ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 281 มีปิ้งย่างแบบนี้ด้วยเหรอ?
ตอนที่ 281 มีปิ้งย่างแบบนี้ด้วยเหรอ?
“ท่านประธาน?”
หลัวคังอันที่รับโทรศัพท์อยู่ในห้องประหลาดใจมาก คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉินอี๋จะโทรมา ประเด็นคือเขามาดินแดนแห่งความฝันนานจนเคยชินกับการที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้แล้ว แล้วก็ไม่รู้ตัวว่าที่นี่สามารถติดต่อกันได้
ทันทีที่ได้ยินว่าฉินอี๋โทรมา หลินยวนที่อยู่ข้างๆ ก็หันไปมองทันที หลัวคังอันเข้าใจ จึงเปิดลำโพง
เสียงของฉินอี๋ดังออกมา “รองประธานหลัว ตอนนี้พวกคุณเป็นยังไงบ้างคะ?”
หลัวคังอัน “สบายดีครับๆ คงทำให้ท่านประธานกังวลแย่เลย”
ฉินอี๋ “ฉันได้ยินผบ.เว่ยบอกว่าท่านเทพเพลิงรับปากว่าจะให้พวกคุณอยู่ที่ฐานที่มั่นของกองทัพ ใช่หรือเปล่าคะ?”
หลัวคังอันเกาแก้ม “ก็ใช่ครับ”
ฉินอี๋ล่าว “อย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ รองประธานหลัว คุณฟังนะคะ ฉันรู้ว่าพวกคุณพยายามเต็มที่แล้ว ไม่ต้องเสี่ยงอีกแล้วค่ะ ทำตามที่ท่านเทพเพลิงบอกเถอะค่ะ เอาไว้เรื่องนี้จบแล้วค่อยออกมา พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงทางหอการค้าตระกูลฉิน ต่อให้ล้มละลายก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็เริ่มต้นใหม่ ขอแค่คนยังอยู่ เราแพ้ได้ พวกคุณสนใจเรื่องความปลอดภัยของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เข้าใจไหมคะ?” ในคำกล่าวนั้นเรียกได้ว่าจริงใจมาก ไม่มีความเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
บอกตามตรง หลัวคังอันเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย เขามองปฏิกิริยาของหลินยวน เห็นหลินยวนส่ายหน้าเบาๆ เขาจึงยิ้มแห้งทันทีพลางกล่าว “ครับ ท่านประธาน ผมจะจำคำของท่านประธานไว้ครับ”
ฉินอี๋ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจำไว้จริงๆ หรือเปล่า เธอลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “หลินยวนอยู่ไหมคะ?”
หลัวคังอัน “อยู่ครับ”
ฉินอี๋ “ขอฉันคุยกับเขาหน่อยค่ะ”
“ครับ” หลัวคังอันรับคำ ส่งมือถือให้หลินยวน
หลินยวนเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะรับมือถือมา กดปิดลำโพงแล้วเดินไปที่ระเบียง “ฉันเอง”
ฉินอี๋ “นายสบายดีไหม?”
