิงจะปิดปากเอาไว้ ทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้เขาล้วนแต่ไม่แน่ใจ จึงต้องคอยจับตาดูหลังจากนี้
เพราะว่าเขาไม่รู้จักนิสัยของซินกว่างเฉิงผู้นี้
ก่อนที่อันตรายทุกอย่างจะถูกกำจัดออกไป หลินยวนต้องเตรียมแผนเอาไว้รับมือกับสถานการณ์ที่ยังไม่แน่ชัดในปัจจุบัน
หากนี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงหลงเพียงคนเดียวจริงๆ ส่วนเขาก็เข้ามาทำงานในหอการค้าตระกูลฉินแล้ว ขอเพียงซินกว่างเฉิงปิดปากเอาไว้ นั่นก็หมายความว่าซินกว่างเฉิงจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของเขา
ยิ่งซินกว่างเฉิงปิดปากเอาไว้นานเท่าไร นั่นก็จะยิ่งทำให้ซินกว่างเฉิงเปิดปากได้ยากขึ้นเท่านั้น จากนั้นก็จะขึ้นมาบนเรือของเขา ยากที่จะลงไปจากเรือได้อีก
ดังนั้นเขาถึงอ้างชื่อของฉินอี๋มาทำให้อีกฝ่ายวางใจ
เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ให้ซินกว่างเฉิงไปทำอะไร แล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะใช้ซินกว่างเฉิงด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ เขาไม่รังเกียจที่จะกุมพนักงานของหอการค้าตระกูลฉินแบบนี้เอาไว้ในมือเพื่อเอาไว้ใช้งานในภายหลัง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้น การมีหูมีตาเพิ่มขึ้นมาในหอการค้าตระกูลฉินที่เขาไม่คุ้นเคยย่อมต้องดีกว่าไม่มี
เรื่องบางเรื่องมันได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว คนแบบไหนทำเรื่องแบบไหน ในเมื่อเขาลงมือแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีทางทำเรื่องที่เปล่าประโยชน์ ฉวยโอกาสทำเรื่องเหล่านี้ไปด้วยเลย….
……………………………………………………………..