หลินยวน “ฉันไม่เป็นไร”
ฉินอี๋ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว อย่าลืมเกลี้ยกล่อมหลัวคังอันนะว่าไม่ต้องไปเสี่ยงแล้ว อยู่ที่ฐานที่มั่นของกองทัพรอให้เรื่องมันจบก่อน นาย…ฉันไม่ต้องการให้นายเอาชีวิตมาชดใช้อะไรให้ฉัน…รอดชีวิตกลับมานะ เรื่องบุญคุณความแค้นอะไรนั่นก็หายกันไปเลย นายไม่ได้ติดค้างอะไรฉันอีกแล้ว”
หลินยวนเข้าใจว่าประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร วันนั้นที่ดาดฟ้าสำนักงานใหญ่หอการค้าตระกูลฉิน เขาเคยพูดทำนองว่าจะเอาชีวิตชดใช้คืนให้เธอ
เขาเงียบไปแล้วตอบกลับ “เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองคนต่างเหมือนมีคำพูดนับพันนับหมื่นที่อยากบอกกับอีกฝ่าย ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ฉินอี๋ไม่เคยมีต่อผู้ชายคนอื่น แล้วก็เป็นความรู้สึกที่หลินยวนไม่เคยมีต่อผู้หญิงคนอื่นเช่นกัน แต่ในตอนที่ได้พูดคุยกันจริงๆ คำพูดที่สามารถสื่อความรู้สึกภายในใจของตัวเองที่อยากบอกอีกฝ่ายจริงๆ เหล่านั้น พวกเขากลับพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
นั่นคือความรู้สึกที่มหัศจรรย์อย่างมาก ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของฝ่ายชายแล้ว เห็นได้ชัดว่าหนานชีหรูอันดูดีกว่าหลินยวน
ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกของฝ่ายหญิงแล้ว เห็นได้ชัดว่าลู่หงเยียนสวยกว่าฉินอี๋
แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกเลย เป็นความรู้สึกที่จู่ๆ ก็แค่อยากกอดกันไว้แน่นๆ โดยที่ไม่สนใจสิ่งใด
ทั้งสองนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นฉินอี๋ก็เอ่ยว่า “นายดูแลตัวเองด้วยนะ” แล้วรีบวางสายไป กลัวว่าจะควบคุมความรู้สึกของตนเองไม่ได้ ในสถานการณ์ตอนนี้เธอจำเป็นต้องเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นเธอกลัวว่าตนเองจะทรุดลงและยืดหยัดต่อไปไม่ไหว
หลินยวนกำมือถือไว้ในมือ อยู่ที่ระเบียงอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียกจากข้างล่าง “หลัวคังอัน”
หลินยวนได้สติกลับคืนมา มองลงไป เห็นหลิวซิงเอ๋อร์กำลังโบกมืออยู่ข้างล่าง “หลัวคังอันอยู่ไหมคะ?”
เขาไม่ต้องตอบ หลัวคังอันวิ่งออกมาแล้ว แล้วก็โบกมือส่งยิ้มให้คนข้างล่าง กำลังจะพุ่งตัวกระโดดลงไป
หลินยวนยื่นมือไปขวางไว้ ส่งมือถือคืนให้เขา เอ่ยถามว่า “จะไปไหน?”
เกือบลืมไปเลย หลัวคังอันรับมือถือของตนเองคืนมา พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฉันบอกว่าฝีมือการทำปิ้งย่างของฉันอร่อย เธออยากลองชิม ฉันเลยรับปากกับเธอไป”
หลินยวนเหลือบมองในห้อง กระซิบกล่าวว่า “เอาแค่พอประมาณก็พอแล้ว ฉันไม่ได้ให้แกจีบเธอจริงๆ ฉันแค่พูดต่อหน้าคนคนนั้นเท่านั้นเอง แค่อยากจะตรวจสอบปฏิกิริยาของเธอ”
“เอ่อ…” หลัวคังอันหมดคำพูด อยากจะถามเขาจริงๆ ฉันเติมไฟมาจนถึงขั้นนี้แล้ว นายมาบอกว่านายล้อเล่นเนี่ยนะ นี่มันไม่ใช่ว่าล้อเล่นกับความรู้สึกฉันหรือไง?
แต่เขารู้ดีว่าเหตุผลแบบนี้ไม่สามารถเอาไปคุยกับคนแบบนี้ได้ เขากระแอมพลางกล่าว “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะเข้าใกล้เธอต่ออีกหน่อย ดูว่าจะสามารถสืบข้อมูลทางนี้จากเธอได้บ้างไหม”
หลินยวนเงียบไปเล็กน้อย พิจารณาถึงความสัมพันธ์ในการร่วมงานกันของติงหลานกับทางทหาร กลับคิดว่านี่พอจะเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง จึงลังเลพลางกล่าว “อย่างนั้นแกก็ระวังหน่อย อย่าไปเผยพิรุธอะไร ห้ามให้เธอรู้เด็ดขาดว่าแกตั้งใจไปสืบอะไร ถ้าเกิดถูกจับได้ หลังจากนี้จะสลัดความน่าสงสัยบางอย่างออกไปได้ยาก แกจำไว้ให้ดี ฉันไม่ได้ล้อเล่นกับแก”
หลัวคังอัน “นายวางใจได้ ถ้าโอกาสไม่เหมาะล่ะก็ ฉันจะไม่พูดอะไรออกไปเลย แล้วก็รับรองได้เลยว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน”
เขากล่าวแบบนี้ หลินยวนก็วางใจไปได้หน่อย พยักหน้าให้เล็กน้อย
คราวนี้หลัวคังอันถึงได้พุ่งตัวลงไป พอลงไปถึงข้างล่าง ก็พูดคุยยิ้มแย้มแล้วเดินออกไปกับหลิวซิงเอ๋อร์
เยี่ยนอิงที่ค่อยๆ เดินออกมาก็มาที่ระเบียง มองลงไปยังทั้งสองคนที่เดินจากไป พลางกล่าวเรียบๆ ว่า “พวกท่านกระซิบกระซิบอะไรลับหลังฉันอีกแล้วเหรอคะ?”
หลินยวนกล่าว “ไม่มีอะไร ฉันกำชับเขาว่าอย่าทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องจริง แค่หาโอกาสสืบข้อมูลทางนี้จากหลิวซิงเอ๋อร์ก็พอ”
พอได้ยินเขาบอกแบบนี้ ใจที่ตุ้มๆ ต่อมๆ ของเยี่ยนอิงก็เบาใจขึ้นหน่อย จากนั้นเปลี่ยนเรื่องไปว่า “ท่าทางท่านประธานฉินคนนั้นก็ดูไม่เลวนะคะ”
เธอเองก็ยินได้สิ่งที่ฉินอี๋กล่าวทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้เช่นกัน ยอมให้หอการค้าตระกูลฉินล้มละลาย ไม่อยากให้เกิดเหตุอะไรขึ้นกับทางนี้
หลินยวนไม่พูดอะไร
เยี่ยนอิงกล่าว “หอการค้าตระกูลฉินกับทางพวกเราเป็นพวกเดียวกันเหรอคะ?”
หลินยวนว่า “ต่อไปเธอจะรู้เอง”
ทั้งสองคนคุยกันไปสักพัก จากนั้นก็เกิดความเงียบที่ระเบียงเป็นเวลานาน ต่างคนต่างอยู่ในความคิดของตัวเอง
ทันใดนั้นก็มีแขกเข้ามาทำลายความเงียบ เหยาเซียนกง เกาผู่และอินเย่าหมิงมาไม่ได้มาตามทางปกติ แต่บินขึ้นมาจากด้านล่าง ร่อนลงที่ระเบียง
หลังจากที่ทักทายกันเล็กน้อย เหยาเซียนกงก็ตะโกนเข้าไปในห้อง “หลัวคังอัน พวกเรามาแล้ว ออกมาต้อนรับเร็ว ไปกินเหล้ากัน”
ทั้งสามส่งเสียงตะโกนพลางบุกเข้าไป ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกเลย
แต่หลังหาจนทั่วก็ไม่พบว่าใครอยู่ในห้อง หลินยวนเองก็เข้ามาอธิบายว่า “เขาไม่อยู่ เพิ่งจะออกไป”
เกาผู่ถาม “ไปไหนล่ะ?”
หลินยวนว่า “เมื่อกี้หลิวซิงเอ๋อร์มา บอกว่านัดกันไปทำปิ้งย่าง”
“ปิ้งย่าง?” ทั้งสามคนตะลึงไปทันที อินเย่าหมิงลังเลพลางกล่าว “พวกเขาสองคนไปเจอกันได้ยังไง?”
เหยาเซียนกงกล่าวทันที “ไม่ได้การแล้ว เจ้าหลัวคังอันมันไม่ใช่คนดีอะไร”
เป็นเพื่อนอยู่ในหน่วยผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงมาด้วยกันตั้งหลายปี ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าอีกฝ่ายมีนิสัยเป็นอย่างไร สีหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไปทันที มีความรู้สึกเหมือนชักศึกเข้าบ้าน พากันพุ่งตัวบินออกไปจากระเบียง ไม่มีแม้แต่คำร่ำลาสักคำ
……
ณ ริมลำธารในหุบเขาที่เงียบสงบ หลัวคังอันกับหลิวซิงเอ๋อร์กำลังทำปิ้งย่างกันอยู่จริงๆ พลางพูดคุยยิ้มแย้มกันไปด้วย
หลังจากบรรยากาศการพูดคุยสนุกสนานดำเนินไปได้พอประมาณแล้ว หลัวคังอันที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์มองสำรวจไปรอบๆ ทันที “นี่ถ้ามีการร้องเพลงเต้นรำมาช่วยสร้างบรรยากาศก็คงจะดีเนอะ”
หลิวซิงเอ๋อร์หัวเราะเหอะๆ พลางกล่าว “ฝันไปเถอะ ที่นี่จะไปหาคนร้องเพลงเต้นรำที่ไหนมาช่วยสร้างบรรยากาศให้คุณล่ะ”
หลัวคังอันใช้พลังจัดการกับไฟทันที แค่รักษาอุณหภูมิไฟให้คงที่ไว้เพื่อไม่ทำให้สิ่งที่ปิ้งอยู่ไหม้ จากนั้นหันหลังเดินออกมา
หลิวซิงเอ๋อร์ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
หลัวคังอันหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง วางมือถือไว้บนก้อนหิน ก่อนจะหันกลับมาใช้พลังจัดการกับสถานที่ จากนั้นเดินไปตรงหน้าหลิวซิงเอ๋อร์พลางผายมือเชิญอย่างสง่างาม
หลิวซิงเอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร “ทำอะไรคะ?”
หลัวคังอัน “ร้องเพลงเต้นรำเพื่อสร้างบรรยากาศไง! ไม่มีใครทำให้เรา เราก็ทำกันเองเลย อย่าปล่อยให้ทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ต้องเสียไปเปล่าๆ หลิวซิงเอ๋อร์ หลัวคังอันขอเชิญคุณเต้นรำสักเพลงได้หรือไม่ครับ?”
หลิวซิงเอ๋อร์รู้ว่าเขาจะเต้นรำคู่อย่างที่โลกมนุษย์เต้นกัน ว่ากันว่าสิ่งนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมในโลกมนุษย์ แต่ดินแดนเซียนยังเป็นสถานที่ที่มีขนบธรรมเนียมค่อนข้างโบราณอยู่ การที่ผู้ชายผู้หญิงโอบกอดกันมันไม่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนทำอะไรแบบนี้กัน คนที่ทำอะไรแบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ภูมิหลังตระกูลของเธอไม่เหมือนกับคนอื่นๆ การที่ชายหญิงมาโอบกอดกันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
ตอนที่อยู่ในโลกภายนอก เธอดูคล้ายค่อนข้างเป็นอิสระ แต่อันที่จริงเธอยังถูกปกคลุมอยู่ภายใต้เงาของผู้เป็นพ่อ หลิวอวี้เซินไม่มีทางให้คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามายุ่งกับลูกสาวตนเอง เรียกได้ว่าข้างกายของหลิวซิงเอ๋อร์จะมีคนคอยจับตาดูอยู่ตลอด หรือพูดอีกอย่างคือคอยคุ้มกันนั่นเอง เรื่องที่จะมีการโอบกอดกันระหว่างชายหญิงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
สำหรับลูกสาวของตนเอง คนระดับหลิวอวี้เซินจะต้องเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน ในอนาคตจะต้องให้ลูกสาวแต่งงานกับคนดีๆ ที่ฐานะทางครอบครัวใกล้เคียงกัน ไม่อนุญาตให้ไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวส่งเดช ไม่อย่างนั้นในอนาคตจะให้ทางบ้านสามีมองอย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยภูมิหลังของตระกูลหลิวแล้ว ภายนอกพวกเขาต้องคอยต่อต้านสิ่งที่เป็นอิทธิพลไม่ดีจากโลกมนุษย์ แล้วพวกเขาจะมาทำเสียเองได้อย่างไร
เธอโบกมืออย่างกระอักกระอ่วนพลางกล่าว “ไม่ได้ๆ ไม่ได้ค่ะ ฉันเต้นไม่เป็นค่ะ”
“ไม่เป็นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมสอนคุณเอง” หลัวคังอันเป็นฝ่ายยื่นมือไปจับมือเธอไว้ก่อน แล้วขยับเข้าไปชิดเธอ สอนเธอว่ามือทั้งสองข้างควรจะวางอย่างไร
หลิวซิงเอ๋อร์ที่ขัดขืนเล็กน้อยหายใจติดขัด ปล่อยให้หลัวคังอันจัดท่าทางราวกับหุ่นเชิด เรียนตามที่เขาสอนอย่างเงอะงะ แก้มแดงระเรื่อ
ในด้านนี้ หลัวคังอันเป็นยอดฝีมือ ภายใต้การสอนของยอดฝีมือหลัว ไม่นานการก้าวเท้าและการเคลื่อนไหวของหลิวซิงเอ๋อร์ก็เข้าจังหวะ ทั้งสองดื่มด่ำไปกับการเต้นรำภายใต้เสียงเพลง
ด้วยความลื่นไหลของการเคลื่อนไหว ความรู้สึกประหม่าของหลิวซิงเอ๋อร์ก็ค่อยๆ หายไป แล้วก็ค่อยๆ เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกงดงามของความเคลื่อนไหวอย่างอิสระของชายหญิง
เมื่อเต้นไปเรื่อยๆ มือของหลัวคังอันที่โอบเอวของเธออยู่ก็ออกแรงโอบเธอเข้ามาในอ้อมแขนอีก ร่างกายของทั้งสองคนแนบชิดเข้าหากัน
หลิวซิงเอ๋อร์รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม แล้วก็กระอักกระอ่วนมากด้วย เธอรีบขัดขืนเขาทันที อยากจะผลักเขาออกไป แต่ใครจะรู้ว่าหลัวคังอันจะเอ่ยกระซิบที่ข้างหูของเธอขึ้นมาว่า “ถ้าผมตายอยู่ที่นี่ คุณจะจดจำว่าเคยมีผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งไหมครับ?”
หลิวซิงเอ๋อร์ตะลึง รีบกล่าวว่า “อย่าพูดเหลวไหลสิคะ คุณไม่เป็นอะไรหรอก”
“ที่จริงทั้งผมและคุณต่างก็รู้ดีว่าผมคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว” หลัวคังอันทอดถอนใจเศร้าๆ ที่ข้างหูของเธอ “แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากเลยนะครับที่ได้มารู้จักคุณก่อนช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ต่อให้ตายผมก็ไม่เสียใจแล้ว”
“ไม่หรอกค่ะ…” หลิวซิงเอ๋อร์ปลอบโยนเขาไม่หยุด
อย่างไรเสียทั้งสองคนก็แนบชิดกันแบบนี้แล้ว หลิวซิงเอ๋อร์จึงสวมกอดปลอบใจเขา กระซิบพูดคุยกัน ฝีเท้าของทั้งสองก็ค่อยๆ ช้าลง โยกไปตามทำนองเพลงอย่างช้าๆ
ไกลออกไป เหยาเซียนกง เกาผู่ อินเย่าหมิงที่ตามหาหุบเขาแห่งนี้จนพบต่างมองไปยังชายหญิงสองคนที่กำลังโอบกอดกันด้วยดวงตาที่เบิกโพลง
พระเจ้า! ทั้งสามคนตกตะลึงพรึงเพริดไปเลยจริงๆ มีปิ้งย่างแบบนี้ด้วยเหรอ?
ผู้หญิงที่ทั้งสามคนกำลังตามจีบ ผู้หญิงที่คนจำนวนมากกำลังตามจีบ ในเวลาปกติอย่าว่าแต่จะได้สัมผัสร่างกายเลย กระทั่งคำพูดพวกเขาก็ยังไม่กล้าพูดเกินเลยกับหลิวซิงเอ๋อร์ ได้แต่เอาใจเธออย่างระมัดระวัง เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อยอย่างแท้จริง
……………………………………………………….